วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 19 ฉบับที่
6965 ข่าวสดรายวัน
ระดมชาวบ้าน-เอกชน ป้องกันแก๊งตัดเศียรพระ
|
ปัจจุบัน
แก๊งตัดเศียรพระก่อเหตุหนักในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะวัดในแถบจังหวัดพระ นครศรีอยุธยา ที่เป็นวัดเก่าแก่
ถูกลักลอบขโมยตัดเศียรพระที่ประเมินค่ามิได้ โดยไม่เกรงกลัวกับบาป
กรรม หรือด้วยอำนาจเงินตราที่ทำให้หัวขโมยพวกนี้จำเป็นต้องทำ
แม้เจ้า หน้าที่ตำรวจระดมกำลังตามล่าคนร้าย
แต่ก็ยังจับตัวมาลงโทษไม่ได้แม้แต่รายเดียว
และเหตุการณ์ทำนองนี้มีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้น
“คุณยายสมคิด เอิบกมล” อายุ 77 ปี
ชาวบ้านมีพื้นเพติดกับวัดวังแดงใต้ อ.ท่าเรือ จ.พระนคร ศรีอยุธยา
ติดริมแม่น้ำป่าสัก เล่าประสบการณ์ที่เห็นโจรขโมยพระ ว่า
“ เมื่อก่อนยายเคยเห็นรถกระบะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน
เข้ามาจอดอยู่ในวัด มีชายหญิง 2 คนนั่งอยู่ในรถ
สงสัยว่าจะมาขโมยพระพุทธรูป แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
เพื่อนบ้านยังพูดกลับมาว่าอย่าไปคิดมากสงสัยเค้ามาหาหลวงพ่อ
พอวันรุ่งขึ้นพระพุทธรูปในโบสถ์หายไป”
“ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นวัดใน บริเวณนี้มีมากมาย
ด้วยความสงสัยจึงไปถามคนเก่าแก่เล่าต่อกันมาว่าสมัยก่อนบ้านไหนที่มีฐานะร่ำ
รวยจะบวชลูกชายก็จะสร้างวัดให้ลูกเค้าอยู่ ไม่ต้องไปอยู่รวมกับใคร
แต่ไม่ได้สร้างโบสถ์ ทำให้ทุกวันนี้มีวัดร้างเป็นจำนวนมาก”
<table class="mceItemTable" style="width: 20%;" align="right" border="0" cellpadding="1" cellspacing="5"><tbody><tr bgcolor="#400040">
</tr></tbody></table>
ด้าน นายบันเทิง เอนกสุข อายุ 67 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า
บริเวณนี้ทั้งสองฝั่งลำน้ำป่าสักล้วนแล้วแต่มีการค้นพบวัดร้างเป็นจำนวนมาก
บางวัดไม่มีเหลืออะไรให้ขุดค้น
เหลือแค่พระพุทธรูปหรือเศียรพระพุทธรูปที่เอาไว้กราบบูชาเท่านั้น
คนที่นี่ยังเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์
ถือเป็นเรื่องดีที่หลายฝ่ายจะเข้ามาดูแลพื้นที่โบราณสถานอย่างมีแบบแผน
หลายแห่งเสียหายเพราะการขุดค้นเอาทรัพย์สินไปขาย
นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า
เพื่อเป็นการป้องกันที่ต้นเหตุก่อนแก๊งมารจะขโมยมรดกของชาติไปขายหมด
แต่ด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ของกรมศิลปากรไม่เพียงพอกับการที่จะเข้าไปดูแลโบราณ
สถานกว่า 7,000 แห่งทั่วประเทศ ขึ้นทะเบียนเพียง 2,000 กว่าแห่ง
แนวทางที่กรมศิลปากรกำหนดไว้ต้องประสานความร่วมมือจากประชาชนและภาคเอกชน
พยายามสร้างความรู้ความเข้าใจ มองเห็นถึงคุณค่ามรดกทางวัฒนธรรม
เข้ามาช่วยกัน ในบทบาทที่สามารถทำได้
ดังนั้น จึงต้องให้ภาคเอกชนช่วยสนับสนุนงบประมาณ
ชาวบ้านมีกำลังเข้ามาร่วมดูแลภายหลังบูรณะเสร็จแล้ว
กรมศิลปากรมีบุคลากร ซึ่งมีประสบการณ์
นำความรู้ทางวิชาการเข้ามาขุดค้นให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้
สำหรับปัญหาคนร้ายเข้ามาตัดเศียรพระ พุทธรูปและขโมยของเก่านั้น
อยากให้ทุกคนเข้ามาร่วมใจกันรักษาโบราณสถาน มรดกทางวัฒนธรรม โบราณ
สถานต่างๆ เป็นสม บัติ ของท้องถิ่น และเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน
“ ถ้าหากทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้นำท้องถิ่น ชาวบ้าน และภาคเอกชน
ตระหนักถึงคุณค่าของโบราณสถาน
มาร่วมมือร่วมใจช่วยกันบูรณะและรักษาอย่างจริงจัง เชื่อว่าปัญหาต่างๆ
เหล่านี้คงจะลดน้อยลงไป”
นายเอนก สีหามาตย์ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา บอกเล่าว่า
เป็นห่วงโบราณสถานและโบราณวัตถุใน จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีเกือบ 570
แห่ง นับวันจะสูญหายไป
ด้วยกำลังบุคลากรและทุนทรัพย์ของกรมศิลปากรยังไม่เพียงพอ
จึงต้องหาแนวทางความร่วมมือจากภาคเอกชนและชุมชน
แนวทางการทำงาน
ของกรมศิลปากรแบ่งการทำงานแยกดูแลโบราณสถานที่เป็นวัดร้าง
เช่นวัดมหาธาตุ วัดราษฎร์บูรณะ หรือวัดไชยวัฒนาราม
กรมศิลปากรก็จะเข้าไปดำเนินการ
ส่วนโบราณสถานที่สืบทอดมามีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ เช่น วัดพนัญเชิง
วัดหน้าพระเมรุ ทางวัดก็มีกำลังทรัพย์บริหารวัดเอง
ทางกรมศิลปากรก็ให้คำปรึกษาทางวิชาการ จัดรูปแบบอย่างถูกต้อง
ส่วนวัดร้าง หรือวัดที่ไม่มีทุนทรัพย์ อย่างเช่น วัดดงหวาย วัดไม้ลวก
วัดหัวพรวน แถบลุ่มน้ำป่าสัก มักถูกตัดเศียรพระพุทธรูปเป็นประจำ
จนไม่เหลือของเก่าให้ดู หากปล่อยไปมากกว่านี้
คงไม่เหลือซากประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้ศึกษา
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552
กรมศิลปากรได้ร่วมกับผู้บริหารบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน)
จัดพิธีบวงสรวงและบูรณะโบราณสถานวัดขรัวตาเพชร หรือชาวบ้านเรียกกันว่า
วัดหัวพรวน ต.โพธิ์เอน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา
ซึ่งมีประวัติยาวนาน 300 กว่าปี
เป็นวัดที่อยู่ในชุมชนล้อมรอบตามลุ่มน้ำป่าสัก
เชื่อว่าหากได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน
และชาวบ้านในชุมชนคอยดูแลเป็นหูเป็นตา
ปัญหาการตัดเศียรพระจะลดน้อยลง
หน้า 30
ไม่มีความเห็น