คำถามมีว่า “พระอรหันต์ยังมีธรรมชาติแห่งความขัดแย้งอยู่ภายในหรือไม่” การตอบคำถามนี้จำเป็นต้องแยกคำว่า “ความจริงในเชิงปรมัตถ์” (ปรมัตถสัจจะ) ” กับ “ความจริงในเชิงสมมติ” (สมมติสัจจะ) ออกจากกัน เหตุผลสำคัญที่ต้องแยกเพราะสภาวธรรมของความเป็น พระอรหันต์กับบัญญัติเป็นคนละประเด็น คำว่า “อรหันต์” หมายถึง “ผู้ไกลจากกิเลส” กล่าวคือ สภาวะจิตที่ไร้ภาวะความขัดแย้งเพราะนิพพานเป็นการดับกิเลสจึงทำให้เกิดภาวะที่ไม่มีความขัดแย้ง ฉะนั้น คำว่า “ไม่มีความขัดแย้ง” มีนัยบ่งถึงภาวะจิตที่สมบูรณ์โดยปราศจากการกระทำอันก่อให้เกิด “กุศล” หรือ “อกุศล” การแสดงออกทางกาย วาจา ใจของพระอรหันต์จึงยืนอยู่บนฐานของคำว่า “กิริยา” หรือ “การกระทำ” ล้วน ๆ
กล่าวโดยสภาวธรรม พระอรหันต์จึงไม่มีความขัดแย้ง หรือไร้ภาวะความขัดแย้ง ไม่มีใคร หรือสิ่งใดเป็นแรงผลักให้เกิดความขัดแย้งได้ดังพุทธพจน์ที่ว่า “อัคคินิเวสสนะ ภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วอย่างนี้ ย่อมไม่ทะเลาะวิวาท ทุ่มเถียงกับใคร ๆ โวหารใดที่ชาวโลกนิยมพูดกัน ก็ไม่ยึดมั่นกล่าวไป ตามโวหารนั้น”[1] และ “มุนีผู้มีปัญญาเครื่องพิจารณานั้น รู้จักสมณพราหมณ์ ผู้เป็นเจ้าลัทธิเหล่านี้ว่า เป็นผู้เข้าไปอาศัยทิฐิและรู้จักเป็นที่อาศัย นักปราชญ์ครั้นรู้จักแล้ว ก็หลุดพ้น ไม่ถึงการวิวาทกัน[2] พุทธพจน์บทนี้ย้ำเตือนว่า บุคคลที่เข้าถึงความจริงขั้นสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ย่อมไม่มีความขัดแย้งในสภาวธรรม ไม่มีความสงสัย หรือตั้งข้อสังเกตต่อสภาวธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ผู้บรรลุธรรมจะก่อความบาดหมาง ทะเลาะวิวาทกัน
ประเด็นคำถามที่น่าสนใจก็คือ “พระอรหันต์คิดต่างกัน หรือมีมุมมองที่แตกต่างกันได้หรือไม่” จากการศึกษาค้นคว้าทำให้ได้รับคำตอบว่า “คิด หรือมีมุมมองที่แตกต่างกันได้” สิ่งที่ ทำให้พบคำตอบในลักษณะนี้ก็เพราะคำว่า “บัญญัติ” หรือ “ความจริงเชิงสมมติ” นั้นเป็นกุญแจสำคัญที่นำเราไปสู่คำตอบดังกล่าว คำว่า “บัญญัติ” หรือ “ความจริงเชิงสมมติ” เป็นสื่อกลางในการที่จะใช้เป็นสะพาน หรือเป็นคู่มือสำหรับเรียนรู้ หรือเข้าใจร่วมกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ดังที่พุทธทาสภิกขุใช้คำว่า “ภาษาคน” ฉะนั้น เมื่อวิเคราะห์ในบริบทนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าผู้ที่เข้าใจโลกแห่งปรมัตถ์ จะสามารถเข้าใจโลกแห่งสมมติได้ทั้งหมด” คำตอบข้อนี้ไปปรากฏอยู่ในคัมภีร์มิลินทปัญหาว่า “การรู้สิ่งทั้งปวงนั้น ไม่ใช่วิสัยของพระอรหันต์ทั่วไป สิ่งที่พระอรหันต์ไม่รู้ก็มี เช่น นาม และโคตรแห่งสตรีบุรุษ เป็นต้น พระอรหันต์รู้ได้เฉพาะวิมุตติก็มี พระอรหันต์ชั้นอภิญญา ๖ ก็รู้เฉพาะในวิสัยของตน พระสัพพัญญูเท่านั้นจึงจะรู้หมด”[3]
วิเคราะห์จากคำพูดของพระนาคเสนพบว่า พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นสัพพัญญูบุคคลเท่านั้นที่ทรงทราบ และเข้าใจโลกแห่งปรมัตถ์และโลกแห่งสมมติได้อย่างตลอดสาย ส่วนสาวกท่านอื่น ๆ ที่บรรลุพระอรหันต์มิได้หมายความว่าสามารถรู้ทั้งสองโลก ความจริงข้อนี้ทำให้พบคำตอบว่า “พระอรหันต์ไม่สามารถรับรู้เรื่องราวต่างในโลกนี้ได้ทั้งหมด” หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ “พระอรหันต์มีข้อจำกัดในการรับรู้” ฉะนั้น “พระอรหันต์ก็ย่อมคิด หรือมีมุมมองที่แตกต่างกันได้” หลักฐานชิ้นสำคัญที่สามารถยืนยันความจริงข้อนี้ก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคราวทำสังคายนาครั้งที่ ๑
จากการศึกษาพบว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ก็พึงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้” พระดำรัสในประเด็นนี้ได้กลายเป็นปัญหาในที่ประชุมสงฆ์ ๕๐๐ รูปว่า “สิกขาบทข้อไหนที่จัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย” การยกประเด็นเรื่อง “สิกขาบทเล็กน้อย” ขึ้นมานำเสนอเพื่อหาข้อยุตินั้น ทำให้พระอรหันต์ได้พากันวิเคราะห์ ตีความ และตั้งข้อสังเกตออกเป็นหลายนัยด้วยกัน[4] ซึ่งการตีความดังกล่าวนั้น สามารถแยกสรุปออกเป็น ๕ กลุ่มด้วยกัน กล่าวคือ[5]
(๑) ยกเว้นปาราชิก ๔ สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๒) ยกเว้นปาราชิก ๔ สิกขาบท สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๓) ยกเว้นปาราชิก ๔ สิกขาบท สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท อนิยต ๒ ที่เหลือจัดเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๔) ยกเว้นปาราชิก ๔ สิกขาบท สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท ที่เหลือจัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
(๕) ยกเว้นปาราชิก ๔ สิกขาบท สังฆาทิเสส ๑๓ สิกขาบท อนิยต ๒ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบท ปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบท ที่เหลือจัดว่าเป็นสิกขาบทเล็กน้อย
กรณีศึกษาที่ว่าด้วยความคิดเห็น หรือการตีความที่แตกต่างกันในประเด็นที่ว่าด้วย “สิกขาบทเล็กน้อย” นี้เป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ผู้เขียนมองว่าในแง่บัญญัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บัญญัติดังกล่าว จัดได้ว่าเป็น “พุทธบัญญัติ” แต่เมื่อพระองค์ไม่ได้ตรัสชี้แจงให้ทราบว่านัยของ คำว่า “เล็กน้อย” คืออะไรนั้น กลายเป็นประเด็นที่ทำให้พระอานนท์ถูกพระสงฆ์จำนวน ๔๙๙ รูปปรับอาบัติท่านในฐานะที่ไม่ถามให้ชัดเจนว่า “อะไรคืออาบัติเล็กน้อย” การปรับอาบัติพระอรหันต์ในท่ามกลางสงฆ์นั้น ผู้เขียนมองว่าเป็นประเด็นใหญ่ ฉะนั้น ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการตีความที่แตกต่างกันดังกล่าว ต้องเป็นประเด็นที่มีความสำคัญต่อการสังคายนาครั้งที่ ๑ เป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุปแล้ว ความขัดแย้งที่เกี่ยวกับความคิดเห็น จัดได้ว่าเป็น “ธรรมดา” หรือ “ธรรมชาติ” ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ในระดับที่เป็นปุถุชนหรือพระอรหันต์ก็ตาม สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามีข้อจำกัดในการรับรู้เรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้แตกต่างกัน ดังที่พระธรรมปิฎกได้ย้ำในประเด็นนี้ว่า “ความขัดแย้งนั้น ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา คือ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลาย ที่แต่ละอย่างมีความเป็นไปของมัน เมื่อต่างอย่างต่างส่วนเป็นคนละทาง ก็ย่อมขัดแย้ง”[6]
[1] “เอวํ วิมุตฺตจิตฺโต โข อคฺคินิเวสฺสน ภิกฺขุ น เกนจิ สํวทติ น เกนจิ วิวทติ ยญฺจ โลเก วุตฺตํ เตน โวหรติ อปรามสํ”. ม.ม. (บาลี) ๑๓/๒๐๖/๑๘๒, ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๗๕/๒๔๓.
[3] “อวิสโย มหาราช เอกจฺจสฺส อรหโต สพฺพํ ชานิตุ น หิ ตสฺส พลํ อตฺถิ สพฺพํ ชานิตุ อนญฺญาตํ มหาราช อรหโต อิตฺถิปุริสานํ นามมฺปิ โคตฺตมฺปิ, มคฺโคปิ ตสฺส มติยา อนญฺญาโต วิมุตฺตึเยว มหาราช เอกจฺโจ อรหา ชาเนยฺย ฉฬภิญฺโญ อรหา สกวิสยํ ชาเนยฺย, สพฺพญฺญู มหาราช ตถาคโตว สพฺพํ ชานาติ”. มิลินฺท. _/๓/๒๗๗-๒๗๙.
[4] พระอรรถกถาจารย์ขยายประเด็นนี้ว่า “พระสังคาหกเถระทั้งหลายกล่าวแล้วโดยปริยาย” ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์ ให้คำจำกัดความ และตีความแตกต่างกันออกไปหลายประเด็น
[6] พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), สลายความขัดแย้ง, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: บริษัทสื่อเกษตร, ๒๕๔๖), หน้า ๒.
เป็น บทความที่มีประโยชน์มากขอรับ เป็นประโยชน์แก่ผมมากทั้งในแง่การให้เหตุผล การใช้หลักฐานอ้างอิง กราบขอบพระคุณพระคุณเจ้าครับ จะคอยตามอ่านขอรับ
อนุโมทนาและดีใจที่งานเขียนอาตมามีประโยชน์บ้าง งานนี้ อาตมาตัดเอามาจากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของอาตมาเรื่อง "การจัดการความขัดแย้งโดยพุทธสันติวิธี" อาตมาลืมไปว่า "ไม่ได้ส่งวิทยานิพนธ์ฉบับเต็มไปไว้ในห้องสมุดมหาวิทยาลัยนเรศวร"
เป็นบุญของกระผม ครับ บางครั้งเรา ลืมไปว่าเรามีสิ่งดีๆ อยู่ในมือขอรับ เราลืมหันกลับไปดูภูมิปัญญาการแก้ไขปัญหาของบรรพบุรุษของเราและขององค์พระศาสดาขอรับ องค์ครูอาจารย์ได้เป็นหลักฐานว่าภูมิปัญญาแบบของเราของพุทธนี้มีอยู่ขอรับ และมีประโยชน์จริง ขอรับ เรามัวแต่ไปมมุ่งศึกษาความรู้ต่างประเทศ และบางคนยิ่งแล้วใหญ่หาว่าความรู้แบบนี้ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย กระผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้น จนได้หันกลับมาเห็นคุณค่าของการย้อนกลับมาศึกษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และขององค์พระศาสดาขอรับ และเห็นว่าทางนี้มีอยู่จริง และใช้แก้ปัญหาได้จริง ยิ่งได้เห็นเหล่าพระภิกษุ เข้ามาช่วยเหลือสังคม เอาองค์ความรู้มารับใช้สังคม อย่างนี้ ผมยิ่งดีใจขอรับ กระผมเองยิ่งเมื่อตามอ่านงานของพระคุณเจ้ายิ่งทราบว่า ทางมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิยาลัยได้มีโครงการดีๆ เพื่อสังคมหลายอย่างขอรับ กระผมยิ่งดีใจขอรับ และยิ่งเห็นว่าพระศาสนานี้มีประโยชน์จริงขอรับ กระผมคงต้องค่อยๆ เปิดกะลาออกจากตัวเองไปหาความรู้เพิ่มเติมให้มากเท่าที่จะทำได้ขอรับ ได้ได้ลดอัตตา และความโง่ของตนเองลงขอรับกราบขอบพระคุณขอรับ
เป็นบุญของกระผม ครับ บางครั้งเรา ลืมไปว่าเรามีสิ่งดีๆ อยู่ในมือขอรับ เราลืมหันกลับไปดูภูมิปัญญาการแก้ไขปัญหาของบรรพบุรุษของเราและขององค์พระศาสดาขอรับ องค์ครูอาจารย์ได้เป็นหลักฐานว่าภูมิปัญญาแบบของเราของพุทธนี้มีอยู่ขอรับ และมีประโยชน์จริง ขอรับ เรามัวแต่ไปมมุ่งศึกษาความรู้ต่างประเทศ และบางคนยิ่งแล้วใหญ่หาว่าความรู้แบบนี้ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย กระผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้น จนได้หันกลับมาเห็นคุณค่าของการย้อนกลับมาศึกษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และขององค์พระศาสดาขอรับ และเห็นว่าทางนี้มีอยู่จริง และใช้แก้ปัญหาได้จริง ยิ่งได้เห็นเหล่าพระภิกษุ เข้ามาช่วยเหลือสังคม เอาองค์ความรู้มารับใช้สังคม อย่างนี้ ผมยิ่งดีใจขอรับ กระผมเองยิ่งเมื่อตามอ่านงานของพระคุณเจ้ายิ่งทราบว่า ทางมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิยาลัยได้มีโครงการดีๆ เพื่อสังคมหลายอย่างขอรับ กระผมยิ่งดีใจขอรับ และยิ่งเห็นว่าพระศาสนานี้มีประโยชน์จริงขอรับ กระผมคงต้องค่อยๆ เปิดกะลาออกจากตัวเองไปหาความรู้เพิ่มเติมให้มากเท่าที่จะทำได้ขอรับ ได้ได้ลดอัตตา และความโง่ของตนเองลงขอรับกราบขอบพระคุณขอรับ
เป็นบุญของกระผม ครับ บางครั้งเรา ลืมไปว่าเรามีสิ่งดีๆ อยู่ในมือขอรับ เราลืมหันกลับไปดูภูมิปัญญาการแก้ไขปัญหาของบรรพบุรุษของเราและขององค์พระศาสดาขอรับ องค์ครูอาจารย์ได้เป็นหลักฐานว่าภูมิปัญญาแบบของเราของพุทธนี้มีอยู่ขอรับ และมีประโยชน์จริง ขอรับ เรามัวแต่ไปมมุ่งศึกษาความรู้ต่างประเทศ และบางคนยิ่งแล้วใหญ่หาว่าความรู้แบบนี้ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย กระผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้น จนได้หันกลับมาเห็นคุณค่าของการย้อนกลับมาศึกษาภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ และขององค์พระศาสดาขอรับ และเห็นว่าทางนี้มีอยู่จริง และใช้แก้ปัญหาได้จริง ยิ่งได้เห็นเหล่าพระภิกษุ เข้ามาช่วยเหลือสังคม เอาองค์ความรู้มารับใช้สังคม อย่างนี้ ผมยิ่งดีใจขอรับ กระผมเองยิ่งเมื่อตามอ่านงานของพระคุณเจ้ายิ่งทราบว่า ทางมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิยาลัยได้มีโครงการดีๆ เพื่อสังคมหลายอย่างขอรับ กระผมยิ่งดีใจขอรับ และยิ่งเห็นว่าพระศาสนานี้มีประโยชน์จริงขอรับ กระผมคงต้องค่อยๆ เปิดกะลาออกจากตัวเองไปหาความรู้เพิ่มเติมให้มากเท่าที่จะทำได้ขอรับ ได้ได้ลดอัตตา และความโง่ของตนเองลงขอรับกราบขอบพระคุณขอรับ
อนุโมทนาอีกครั้ง ดีใจที่ได้อ่านความรู้สึกที่ดีๆ จากโยม และคิดว่ามีอีกหลายท่านที่คิดเช่นเดียวกับโยม โชคดีปีใหม่
อ.ขจิต ด้วยความยินดี ช่วยกันขยายและเผยแผ่ เพราะตอนนี้สังคมกำลังเข้าใจผิดเรื่องนี้กันมากเหลือเกิน
นมัสการพระคุณเจ้า
มาอ่านเพื่อเป็นความรู้เจ้าค่ะ
ขอบพระคุณพระคุณเจ้าค่ะ
กราบพระอาจารย์เจ้าค่ะ
อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มมากมายเลยเจ้าค่ะ
แต่ตรงนี้..นะเจ้าค่ะ "พระอรหันต์คิดต่างกัน หรือมีมุมมองที่แตกต่างกันได้หรือไม่"
ประโยคนี้ยังติดอยู๋ในใจของชยาภรณ์ อยู่เลยเจ้าค่ะ
ต้องหาความคิดของตัวเอง..ต่อไปนะเจ้าค่ะ แล้วจะกราบเรียนให้พระอาจารย์ทราบว่าคิดอย่างไร?