ผลานิสงส์ของความอ่อนโยนบนท้องถนน


"หากขับเร็วก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นและได้ทำอะไรดีๆ ที่ทำให้เราได้พบกับความสุขที่ได้มาฟรีๆ อย่างนี้"

วันนี้ผมไปประชุมโครงการ ม.ชีวิต ที่สำนักงานมูลนิธิ สสวช. บนอาคาร สนง.ใหญ่ ธ.ก.ส. เลิกประชุมตอนบ่ายแล้วก็ขับรถออกจากสำนักงานมาอย่าง “ช้าๆ” ซึ่งเป็นโครงงานส่วนตัวที่จะฝึกทำอะไรๆ ในชีวิตให้ช้าลง อันเป็นส่วนหนึ่งของการบ้านที่ท่านอาจารย์สันติกโรให้ในวันสุดท้ายของการอบรมเรื่อง ความสุขของคนเก้าลักษณ์ เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา

ขณะที่ขับรถช้าๆ แบบถึงเมื่อไรก็ช่าง ไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องถึงบ้านภายในครึ่งชั่วโมง สี่สิบห้านาที หรือหนึ่งชั่วโมง ทำให้ได้เห็นความเป็นไปในท้องถนนมากขึ้น ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันก็ฝึกสังเกตตนเองไปพร้อมกันด้วย

  • พอเลี้ยวซ้ายออกจากสำนักงาน ธ.ก.ส. ก็ติดไฟแดงเป็นคันแรกอยู่หน้าสนามม้านางเลิ้ง เห็นคนข้ามทางม้าลายหลายคนยังข้ามไปไม่พ้นทุกคน ไฟเขียวให้รถไปได้สว่างขึ้น ผมก็ไม่ออกรถ แต่รอจนคนสุดท้ายข้ามถนนพ้นจึงออกรถ โดยสามารถอยู่กับความสงบภายใน ไม่สะทกสะท้านเสียงแตรที่บีบไล่ของคันหลัง
  • เห็นคนขับมอเตอร์ไซค์ซ้อนสาวออฟฟิสรีบร้อนจะแซงขึ้นหน้า ก็หลีกทางให้แซง
  • เห็นรถป้ายแดงเปิดไฟเลี้ยวเพื่อขอทางผู้มีน้ำใจให้ชิดซ้ายจะได้ไม่ต้องเลยไปขึ้นสะพานลอยยมราช ก็เปิดทางให้
  • เห็นรถจะเลี้ยวขวาใต้สะพานลอยยมราชเพื่อไปขึ้นทางด่วน ก็จอดให้เขาเลี้ยวไปก่อน
  • เลยมาเห็นรถกระบะคันหนึ่งกระพริบไฟขอทางออกจากปากซอย ก็จอดให้ออก
  • เห็นตำรวจจราจรทำสัญญาณให้รถมอเตอร์ไซค์ที่คนนั่งซ้อนท้ายไม่ใส่หมวกกันน็อคให้เข้าจอดข้างถนน ก็ชะลอรถให้เขาตัดหน้าเข้าจอด
  • และก็เห็นอะไรต่ออะไรอีกมากมาย แล้วเราก็จะกรุณาและอ่อนโยนต่อเขา
  • ฯลฯ

ซึ่งหากขับเร็วก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นและได้ทำอะไรดีๆ ที่ทำให้เราได้พบกับความสุขที่ได้มาฟรีๆ อย่างนี้

เมื่อทำแล้วก็รู้สึกสุขใจในขณะทำ เกิดปีติไปกับการได้ปฏิบัติต่อทุกชีวิตด้วยความกรุณา

แล้วก็รู้สึกว่าการอ่อนโยนกับทุกชีวิตบนท้องถนนแบบนี้ กลับทำให้เราเองรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในการขับรถขึ้นมา จนแน่ใจว่าโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุมีน้อยมาก

แล้วอยู่ๆ ก็เกิดปิ๊งแว็บขึ้นมาว่า เอ๊ะ...การพยายามทำอะไรดีๆ กับเพื่อนมนุษย์แบบนี้มันมีผลานิสงส์สะท้อนกลับมา “ทันที” อย่างนี้เชียวหรือ นั่นคือ กลับกลายเป็นเราเองที่ปลอดภัยทั้งที่เมื่อเริ่มทำเรื่องนี้เราไม่ได้มีเจตนาว่าจะให้เกิดผลอย่างนี้!!!

คำว่า ผลานิสงส์ มาจากคำ ผล + อานิสงส์  แปลความตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ว่า ความไหลออกแห่งผล (ความดี) หมายถึง ผลแห่งกุศลกรรม 

ขณะกำลังเขียนบันทึกนี้ ผมลองเปิดค้นในอินเทอร์เน็ต พบในวิกิพีเดียอธิบายคำนี้ว่า “เป็นผลผลิตจากการประกอบความดีต่างๆ ตามคติที่ว่า ทำดีได้ดี หมายความว่าเมื่อทำความดีแล้ว ความดีย่อมให้อานิสงส์เป็นคุณความดีก่อน ลำดับต่อมา คุณงามความดีนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจไหลออกมาสนองผู้ทำในรูปแบบต่างๆ ตามเหตุปัจจัยที่ทำ เปรียบเหมือนปลูกต้นมะม่วงย่อมจะได้ผลเป็นลูกมะม่วงก่อน ต่อมาลูกมะม่วงนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจต่อไปเมื่อนำไปเป็นอาหาร นำไปแลกเป็นของหรือนำไปขายเป็นเงิน”

สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๙  ธ.ค. ๒๕๕๒

หมายเลขบันทึก: 319232เขียนเมื่อ 9 ธันวาคม 2009 22:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 19:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)

ได้พิจารณาคือเห็นแจ้งเห็นจริงจากการมองแบบช้า ๆ โดยอยู่ในเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เร่งเร็ว

ดีมากเลยครับเห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าบนถนนมีความเอื้ออาทรกันสังคมคงน่าอยู่มาก จะสังเกตได้จากตัวเราเอง วันไหนขับรถแล้วชลอให้คนข้ามถนนก่อน หรือเขาช้าเราก็ไม่บีบแตรไล่ เรามีความสุขนะครับ

วันก่อนเห็นรถป้ายแดงขับไปใกล้กองขยะ ขณะนั้นมีคนเก็บขยะกำลังเลือกขยะอยู่ด้วย แล้วก็เห็นกระป๋องกาแฟลอยไปอยู่ข้างๆ เท้าของคนเก็บขยะ คิดต่อได้อีกยาวเลยครับ

ทำไมเขาไม่ยื่นให้คนเก็บขยะ

ทำไมเขาต้องโยนรังเกียจคนเก็บขยะหรือ

ฯลฯ

เป็นบันทึกที่ชุ่มเย็นมากครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ยินดีและดีใจมาก เวลาที่รถยนต์ชลอหยุดให้คนข้าม หลายๆ คันขับเร็วใส่ ทำเป็นไม่มองไม่หยุดทั้งๆ ที่เป็นทางม้าลาย ผมว่าเรื่องพวกนี้จะทำให้สังคมน่าอยู่ครับ

ด.ต.ไพฑูรย์ ทะวะลัย

อาจารย์ครับ

ผมกำลังอ่านหนังสือพลังแห่งเทพปการณัม ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ เราต้องนิ่งสงบและมีสติตลอดเวลา ตามปัจฉิมโอวาทครับ

ด.ต.ไพฑูรย์ ทะวะลัย

ผู้ประสานจังหวัดร้อยเอ็ด

นับว่าเป็นเรื่องดีครับ....เพราะปิติจะค่อย ๆ ทำให้เห็นความงามในชีวิต เห็นความช้าของชีวิต และเห็นความสำคัญไปในตัวครับ..คนเราบางครั้งก็ไม่ต้องรีบเร่ง หรือรีบร้อนครับ ทุกวินาทีจึงมาคุณค่าเสมอ เมื่อเราอยู่ร่วมสังคม...

ทุกสิ่งจะเป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์ ครับ อนิจจัง , ทุกขัง และอนัตตา เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้, ของโลกนี้ และจักรวาลนี้ครับ เราไม่ได้เป็นนาย...ของสรรพสิ่งครับ...ไม่เที่ยงแท้.....เป็นทุกข์ ต้องมองเห็น/สัมผัสอย่างเข้าใจครับ....จึงจะเกิดสุข(ปีติ)

เป็นเรื่องดีครับอาจารย์ แต่ในสถานการณ์ที่ต่างคนต้องเร่งรีบ ก็อาจจะไม่เหมาะนัก เพียงแต่พยายามมสติตั้งมั่น และลองท่อง บทสวดมนต์ เมตตาคุณนัง อะระหังเมตตา ผมว่าพอช่วยให้มีสติและมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมทาง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท