วันนี้ผมไปประชุมโครงการ ม.ชีวิต ที่สำนักงานมูลนิธิ สสวช. บนอาคาร สนง.ใหญ่ ธ.ก.ส. เลิกประชุมตอนบ่ายแล้วก็ขับรถออกจากสำนักงานมาอย่าง “ช้าๆ” ซึ่งเป็นโครงงานส่วนตัวที่จะฝึกทำอะไรๆ ในชีวิตให้ช้าลง อันเป็นส่วนหนึ่งของการบ้านที่ท่านอาจารย์สันติกโรให้ในวันสุดท้ายของการอบรมเรื่อง ความสุขของคนเก้าลักษณ์ เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ขับรถช้าๆ แบบถึงเมื่อไรก็ช่าง ไม่ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องถึงบ้านภายในครึ่งชั่วโมง สี่สิบห้านาที หรือหนึ่งชั่วโมง ทำให้ได้เห็นความเป็นไปในท้องถนนมากขึ้น ละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันก็ฝึกสังเกตตนเองไปพร้อมกันด้วย
ซึ่งหากขับเร็วก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นและได้ทำอะไรดีๆ ที่ทำให้เราได้พบกับความสุขที่ได้มาฟรีๆ อย่างนี้
เมื่อทำแล้วก็รู้สึกสุขใจในขณะทำ เกิดปีติไปกับการได้ปฏิบัติต่อทุกชีวิตด้วยความกรุณา
แล้วก็รู้สึกว่าการอ่อนโยนกับทุกชีวิตบนท้องถนนแบบนี้ กลับทำให้เราเองรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในการขับรถขึ้นมา จนแน่ใจว่าโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุมีน้อยมาก
แล้วอยู่ๆ ก็เกิดปิ๊งแว็บขึ้นมาว่า เอ๊ะ...การพยายามทำอะไรดีๆ กับเพื่อนมนุษย์แบบนี้มันมีผลานิสงส์สะท้อนกลับมา “ทันที” อย่างนี้เชียวหรือ นั่นคือ กลับกลายเป็นเราเองที่ปลอดภัยทั้งที่เมื่อเริ่มทำเรื่องนี้เราไม่ได้มีเจตนาว่าจะให้เกิดผลอย่างนี้!!!
คำว่า ผลานิสงส์ มาจากคำ ผล + อานิสงส์ แปลความตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๔๒ ว่า ความไหลออกแห่งผล (ความดี) หมายถึง ผลแห่งกุศลกรรม
ขณะกำลังเขียนบันทึกนี้ ผมลองเปิดค้นในอินเทอร์เน็ต พบในวิกิพีเดียอธิบายคำนี้ว่า “เป็นผลผลิตจากการประกอบความดีต่างๆ ตามคติที่ว่า ทำดีได้ดี หมายความว่าเมื่อทำความดีแล้ว ความดีย่อมให้อานิสงส์เป็นคุณความดีก่อน ลำดับต่อมา คุณงามความดีนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจไหลออกมาสนองผู้ทำในรูปแบบต่างๆ ตามเหตุปัจจัยที่ทำ เปรียบเหมือนปลูกต้นมะม่วงย่อมจะได้ผลเป็นลูกมะม่วงก่อน ต่อมาลูกมะม่วงนั้นจึงให้ผลที่น่าชื่นใจต่อไปเมื่อนำไปเป็นอาหาร นำไปแลกเป็นของหรือนำไปขายเป็นเงิน”
สุรเชษฐ เวชชพิทักษ์
๙ ธ.ค. ๒๕๕๒
ได้พิจารณาคือเห็นแจ้งเห็นจริงจากการมองแบบช้า ๆ โดยอยู่ในเหตุการณ์เบื้องหน้าที่เร่งเร็ว
ขอบพระคุณครับ พระคุณเจ้า
ดีมากเลยครับเห็นด้วยอย่างยิ่งถ้าบนถนนมีความเอื้ออาทรกันสังคมคงน่าอยู่มาก จะสังเกตได้จากตัวเราเอง วันไหนขับรถแล้วชลอให้คนข้ามถนนก่อน หรือเขาช้าเราก็ไม่บีบแตรไล่ เรามีความสุขนะครับ
วันก่อนเห็นรถป้ายแดงขับไปใกล้กองขยะ ขณะนั้นมีคนเก็บขยะกำลังเลือกขยะอยู่ด้วย แล้วก็เห็นกระป๋องกาแฟลอยไปอยู่ข้างๆ เท้าของคนเก็บขยะ คิดต่อได้อีกยาวเลยครับ
ทำไมเขาไม่ยื่นให้คนเก็บขยะ
ทำไมเขาต้องโยนรังเกียจคนเก็บขยะหรือ
ฯลฯ
เป็นบันทึกที่ชุ่มเย็นมากครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ยินดีและดีใจมาก เวลาที่รถยนต์ชลอหยุดให้คนข้าม หลายๆ คันขับเร็วใส่ ทำเป็นไม่มองไม่หยุดทั้งๆ ที่เป็นทางม้าลาย ผมว่าเรื่องพวกนี้จะทำให้สังคมน่าอยู่ครับ
อาจารย์ครับ
ผมกำลังอ่านหนังสือพลังแห่งเทพปการณัม ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ เราต้องนิ่งสงบและมีสติตลอดเวลา ตามปัจฉิมโอวาทครับ
ด.ต.ไพฑูรย์ ทะวะลัย
ผู้ประสานจังหวัดร้อยเอ็ด
นับว่าเป็นเรื่องดีครับ....เพราะปิติจะค่อย ๆ ทำให้เห็นความงามในชีวิต เห็นความช้าของชีวิต และเห็นความสำคัญไปในตัวครับ..คนเราบางครั้งก็ไม่ต้องรีบเร่ง หรือรีบร้อนครับ ทุกวินาทีจึงมาคุณค่าเสมอ เมื่อเราอยู่ร่วมสังคม...
ทุกสิ่งจะเป็นไปตามกฏของไตรลักษณ์ ครับ อนิจจัง , ทุกขัง และอนัตตา เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนี้, ของโลกนี้ และจักรวาลนี้ครับ เราไม่ได้เป็นนาย...ของสรรพสิ่งครับ...ไม่เที่ยงแท้.....เป็นทุกข์ ต้องมองเห็น/สัมผัสอย่างเข้าใจครับ....จึงจะเกิดสุข(ปีติ)
เป็นเรื่องดีครับอาจารย์ แต่ในสถานการณ์ที่ต่างคนต้องเร่งรีบ ก็อาจจะไม่เหมาะนัก เพียงแต่พยายามมสติตั้งมั่น และลองท่อง บทสวดมนต์ เมตตาคุณนัง อะระหังเมตตา ผมว่าพอช่วยให้มีสติและมีเมตตาต่อเพื่อนร่วมทาง