วันก่อนได้รับเชิญจากหน่วยกิจการนักศึกษาของคณะให้ไปร่วมพูดคุยกับนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก (ปี 4-6) ในกิจกรรมวันพุธบ่ายเรื่อง
“แพทย์เฉพาะทางกับการศึกษาต่อ”ซึ่งมีตัวแทนอาจารย์แพทย์จากภาควิชาต่างๆ ทั้งหมด 10 ภาควิชาไปร่วมพูดคุย บรรยากาศเป็นกันเองมากๆ ค่ะ
เพราะตัวแทนที่ไปล้วนเป็น “เลือดใหม่” อาจารย์ที่เป็น “รุ่นเดอะ”
ในวันนั้นเป็นรุ่นพี่ของฉันเพียง 3 รุ่น
(อาจารย์รุ่นเก่ากว่านี้เลยไม่มีใครมาเป็นตัวแทน
เพราะกลัวจะกลายเป็น “รุ่นเดอะสุด”)
การพูดคุยเลยสนุก แซวกันไปแซวกันมาตามประสาพี่ๆ
น้องๆ
ผิดกับสมัยที่ฉันเป็นนักศึกษาแพทย์ที่กิจกรรมวันพุธบ่ายมีแต่กิจกรรมวิชาการ
ไม่บรรยายวิชาการโดยอาจารย์จากภาคต่างๆ ก็เป็น CPC
(clinico-pathological conference)
ซึ่งนำเอาผู้ป่วยที่น่าสนใจและได้รับการผ่าตรวจศพมาอภิปราย
แต่ก็รู้ๆ กันนั่นแหละค่ะ
กิจกรรมแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับการบรรยายในห้องเรียนคือนักศึกษาเล่นบทเป็นผู้ฟังอย่างเดียว
ไม่ซักถามหรืออภิปรายอะไร ฉันชอบกิจกรรม
ของรพ.ศิริราช
เพราะเป็นกิจกรรมที่นักศึกษาแพทย์ของที่นั่นมี “บทบาท” ชัดเจน เด็กๆ
จะรู้โดยอัตโนมัติว่า ในวันนั้น
เขาจะต้องส่งตัวแทนของแต่ละชั้นปีขึ้นอภิปรายปัญหาผู้ป่วย ดังนั้น
หลังจากที่เขาได้รับ scenario
ผู้ป่วยซึ่งกระจายแจกทั่วทั้งโรงพยาบาลแล้ว เขาจะเลือกตัวแทน
ช่วยตัวแทนหาข้อมูลและช่วยอภิปราย พอถึงวันจริง
ตัวแทนก็อภิปรายด้วยความมั่นใจ
เพราะสิ่งที่เขาพูดได้ผ่านการคิดอย่างเป็นระบบและได้รับการกลั่นกรองทั้งจากตัวเขาเองและเพื่อนๆ
มาแล้ว แม้ว่าจะมีการ “เตี๊ยม” ผู้พูดมาก่อน
แต่ฉันมองว่าเป็นโอกาสดีของตัวแทนที่จะได้ฝึกพูด
ฝึกอภิปรายโดยมีอาจารย์คอยสนับสนุนในสิ่งที่เขาพูดถูก
เพิ่มเติมในสิ่งที่เขาตกหล่น
และแก้ไขในสิ่งที่เขาเข้าใจผิด
ดีกว่าไปพูดผิดพูดถูกเอาตอนจบเป็นหมอ
ถึงตอนนั้นคงไม่มีอาจารย์ตามไปช่วยอีกแล้ว
นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสดีที่นักศึกษาจะได้เห็นแบบอย่างการอภิปรายจากอาจารย์
รุ่นน้องเห็นแบบอย่างการอภิปรายจากรุ่นพี่ สำหรับคณะของเรา ฉันคิดว่า
น่าจะนำเอารูปแบบนี้มาปรับใช้ในกิจกรรม CPC ของเราบ้าง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของกิจกรรมว่าจัดเพื่อใคร
ถ้าเพื่ออาจารย์ การจัดแบบเดิมก็คงใช้ได้
แต่ถ้าจัดเพื่อนักศึกษาซึ่งฉันเข้าใจว่าน่าจะเป็นข้อนี้มากกว่า
เราคงต้องเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมมากขึ้น
และยอมสละเวลาส่วนหนึ่งให้นักศึกษาเล่น “บทนำ” บ้าง
</span>
กิจกรรมวันพุธบ่ายปัจจุบัน น่าสนใจ (ระคนน่าอิจฉาเด็กๆ) มาก เพราะนอกจากกิจกรรม CPC ที่ยังคงเดิม (แต่อาจต้องเปลี่ยนรูปแบบอย่างที่ว่าไป) แล้ว ยังมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แต่ไม่ใช่วิชาการ อย่างเช่นกิจกรรมคราวนี้ และกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการแพทย์เลย เช่น การแสดงดนตรี การเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงด้านต่างๆ มาเล่าประสบการณ์ชีวิตด้านอื่นๆ ให้ฟัง ทั้งนักพูด ศิลปิน คอลัมนิสต์ ฉันเลยได้อานิสงค์ของเด็กๆ เข้าไปฟังด้วย ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับการจัดกิจกรรมเหล่านี้ให้กับนักศึกษาแพทย์ เพราะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้เด็กๆ รู้ว่า ชีวิตของเขาในวันข้างหน้าไม่ได้มีแต่โรงพยาบาลกับคนไข้เท่านั้น แต่ยังมีส่วนประกอบสำคัญอีกหลายอย่างที่จะทำให้ “ชีวิตเป็นชีวิต” ฉันนึกเสียดายช่วงชีวิตตอนเป็นนักเรียนแพทย์ที่ไม่ใส่ใจกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากการเรียน ทำให้ “โลก” ของฉันแคบมาก ฉันไม่รู้จักศิลปะ ไม่รู้จักดนตรี ไม่รู้จักการทำชีวิตให้รื่นรมย์ ฉันรู้ว่ามันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในชีวิต และไม่อยากให้เกิดขึ้นกับเด็กๆ ฉันมักจะบอกนักศึกษาแพทย์อยู่เสมอว่า ช่วงที่เขาเป็นนักศึกษา เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการ “ค้นหาตัวเอง” เรียนรู้ชีวิตให้รอบด้าน รู้จักคนให้หลากหลาย สะสมไว้เป็น “ต้นทุน” ชีวิตให้เยอะที่สุดเท่าที่จะเยอะได้ เพราะวันข้างหน้าเมื่อเราเรียนสูงขึ้น หรือเรียนต่อเฉพาะทาง ความรู้ของเราก็จะยิ่งแคบลง เพื่อนวิชาชีพอื่นของเราก็ยิ่งน้อยลงแทบจะเหลือแต่เพื่อนที่เป็นหมอด้วยกัน เพราะเพื่อนวิชาชีพอื่นที่เคยมีนั้นคุยกันไม่รู้เรื่องแล้ว เขาคุยเรื่องเศรษฐกิจ เงินๆ ทองๆ การทำมาหากิน เราคุยเป็นแต่เรื่องคนไข้ ความเจ็บป่วย หลายๆ ครั้งเข้าไม่เพื่อนเราก็เราที่ต้องถอยหลังและห่างกันไปในที่สุด แต่ถ้าเรามีต้นทุนชีวิตเยอะ เราก็มีสังคมที่กว้างขึ้น มีเรื่องหลากหลายในการคบและพูดคุยกับคนอื่น หรือถ้าคนอื่นๆ ที่จะทำให้ชีวิตเรารื่นรมย์เหลืออยู่น้อย เราก็ยังรู้จักวิธีการที่จะทำให้ชีวิตเรารื่นรมย์ได้ด้วยตัวเราเอง
ฉันมีโอกาสถ่ายทอดข้อความข้างบนให้นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ฟังเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
เพราะทางหน่วยกิจการนักศึกษาของคณะจัดกิจกรรมพัฒนนิเทศนอกสถานที่ที่จังหวัดตรัง
อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ
ฉันพลาดโอกาสที่ดีในชีวิตไปเมื่อคราวที่ฉันเป็นนักศึกษาแพทย์
เมื่อถึงวันที่ฉันกลายมาเป็นอาจารย์ ฉันจึง “ฉวยโอกาส” เหล่านี้ของนักศึกษาแพทย์ไว้
ฉันพยายามเข้าร่วมกิจกรรมของนักศึกษาแพทย์ทั้งหลายด้วยเหตุผล
มิใช่เพื่อทำตามหน้าที่ของอาจารย์แต่เพียงอย่างเดียว
แต่เพื่อเติมส่วนของชีวิตที่ยังไม่สมบูรณ์ของฉันด้วย
ฉันไม่อาจทราบได้ว่าเด็กๆ เข้าใจและมองเห็นสิ่งที่ฉันพูดหรือไม่
ด้วยวัยของพวกเขาที่ผ่านโลกมาน้อยกว่าฉัน
และโลกที่ผ่านมาของพวกเขามีแต่เรียน เรียน เรียน
และเรียนทำให้เขามิอาจมองเห็นภาพทั้งหมดของชีวิตในวันข้างหน้าได้
แต่อย่างน้อยฉันก็ดีใจที่ได้บอกในสิ่งที่อยากบอก
และหวังว่าบนเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไปนั้น
คงมีสักคนที่ได้ทำให้ “ชีวิตเป็นชีวิต” จริงๆ
ไม่ใช่ชีวิตที่ต้องคอยเติมส่วนที่ขาดหายไปอย่างฉัน