ขมิ้น น้องหมาสาวสวยแห่งเมืองแม่สาย ขณะนี้อายุได้ 3 ขวบกว่าแล้วค่ะ ถ้าเป็นคนก็ถึงวัยมีคู่ได้แล้ว นับดูอายุของขมิ้นกับอายุการแต่งงานของพี่สาวของฉันแล้ว ขมิ้นมีอายุมากกว่าเสียอีก ฉันจำรูปถ่ายรูปแรกของขมิ้นได้ เป็นรูปลูกหมาโกลเด้นรีทรีพเวอร์ หน้าตาน่ารักนั่งอยู่บนเก้าอี้ ข้างหลังภาพมีข้อความเขียนด้วยลายมือของพี่สาวของฉัน เสมือนเป็นการแนะนำตัวขมิ้นว่า
“หนูชื่อขมิ้นค่ะ เป็นลูกมามี้จ๋า
บางทีเวลาหนูซน มามี้จะเรียกว่า “ลิงน้อย” ค่ะ
มามี้ของหนูจะแต่งงาน หนูสับสนชอบกล มามี้เพิ่งแต่งงาน
แต่มีหนูก่อนซะแล้ว น้า…จะมางานแต่งงานของมามี้นี่คะ หนูอยากเจอน้า…เร็วๆ ค่ะ เล็บและเขี้ยวหนูกำลังคมพอดี”
พร้อมทั้งลงชื่อขมิ้นบวกกับรูปรอยเท้าน้องหมาที่พี่สาวของฉันเป็นคนวาด
อ่านทุกครั้งก็ยิ้มอารมณ์ดีทุกครั้ง
พี่สาวของฉันเป็นพวก “บ้าหมา” แต่ไม่ใช่ “หมาบ้า” นะคะ
เพราะว่ารักน้องหมาทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นน้องหมาที่บ้าน น้องหมาข้างบ้าน
น้องหมาข้างถนน แต่อย่างที่บอกนั่นแหละค่ะ
การแสดงออกซึ่งความรักมีหลายรูปแบบ พี่สาวของฉัน
ความรักของเธอที่มีให้กับน้องหมาเหมือนกับ “ความรักของเพื่อนกับลูกเพื่อน
(คนอื่น)”
ประเภทชื่นชมได้ประเดี๋ยวประด๋าว
แต่พอเด็กร้องงอแงก็ส่งคืนให้แม่ตัวจริง ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร
ตั้งแต่เล็กจนโตมา พี่สาวของฉันแทบจะไม่เคยให้อาหารน้องหมาเลย
ส่วนเรื่องอาบน้ำน้องหมา หรือหาเห็บนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ครั้นเมื่อเธอตัดสินใจเลี้ยงเจ้าขมิ้นน้อย
ฉันและแม่เลยอดสงสัยไม่ได้ว่า
พี่สาวของฉันจะเลี้ยงเจ้าลูกวัวน้อยตัวนี้ได้ตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า
หรือว่าต้องส่งกลับมาให้แม่ของฉันเลี้ยงแทน
ผิดคาดค่ะ
พี่สาวของฉันเลี้ยงขมิ้นได้ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ
จากลูกวัวน้อยกลายไปเป็นขมิ้นสาวสวยขนสีทองนุ่มสลวย
อันเกิดจากความเอาใจใส่ของพี่สาวของฉัน จากคนที่ไม่เคยอาบน้ำ
ไม่เคยหาเห็บให้น้องหมา สามารถใช้เวลาในการอาบน้ำ
แปรงขนขมิ้นได้เป็นครึ่งค่อนวันอย่างน่าแปลกใจ
ทั้งยังหมั่นดูแลสุขภาพของขมิ้นให้แข็งแรงอยู่เสมอ
ทั้งพาไปวิ่งออกกำลังกาย ว่ายน้ำ และพาไปตรวจร่างกาย ครั้งหนึ่ง
พี่สาวของฉันอ่านหนังสือเจอว่า
น้องหมาที่มีหินปูนนอกจากจะทำให้มีกลิ่นปากอันน่ารังเกียจแล้ว
ยังทำให้เหงือกอักเสบและพาลไม่สบายเรื้อรัง
เลยมีความคิดจะพาขมิ้นไปขูดหินปูน
แต่การขูดหินปูนในน้องหมาไม่เหมือนกับคน เพราะต้องวางยาสลบน้องหมาก่อน
ฉันถามอย่างเป็นห่วงตามประสาคนขี้กลัวว่า ไม่กลัวขมิ้น “หลับ” ไปเลยหรือ
พี่สาวของฉันตอบแบบ “ใจดีสู้เสือ” ว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก
มีคนพาหมาไปขูดเยอะแยะ”
เมื่อถึงวันนัดที่พี่สาวของฉันต้องพาขมิ้นไปขูดหินปูน
ฉันโทรศัพท์ไปถามข่าวคราวขมิ้นว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ฉัน:
“ขมิ้นไปไหนเหรอ”
พี่สาว:
“ไม่รู้ไปไหนละ สงสัยวิ่งอยู่ข้างบ้าน”
ฉัน: “เก่งแฮะ
ไม่สะลึมสะลือเลยเหรอ”
พี่สาว: “อ๋อ ตกลงไม่ได้ขูดหรอก
ก็ทั้งน้า (หมายถึงฉัน) ทั้งโก…(สามีพี่สาวของฉัน) พูดซะขนาดนั้น
พี่เลยไม่กล้าให้ขูด”
ตกลงว่าวันนั้นขมิ้นไม่ได้ขูดหินปูน และจนถึงทุกวันนี้
พี่สาวของฉันก็ยังไม่มีความคิดที่จะพาขมิ้นไปขูดหินปูนอีก
อานุภาพ “ความรัก” มันรุนแรงอย่างนี้นี่เอง ความรักทำให้พี่สาวของฉันยอมทำในสิ่งที่เธอไม่เคยทำ ด้วยความเต็มใจและมีความสุขที่ได้ทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้กับขมิ้น น้องหมาสุดที่รัก เหมือนกับครั้งที่เธอตัดสินใจจากร่มไม้ใหญ่ของพ่อและแม่ไปอยู่เชียงราย นั่นก็เพราะความรัก(ที่มีต่อสามีของเธอ) เหมือนกัน แต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีสองด้านที่ตรงข้ามกันเสมอ มีแพ้ก็มีชนะ มีขาวก็มีดำ มีความสุขก็มีความทุกข์ ความรักของพี่สาวของฉันที่มีต่อขมิ้น แม้จะนำมาซึ่งความสุขในชีวิต แต่ขณะเดียวกันมันก็นำมาซึ่งความทุกข์ใจอันเนื่องมาจากความเป็นห่วงและความกังวลต่อการจากลาที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ สมมติว่า ในความจริงแล้วขมิ้นต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราหรือต้องตายจากในวันนั้น การที่พี่สาวของฉันตัดสินใจไม่ให้ขมิ้นขูดหินปูนอาจเป็นแค่การ “ยื้อเวลา” ชีวิตของขมิ้นเท่านั้น เพราะวันหนึ่ง “การจากลา” ระหว่างพี่สาวของฉันและขมิ้นก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี แล้วเราจะทำอย่างไรกับวันนี้ วันที่ทั้งเราและสิ่งที่เรารักยัง “สัมผัส” ถึงกันได้ เราจะเตรียมตัวอย่างไรให้ “พร้อม” เผชิญกับการสูญเสีย นั่นต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทำสิ่งดีๆที่อยากทำ
และไม่ปล่อยให้ทั้งตัวเราเองและสิ่งที่เรารักตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการจากลา
เพื่อที่เราจะได้ไม่เสียใจในวันที่ตัวเราและบุคคลอันเป็นที่รักไม่สามารถ
“สัมผัส”
ถึงกันอีกต่อไป