คุณสมัคร หรือ หรือว่า "หงส์แดง" เกี่ยวกันได้ไงนะ?
พูดถึงคุณสมัคร ก็มีคนที่รัก-เกลียดละครับ อย่างว่าแหละความรัก-เกลียดเป็นของสาธาร ว่าไหม?
แต่ถ้าพูดถึงหงส์แดงละก้อ จะอยู่หรือไปนี่ คืนนี้จะฝันร้ายแน่ๆเลย (ฝันเห็นคุณสมัคร หรือ บอล)แพ้ดีละ?
เคยได้ยินนะครับว่า บอลแพ้คนไม่แพ้เนี่ย เหมียนกัลลลล เสื้อแดงหรือเหลืองใครจะแพ้? เฮ่ยยยย
ไม่อยากพร่ามให้มากเดียวมีคนหมั้นใหม ?
สุดท้ายละกัน อาลัยทุกคนที่ต้องจาก ไม่มีใครอยากจากของที่ตนรักหลอก ครับ
อาลัยคุณราฟา หากว่าต้องจาก
อาลัย ผีผี หากว่าไม่อยู่เป็นเพื่อนกัน
ขอให้ท่านจงสมหวังยามค่ำคืน
สวัสดียามเช้าค่ะ
คุณสมัครมีข้อดีที่ดิฉันยอมรับอยู่อย่างหนึ่ง คือเรื่องความสัมพันธ์ในครอบครัวค่ะ
ท่านว่า อยู่กันอย่างมีความสุขเพราะความเกรงใจ เกรงใจภรรยา เกรงใจลูก
แต่สำหรับเรื่องอื่น
ไม่ขอออกความเห็นค่ะ
ความจริงการชอบใครหรือไม่ชอบใครเป็นความเห็นของบุคคลนั้นๆครับ สำหรับคุณสมัครผมก็ชอบเป็นบางเรื่อง คุณอภิสิทธิ์ผมก็ชอบเป็นบางอย่างต่างกันครับ ทุกท่านคงไม่รังเกียจกันเพียงเพราะความคิดไม่ตรงกันนะครับ ไม่งั้นผมว่าเราคงอยู่กับใครไม่ได้เลย เพราะเราไม่สามารถมีความเห็นตรงกันได้ทุกเรื่อง แม้แต่พ่อ-แม่-ลูก จริงไหม? แต่ความจริง(แท้)อาจจะเป็นอย่างที่เราชอบหรือไม่ชอบก็ได้ เพราะความจริง(อริยสัจจ์)ไม่ได้เอาความชอบไม่ชอบมาเป็นเกณฑ์ตัดสิน ขอความชี้แนะจากทุกๆท่านครับ สวัสดีและขอบคุณ คุณณัฐครับที่มาเยี่ยม
สวัสดีค่ะคุณไกรษร
บุคคลทั้ง 3 จำพวกนี้ สามารถมีอยู่ได้ภายในตัวเราคนเดียวนี้ เหตุเพราะ
“โลก” พระพุทธองค์ได้บัญญัติไว้กายเรานี้ ขออนุญาตยกพุทธพจน์นี้มานะคะ
.
“สิ่งนั้น” หาพบได้ในกายนี้
“แน่ะเธอ ! ที่สุดโลก แห่งใด อันสัตว์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ไม่จุติ ไม่อุบัติ เราไม่กล่าวว่าใครอาจรู้ อาจเห็น อาจถึง ที่สุดแห่งโลกนั้น ด้วยการไป
“แน่ะเธอ ! ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งนี้ ที่ยังประกอบด้วยสัญญาและใจนี่เอง, เราได้บัญญัติโลก, เหตุให้เกิดโลก, ความดับสนิทไม่เหลือของโลก, และทางดำเนินให้ถึงความดับสนิทไม่เหลือของโลกไว้ ดังนี้แล”
-จตุกฺกง อํ ๒๑/๖๒/๔๕
ซึ่งท่านพุทธทาสให้ความเห็นว่าโลก “คือพรหมจรรย์ทั้งหมดมีอยู่ในร่างกายที่ยาววาหนึ่ง และเป็นร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ ตายแล้วไม่มี ในร่างกายที่มีความรู้สึกปกตินี้ ในนั้นมันมีครบ พระพุทธเจ้าท่านเป็นโลกวิทู เพราะท่านรู้โลกอันนี้ เพราะว่าโลกอันนี้คืออริยสัจจ์ทั้งสี่” (เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับพุทธบริษัท ปฏิจจสมุปบาท หน้า 65)
.
ดังนั้น หากเราศึกษาหาความรู้ ไม่เคยฝึกควบคุมจิตเลย เราก็จะโลดแล่นไปตามเวทนา ก่อให้เกิดทุกข์ จึงมีจิตเหมือนแผลกลัดหนอง
หากเรามีความรู้ขึ้นมา เมื่อเกิดทุกข์ เราใช้สติปัญญาพิจารณา เห็นอริยสัจจ์สี่ได้ชั่วขณะ (ไม่ว่าจะด้วยจิตที่เป็นสมาธิตามธรรมชาติ หรือจากการฝึกสมาธิ) จึงมีจิตเหมือนฟ้าแลบ คือสว่างแปร๊บๆ (แต่บางขณะที่รู้ไม่ทันเวทนา ก็อกกลัดหนองได้เหมือนกันค่ะ)
แม้จะเห็นอริยสัจจ์สี่แล้วก็ยังไม่พอค่ะ (อริยสัจจ์สี่มีการปริวัฏฏ์ 3 รอบ เราอาจเห็นแค่รอบเดียว จึงยังหลุดพ้นไม่ได้) ต้องมีความเพียรในการปฏิบัติมากขึ้น ที่ว่า “กระทำให้แจ้งได้ซึ่งเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ” นั้น มีสมาธิแฝงอยู่ในนั้นด้วย คือต้องปฏิบัติการทางจิตจนกว่าจะวิมุตติ หลุดพ้นไปได้ (ถ้าฝึกอานาปนสติ ก็คือถึงขั้น 15 แล้ว)
แต่ที่ว่า “มีจิตเหมือนเพชร” นั้น ดิฉันไม่แน่ใจค่ะ ว่าหมายถึงจิตในขณะที่ปฏิบัติอานาปนสติอยู่ หรือ เมื่อหลุดพ้นแล้ว เพราะในขณะที่จิตเป็นสมาธิ ความจริงทุกอย่างที่ต้องการรู้จะกระจ่างออกมา
จะบอกว่าความสงสัยในธรรมข้อใดๆจึงเหมือนหินไรๆ ที่ไม่อาจต้านทานเพชรได้ก็น่าจะได้
หรือจะว่า เพราะอาสวะหมดแล้ว จิตจึงเหมือนเพชร ก็น่าจะได้อีกนั่นแหละค่ะ
สวัสดีครับ
นับถือคุณ ณัฐรดา มากครับ