สองวันแห่งการเรียนรู้ ; ลบหลู่ครูบาอาจารย์ไม่เจริญ


“การปฏิบัติภาวนาเหมือนกับการว่ายทวนกระแสน้ำ เมื่อไหร่ที่เราหยุดว่าย เมื่อนั้นเราก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำ”

สองวันแห่งการเรียนรู้ ; ลบหลู่ครูบาอาจารย์ไม่เจริญ

          “การที่เรากราบท่านเป็นครูบาอาจารย์ แล้วเราเป็นศิษย์ท่านนั้น เราต้องยกท่านไว้เหนือหัว รู้ไหม พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ต้องยกไว้เหนือเกล้า พี่เคยสอนเราแล้วใช่ไหม ยกตัวอย่างก็ยกให้ดูแล้ว ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะเป็นอย่างไร ก็ตามท่านก็คือผู้มีพระคุณของเรา ตอนที่ท่านเสียสละสอนเรา ท่านสอนด้วยหัวจิตหัวใจของการเป็นครู การที่เราไปลบหลู่ดูหมิ่นท่าน เราจะไม่เจริญ”

          นี้คือคำสอนของครูเช้านี้ หนูได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เราลบหลู่ หรือ ไม่เคารพครู แม้เพียงในใจ ก็ส่งผลให้จิตใจเศร้าหมอง ทำการงานก็ไม่ลื่นไม่คล่อง มีความกังวล พอท่านบอกท่านเตือน ก็โกรธท่าน พอมีความโกรธเกิดขึ้น สติก็ไม่มีปัญญาก็ไม่เกิด นอกจากจะไม่แก้ไขปรับปรุงตนเองแล้ว ยังโกรธแค้น เพ่งโทษคอยจับผิดครู ต่าง ๆ นา ๆ จิตใจยิ่งไหลลงต่ำ จนตรอกหาทางออกไม่ได้ เมื่อวานหนูพยายามดิ้นรน หาความอบอุ่นมาเติมเต็มในใจ จากที่ไม่ค่อยกิน ก็กลายเป็นคนที่กินอย่างบ้าครั่ง จากที่ไม่ค่อยนอน ก็ง่วงเหงาหาวนอน ปกติก็ไม่ได้โทรศัพท์หาใครหากไม่มีธุระจริง ๆ แต่เมื่อวานมันอยากจะโทรศัพท์หาใครไปทั่ว ดิ้นรน แต่ยังดีที่พยายามระงับไว้ก่อน เพราะนึกถึงคำสอนครูว่า

 “เวลากิเลสมาสู้มันก่อน อย่าสาดทุกข์ใส่คนอื่น เขาก็มีทุกข์ของเขามากอยู่แล้ว ถ้ายังจัดการกับมันไม่ได้ก็ให้อดทนไว้ก่อน” 

 กิจวัตรต่าง ๆ ที่ซึ่งเป็นหน้าที่ ๆ ต้องทำ มันก็พาลไม่อยากทำ กว่าจะลากสังขารตนเองไปทำมันก็ทรมารอยู่ แต่ก็เพียงได้สักแต่ทำ พอครูบาอาจารย์โทรมาเตือนอีก โอ๊ย เหมือนโลกจะถล่ม เพราะมันหาสาเหตุไม่เจอว่ามันคือ อะไร ไม่รู้สาเหตุ แต่ก็โง่ ไม่หา ได้ แต่ร้องไห้ คร่ำครวญเสียอกเสียใจ โศกเศร้ารำพึงรำพันเป็นนางเอกละครน้ำเน่า

ต้องคอยถามตนเองที่เศร้านี่ เศร้าจริง ๆ รึ ตอแหล ก็มีเสียงอ่อย ๆ ในใจ เศร้าจริง ๆ นะ

แล้วไง ร้องไห้ แล้วปัญหาจบไหม มันก็โง่ไม่ฟัง เมื่อวานนี้อะไรก็ตามที่ครูเคยสั่งระงับ เพื่อให้สะดวกลื่นคล่องในการปฏิบัติ มันอยากจะไปทำสุดฤทธิ์สุดเดช แต่ก็มีเสียงเตือนมาว่า

          “ถ้าแกเตลิดกว่านี้กู่ไม่กลับนะ สังสารวัฏนี่มันยาวนาน แกยังทุกข์ไม่พออีกเหรอ นี่ก็ตกนรกแล้วเนี่ย”

ก็หยุดไป ไปเจอเรื่องใหม่ที่ท่านห้าม ใจมันก็ริก ๆๆ ๆ อยากไป ทำอีก

          ทำให้คิดถึงคำสอนครูที่บอกว่า

          “การปฏิบัติภาวนาเหมือนกับการว่ายทวนกระแสน้ำ เมื่อไหร่ที่เราหยุดว่าย เมื่อนั้นเราก็จะไหลลงสู่ที่ต่ำ”

 เมื่อวานมันชัดเจนมากเลยค่ะ สำหรับหนูแล้วมันไม่ใช่เพียงไหลลงที่ต่ำ แต่มันเหมือนเป็นการไหลลง แล้วตกลงเหว อย่างไรอย่างนั้น

กว่าจะเข้าอกเข้าใจอะไรสักอย่าง ต้องใช้ความอดทนแสนสาหัส แต่พอพลาด แป๊บเดียวมันไหลลงพลืดเดียว จมดิ่ง

แต่ก็นั้นแหละค่ะ คำสอนครูก็ผุดขึ้นมาเตือนสติ เป็นระยะ ๆ ทำให้หนูพยุงตนเองขึ้นมา ด้วยแรงฉุดของท่าน

          ท่านสอนว่า

            “เราเกิดมาเพื่อสั่งสมความอดทน อดทนกับความบีบคั้น อดทนกับความขี้เกียจ เราต้องตั้งใจ วันนี้ตั้งใจเท่านี้ พรุ่งนี้ต้องตั้งใจมากขึ้น วันถัดไปต้องตั้งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ”

 

หนูได้เรียนรู้ว่า ความอดทน ช่วยเหลือประคับประคองได้จริง ๆ เพราะหนูสติ อ่อน ปัญญาก็ไม่มีกำลัง มีความอดทน อดทน และอดทน บางทีก็เป็นการอดทน แบบโง่ ๆ เหมือนที่ครูสอน หนูเห็นว่าหนูต้องอดทนมากขึ้นทุก ๆ วัน เจอเรื่องยากขึ้น ทุกวัน ๆ ตั้งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่า สิ่งที่จะมาดึงลงต่ำมันลวดลายแพรวพราว แม้มันจะน่ากลัว แต่หนูก็จะอดทนค่ะ หนูจะอดทนไปจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว

          สิ่งที่ครูย้ำอีกอย่างในเช้านี้คือ หน้าที่ ระวังอย่าให้อารมณ์มาอยู่เหนือ ไม่ว่าอารมณ์จะเป็นเช่นใด หน้าที่ก็คือหน้าที่ เมื่อคืน เพราะหนูโดนอารมณ์ครอบงำ จนขาดส่งการบ้านคุณครู เป็นการสะท้อนสภาวะความอ่อนแอในจิตใจ ที่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ

          “หน้าที่เล็กน้อยเพียงเท่านี้หนูยังรับผิดชอบไม่ได้ งานใหญ่ ๆ ที่ครูจะมอบหมายให้เป็นแขนเป็นขาให้ จะไว้วางใจได้ยังไง”   

          ประโยคนี้ของครู ทำให้หนูรู้สึกมีความหวัง เหมือนมีโอกาสอีกครั้ง เหมือนครูกำลังบอกหนูว่า

          “หนูมีโอกาส ช่วยเหลืองานใหญ่ ๆ ของครู หากหนู มีความตั้งใจและอดทนมากพอ”

          ในตอนท้ายครูได้เฉลยกับหนูว่าที่ผ่านมารู้รึยังว่าทำผิดอะไร หนูก็เดาไปเรื่อย ฉียดไปก็เฉียดมาจนท่านเฉลยว่า

“ที่มันไม่เจริญ เพราะมันไม่เคารพครู”

          กราบขอบพระคุณครูมาก ๆ ค่ะ เพียงสองวัน กับการล้มลุกคลุกคลานของหนู แต่ครูช่วยประคับประคอง ตีเหล็กเมื่อร้อน ชุบน้ำเพื่อให้แข็งแกร่ง ทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่หนูได้เรียนรู้ในสองวันนี้มันมาก จนยากที่จะเขียนออกมาได้หมด เป็นความซึ้งเข้าไปในใจ ในความเมตตาของครู ไม่รู้จะบอกยังไงค่ะ

 

หากสิ่งใดศิษย์ได้ล่วงเกินครูขอได้โปรดท่านเมตตางดโทษให้ศิษย์ด้วยเจ้าค่ะ ด้วยความความโง่และความเห็นผิดในใจศิษย์ ทำให้ใจมืดบอด ไม่เห็นความเมตตาของครู ขอกราบขอบพระคุณครูอีกครั้งเจ้าค่ะ

หมายเลขบันทึก: 311543เขียนเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2009 11:37 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:51 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

มีอีกส่วนที่หนูรู้สึกว่ายังขาด คือ เพราะความเมตตาของท่านไม่มีประมาณ ไม่ว่าศิษย์จะทำไม่ดีขนาดไหน ครูบาอาจารย์ท่านเมตตาเสมอ สั่งสอน ตักเตือน ด้วยหัวจิต หัวใจของครู ผู้ปรารถนาให้ศิษย์ เจริญก้าวหน้า พร้อมที่จะให้อภัยหากใจเรารู้สำนึก นี่คือความน่ายกย่องของครูผู้เมตตาค่ะ ท่านเหนื่อยกับหนูมาก ๆ หนูคอยแต่ออกนอกลู่นอกทางอยู่ร่ำไป แต่ท่านก็ไม่เคยปล่อยมือจากหนู กราบขอบพระคุณครูค่ะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาทักทายค่ะ

เห็นด้วยค่ะว่าการลบหลู่อาจารย์นั้นไม่มีใครเจริญแน่นอนค่ะ

เพราะครูหรืออาจารย์เปรียบเสมือนพ่อ แม่ คนที่ 2

ที่รักและหวังดีต่อศิษย์เสมอ

ต้องการให้เดินไปข้างหน้าด้วยความหวัง เป็นคนดีของสังคม

มีงานทำที่ดีๆหากเมื่อไหร่ที่รู้ว่าลูกศิษย์ของตนได้ดี  ครูก็ดีใจไปกับเค้าด้วย

การที่เราดูถูกครูเนี่ยมันไม่เจริญจริงเหรอครับ แล้วที่ครูทำไม่ดีกับนักเรียนล่ะ มีเยอะนะ ถ้าเกิดกรณีอย่างงี้แล้วเราไปด่าเราก้ไม่เจริญนะสิครับ ผมว่าเจริญไม่เจริญมันขึ้นอยู่กับการขวนขาย พัฒนาตนเองมากกว่านะ

ตอบกระทู้ดิวแอสนะครับ
ครูเป็นมนุษย์เป็นผู้มีกิเลสเช่นกันครับ แต่คุณจะพิจารณาได้ว่าครูประเภทใดที่คุณไม่ควรจะลบหลู่ท่าน
พิจารณาจากศีลของท่าน เช่นพระเป็นครูสอนกรรมฐาน ไม่ควรลบหลู่อย่างยิ่ง
พิจารณาจากความประพฤติดี ประพฤติชอบของท่าน เช่นครูบางท่านที่ถือศีล 8 ถือศีล 5 ได้ครบถ้วนตลอด ไม่ควรลบหลู่อย่างยิ่งเช่นกัน
หากครูบางท่านถือศีล 5 บางข้อไม่ครบให้พิจารณาความดีข้ออื่นๆของท่านที่น่าเคารพ

ส่วนกรณีของ ดิวแอส น่าจะเจอครูที่ทำไม่ดดีกับนักเรียน ไม่แน่ใจว่าแบบไหน ต้องลองพิจารณาดูครับ

ส่วนกรณีดูถูกครูแล้วไม่เจริญจริงไหมขอแนะนำให้ลองเซิร์ชหาพุทธประวัติตอนหนึ่งเกี่ยวกับพร์าหมที่ดูถูกครูแล้วทำให้มนต์เสื่อมดูครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท