ลักคณา พบร่มเย็น
อาจารย์ ลักคณา ลักคณา พบร่มเย็น พบร่มเย็น

ความเป็นมาของกรรมสิทธิโรมันจนถึงสมัยประชาธิปไตย


ความเป็นมาของกรรมสิทธิ์โรมันจนถึงสมัยประชาธิปไตย

ความเป็นมาของกรรมสิทธิโรมันจนถึงสมัยประชาธิปไตย : ความเห็นของ Monier

-------------------------------------------

กรรมสิทธิ์เอกชนในที่ดิน : จุดเริ่มต้น 

-------------------------------------------

          ในอารยะธรรมโบราณกรรมสิทธิ์ในที่ดินมักจะมีวิวัฒนาการที่แตกต่างไปจากกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์และเรามักจะพบข้อเท็จจริงและร่องรอยจากอดีตอันชี้ให้เห็นชัดว่ากรรมสิทธิ์รวมของเผ่าหรือกลุ่มที่เล็กเท่านั้นมักจะเกิดขึ้นก่อนกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในที่ดิน

          นักคิดในปัจจุบันไม่สามารถตกลงกันได้ว่าสถานภาพของกรรมสิทธิ์ในที่ดินในช่วงก่อตั้งโรมเป็นอย่างไร บางคนเห็นว่าหัวหน้าครอบครัวมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียงครึ่งเฮคตาร์ (heredium) และที่ดินรอบกรุงโรมนั้นส่วนใหญ่อยู่ภายใต้บังคับของกรรมสิทธิ์ของรัฐ

          นักคิดอื่นหลายท่านโดยเฉพาะ Bonfante[1] เห็นว่า heredium เป็นการจัดตั้งของ คนชั้นธรรมดา (plebeienne) และในสมัยโบราณนั้นมีกรรมสิทธิ์รวมของสกุลต่าง ๆ (gentes) อันมีลักษณะพิเศษ ซึ่งเป็นผลตกทอดมาถึงกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลของกฎหมายเอกชน ส่วน de Francisci เห็นว่า ครอบครัว (familia) เป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งของโรมสมัยโบราณซึ่งยอมรับกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายเอกชนของหัวหน้าครอบครัวเหนือที่ดินซึ่งครอบครัวถือเอาประโยชน์อยู่

          อย่างไรก็ดี Monier  เห็นว่าเราไม่อาจทราบได้โดยชัดแจ้งว่าวิวัฒนาการของการเข้าถือครองซึ่งที่ดินที่โรมในช่วงระหว่างการก่อตั้งโรม จนกระทั่งการตรากฎหมาย 12 โต๊ะหรือแผ่นขึ้นแล้วเป็นอย่างไร  เราทราบแต่เพียงว่าตามจารีตทางวิชาการการที่เอกชนเข้าถือเอาซึ่ง  heredium อันเป็นมรดกตกทอดถึงทายาทได้นั้น  เกิดขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์ต้นๆ  ของโรม และถ้อยคำว่า ex iure Quirtium (ตามสิทธิแห่งคนโรมัน) อันใช้กับกรรมสิทธิ์โรมันในภายหลังโดยเฉพาะนั้นมีความสัมพันธ์กับชาวซาบินแห่งภูเขาควิรินัล (Quirinal) พึงสังเกตว่าในชั้นเริ่มแรกราษฎรโรมันซึ่งแต่เดิมมาจากภูเขาอัลบานุส (Mons Albanus) (ปัจุบันเรียกว่า Monte Cavo) ในบริเวณ Latium (ปัจจุบัน เรียกว่า  Lazio) เป็นคนเลี้ยงสัตว์  ส่วนพวกซาบิน (ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Latium) นั้น นอกเหนือจากจะเลี้ยงสัตว์แล้วยังทำการเพาะปลูกธัญพืชและองุ่นด้วย

          มีหลักฐานเชื่อได้ว่ากรรมสิทธิ์ตามกฎหมายเอกชนของหัวหน้าครอบครัวเหนือ heredium ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ตอนแรก)ของโรม  และกรรมสิทธิ์รวมของราษฎรโรมันเหนือที่ดินที่ยึดได้มาจากข้าศึก(ager  publicus) อย่างไรก็ดี หลักฐานว่าตระกูล (gens) มีกรรมสิทธิ์รวมเหรือที่ดินบริเวณแน่นอน (pagus) ในระยะก่อตั้งโรมไม่มีปรากฏและไม่มีหลักฐานใดๆที่แสดงว่าการแบ่งแยกที่ดินเพื่อการเพาะปลูกเป็นครั้งคราวของตะกูลหรือการจัดสรรที่ดินของตระกูลอย่างเด่นชัดเป็นทางการให้กับครอบครัวสามชิก

          อย่างไรก็ดี Monier  ตั้งข้อสังเกตว่าเผ่าชนบททั้ง 16 ซึ่งก่อตั้งขึ้นก่อนต้นศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลนั้นมีชื่อตระกูล (gentes) ทำให้เข้าใจว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการแบ่งแยกที่ดินและตระกูล อย่างไรก็ดีแม้ดูเหมือนจะปรากฏว่าในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาลสมาชิกตระกูลเดียวกันรวมกลุ่มอยู่ในบริเวณ (pagus) เดียวกันก็ตาม เราไม่สามารถยืนยันได้ว่าการก่อตั้งเผ่าชนบทดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการจัดสรรที่ดินของตระกูล (ager gentilicius) ให้กับครอบครัวสมาชิกหรือไม่ และตระกูลมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตน (pagus) หรือไม่ ลิวี หรือ TituS Livius (ปี 59 ก่อนคริสตกาล-ค.ศ. 1 6) นักประวัติศาสตร์โรมันเรืองนามเล่าว่าตระกูล claudia ได้รับจัดสรรที่ (ager) เลยแม่น้ำ Anienus (สาขาของแม่น้ำ Tiberis) ขึ้นไป ซึ่งอาจจะเป็นการก่อตั้งเผ่าใหม่ขึ้นก็ได้ 

          อย่างไรก็ดีเผ่าดังกล่าวมีราษฎรคนอื่นนอกเหนือจากตระกูล claudia รวมอยู่ด้วย และไม่ปรากฏว่าตระกูลนี้ได้รับกรรมสิทธิ์รวมเหนือที่บริเวณนี้หรือไม่ ตรงกันข้าม Monier  ยืนยันว่า Denys แห่งเมืองกรีซอันมีชื่อว่า Halicarnassus กล่าวถึงการจัดสรรที่ดินซึ่ง claudius ได้มาในหมู่ครอบครัวต่างๆ ที่ติดตามเข้ามาก็ดูจะเป็น การขัดแย้งกับข้อมูลของลิวี ยิ่งกว่านั้น plutarch (เข้าใจว่ามีชีวิตอยู่ระหว่าง ค.ศ. 46- 120) นักประวัติศาสตร์เรืองนามชาวกรีกในผลงานอันเป็นชีวประวัติของ publius valerius publicola ยังกล่าวว่า consul คนแรกของโรมผู้นี้ได้จัดสรรที่ประมาณครึ่งเฮคตาร์ให้กับหัวหน้าครอบครัวแต่ละคน ส่วน claudius นั้นได้รับ 12 .5 เฮคตาร์

          Monier เห็นว่าจำนวนของตระกูลยังมีสูงกว่าจำนวนของเผ่าหรือของที่ดินของตระกูล (pagi) เพราะมีชื่อตระกูลขุนนาง (gentes patriciae) ประมาณ 50 ปรากฏอยู่ในทำเนียบของผู้บริหารชั้นสูงของรัฐในสมัยโบราณที่สุดของโรม ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏว่าที่ดินรวมของราษฎรโรมัน (ager publicus) ภายในกรอบที่ดินของเผ่าต่างๆ อีกด้วย

          Monier  ตั้งข้อสันนิษฐานว่า pagus (ซี่งใช้เรียกที่ดินซึ่งตระกูลเป็นเจ้าของ) ในสมัยศตวรรษที่ 5 และ 6 ก่อนคริสตกาลเป็นท้องที่ชนบทซึ่งอาจจะมีหลายตระกูลอาศัยอยู่ด้วยกัน โดยที่อยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน (vici) หรือพำนักอยู่ในไร่นา (villae)แยกกัน (Monier อาศัยข้อมูลจากทีวีที่เกี่ยวกับกลุ่มชาวซาบิน) การก่อตั้งเผ่าชนบทน่าจะเป็นผลจากการตั้งรากในชนบทของเกษตรกรซึ่งอาศัยอยู่บนที่ดินของโรม

          อย่างไรก็ดี Monier  เชื่อว่าไม่มีข้อสงสัยเลยว่าในช่วงเวลาก่อนการตรากฎหมาย 12 โต๊ะหรือแผ่น ได้มีการพัฒนาหน่วยเกษตรกรรมอันมีชื่อเรียกว่า fundus หรือ hortus และก่อนเป็น villa อันมีขนาดใหญ่โตกว่าครึ่งเฮคตาร์ และขึ้นอยู่ภายใต้บังคับกรรมสิทธิ์ของหัวหน้าครอบครัว ในยุคทีโรมแปรสภาพเป็นเมืองใหญ่ และเกษตรกรรมได้พัฒนาไปอย่างมากมาย ที่ดินซึ่งครอบครัวถือเอาประโยชน์อยู่ภายใต้บังคับแห่งหัวหน้าครอบครัวจึงกลายเป็นฐานทางกฎหมายและสังคมของประชาชนโรมัน แต่ในขณะเดียวกันก็มีทุ่งเลี้ยงสัดว์และป่าไม้ (saltus) อันอยู่ภายใต้บังคับกรรมสิทธิ์รวมด้วย

          ในขณะที่โดยนิตินัยแล้วแม้กรรมสิทธิ์ใน fundus จะเป็นของหน้าครอบครัวโดยที่หัวหน้าครอบครัวมสิทธิ์เด็ดขาดในการจัดการก็ตาม ในทางพฤตินัยแล้วที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของครอบครัว โดยทีมีจุดมุ่งหมายที่จะตอบสนองความต้องการของครอบครัวฉะนั้นในแต่ละครอบครัวมีผู้ครองกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว แต่สิทธิของผู้อื่นจะปรากฏเมื่อหัวหน้าครอบครัวสิ้นซีวิดลงแล้ว (Monier I, 1947 : 358)

----------------------------------------------

กรรมสิทธิ์ที่ดิน : การแผ่ขยายออกไป

----------------------------------------------

          ที่ดินอันยึดมาได้โดยสันนิบาตสัตคีรี (septimontium อันภายหลังเป็นที่ตั้งกรุงโรม) และรัฐโรมัน (ในภายหลัง) กลายเป็นทรัพย์สินรวมของราษฎรโรมันเรียกกันว่าที่ดินสาธารณะ (ager publicus) ส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวก็ให้เป็นสัมปทานแก่ชนชั้นธรรมดา (plebs) โดยอาจเป็นรายบุคคล (viritim) หรือรวมกันในการก่อตั้งชุมชน (colonia)ก็ได้ โดยที่แต่ละหัวหน้าครอบครัวได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งโดยจารีตกำหนดไว้เท่ากับ 2 หน่วยเนื้อที่โรมัน (bina iugera) หรือประมาณครึ่งเฮคตาร์ อย่างไรก็ดีนับแต่ปี 392 ก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ในการแบ่งแยกที่ดินของเมือง veii ที่ยึดมาได้หรือในปี 274 ก่อนคริสตกาลในการแบ่งแยกที่ดินซึ่งยึดมาได้จากพวกแซมไนท์ หัวหน้าครอบครัวชนชั้น ธรรมดาได้รับการจัดสรรคนละถึง 1.75 เฮคตาร์ (ตามหลักฐานของลิวี)

          ที่ดินสาธารณะหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (ager publicus) ไม่อาจเป็นวัตถุแห่งกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลได้จนกว่าการประกอบพิธีการ ซึ่ง Monier[2] เข้าใจว่าชาวอีทรัสคัน (Etrusques) นำเข้ามาใช้ที่โรม วิธีการดังกล่าวมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่จะจำกัดโดยรอบคอบว่าราษฎรโรมัน หรือคนละติน (latin) แต่ละคนพึงได้รับการจัดสรรที่ดินมากน้อยเท่าใด เมื่อพ้นจากส่วนของเอกชนแล้ว ส่วนที่เหลือก็เป็นทรัพย์ศักดิ์สิทธิ์ (res sanctae) และที่ดินที่เอกชนได้รับการจัดสรรแต่ละแปลงจะแยกออกจากที่ดินติดกันโดยเด็ดขาด ทั้งนี้จะมีทางว่างประมาณห้าฟุต หรือเส้นแบ่งเขตจากเหนือไปใต้ (cardo) (ซึ่งปกติแปลว่าแกนหรือบานพับ) หรือเส้นแบ่งเขตจากตะวันออกไปตะวันตก (decumunus หรือ decimanus ซึ่งปกติแปลว่า อากรที่ชักหนึ่งในสิบ) อันเป็นทางสาธารณะคั่นกลาง โดยเหตุนี้ผู้ครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่ละคนก็มีทางออกไปยังทางสาธารณสุขได้โดยไม่ต้องผ่านที่ข้างเคียง (และทำให้ไม่จำเป็นต้องมีภาระจำยอมผ่านทางผิดกัน-ผู้เขียน)ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่กลายมาเป็นที่ส่วนบุคคลมีชื่อเรียกว่า ที่ดินที่ถูกล้อมไว้ (agri limitati)

          ส่วนที่ดินที่ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน(ager publicus) อีกต่อไปส่วนหนึ่งนั้นมักตกอยู่ในการครอบครองของตระกูลขุนนางซึ่งสงวนสิทธิ์ในการใช้สอยที่ดินดังกล่าวทั้งๆ ที่ในทางนิตินัยนั้นการครอบครองที่ดินดังกล่าวเปิดกว้างให้แก่ราษฎรทุกคนอย่างน้อยก็ในรัชสมัยของกษัตริย์อีทรัสคัน นักประวัติศาสตร์ เช่น ลิวี อดไม่ได้ที่จะชี้ให้เห็นถึงความลักลั่นระหว่างที่ดินประมาณครึ่งเฮคตาร์ (duo iugera) ที่คนชั้นธรรมดาได้รับการจัดสรรกับที่ดินมหาศาลซึ่งขุนนางครอบครองอยู่ และพิจารณาเห็นว่าการจัดสรรที่ให้กับคนธรรมดาในลักษณะดังกล่าวมีผลกระทบในลักษณะการแย่งที่ดินมาจากขุนนางที่ครอบครองอยู่เดิม

          สาธารณสมบัติของแผ่นดิน (possessiones หรือ agri occupatorii) อันสงวนไว้เพื่อการเพาะปลูกนั้นจะมีการครอบครองกันได้ก็ต้องได้รับสัมปทาน (concessio) จากผู้บริหารของรัฐที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ภายในกรอบที่รัฐกำหนด หัวหน้าครอบครัวแต่ละคนสามารถครอบครองที่ดินเท่าที่สามารถจะทำการเพาะปลูกได้หรือคาดหวังโดยเหตุอันสมควรให้เชื่อได้ว่าจะสามารถทำการเพาะปลูกได้ แม้ขุนนางเองก็มอบให้ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ (client)ของตนใช้สอยที่ดินบางแปลงในฐานะผู้อาศัยชั่วคราว (precario) ที่ดินเหล่านี้มิได้มีการจำกัดเขตเป็นทางการแน่นอนเหมือนกับที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนดังกล่าวข้างบนจึงมักจะขนานนามเรียกกันว่าเป็นที่ดินที่รับช่วงต่อกันมา (agri acifinales)

          การลงทุนลงแรงของผู้ครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อพัฒนาให้เกิดประโยชน์มักก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างผู้ครอบครองและที่ดินที่ในครอบครองของตน ในขั้นสุดท้ายของวิวัฒนาการคนเหล่านี้พิจารณาว่าตนเองเป็นเจ้าของที่ดินสาธารณะซึ่งตนได้พัฒนาขึ้นมา อำนาจทางพฤตินัยของครอบครัวที่ถือครองที่ดินดังกล่าวสาธารณะซึ่งตนได้พัฒนาขึ้นมา อำนาจทางพฤตินัยของครอบครัวที่ถือครองที่ดินดังกล่าว (โดยทั่วไปหลายชั่วอายุคน) ได้รับการปกป้องโดยคำสั่ง (interdits) ของฝ่ายบริหาร  ทั้งนี้ ซิเซโรยืนยันเรื่องนี้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ดีกรรมสิทธิ์ของรัฐในที่ดิน เหล่านี้คงปรากฏอยู่อีกต่อไป ในการนี้ผู้ครอบครองต้องจ่ายค่าเช่ารายปีเท่ากับ 1/10 ของธัญพืชที่เก็บเกี่ยวได้ หรือ 1/5 ของผลไม้ที่ออกมา และในการนี้รัฐยาวยกเลิกการครอบครองสาธารณสมบัติของแผ่นดินเมื่อใดก็ได้  มีกฎหมายฉบับหนึ่งซึ่ง Licinius stolo เป็นต้นเรื่อง แต่ยังถกเถียงกันอยู่ว่าตราออกใช้เมื่อใดและมีจริงๆ หรือไม่กำหนดให้เนื้อที่ของการครอบครองของแต่ละบุคคลไม่เกิน 500 iugera คือปรับมาณ 125 เฮคตาร์ การฝ่าฝืนกฎหมายนี้บ่อยครั้งทำให้รัฐเก็บค่าปรับได้มากมาย [3]

          กฎหมาย sempronia (ปี 133 ก่อนคริสตกาล) (ซึ่งตราขึ้นโดยแรงจูงใจจาก TiberiuS Gracchus) โดยมีจุดมุ่งหมายจะให้คนธรรมดาในเมืองกลับสู่ชนบทมีผลทำให้รัฐมีอำนาจตามสมควรในการเพิกถอนสัมปทานที่ดินสาธารณะ ตามกฎหมายนี้ครอบครัวแต่ละครอบครัวอาจครอบครองที่ดินดังกล่าวได้อย่างต่ำ 500 iugera (คือประมาณ 125 เฮคตาร์) แต่ถ้ามีสมาชิกเป็นชายอาจเพิ่มขึ้นให้คนละ 250 iugera ที่ดินส่วนที่เหลือจากการแบ่งปันดังกล่าวรัฐจะนำไปแจกจ่ายให้แก่ชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งต้องเสียค่าเช่ารายปีอันมีชื่อเรียกว่า vectigal อย่างไรก็ดีเมื่อพี่น้องตระกูล Gracchus พ้นจากอำนาจไปผู้บริหารรัฐผู้มีอำนาจเงินหรือกลุ่มธนาธิปไตย (ploutocratie) ซึ่งเป็นฝ่ายชนะได้ร่างกฎหมาย Thoria (ในปี ค.ศ. 111 ก่อนคริสตกาล) ออกมาเพื่อแปรสภาพที่ดินสาธารณะ (ager publicus) ซึ่งราษฎรโรมันครอบครอบอยู่และตกเป็นที่ดินของชน 35 เผ่าให้เป็นที่ดินเอกชน (ager privatus) ทั้งหมด  ส่วนที่ดินสาธารณะซึ่งมีไว้เพื่อเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์นั้น ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพของที่ดินที่เสียภาษีเพื่อการเลี้ยงสัตว์ (ager scripturarius) โดยที่ประชาชนนำฝูงสัตว์มาเลี้ยง โดยเสียภาษีกำหนดตามจำนวนสัตว์เลี้ยง ส่วนในการจัดเก็บภาษีนั้นผู้รับเหมาเก็บภาษีรับไปดำเนินการในระยะเริ่มแรกเลย อย่างไรก็ดีกฎหมายเกษตรกรรมของปี ค.ศ. 111 ก่อนคริสตกาลเปิดโอกาสให้ผู้เลี้ยงสัตว์ทุกคนนำวัว 10 ตัว และแกะ 50 ตัวมาเลี้ยงในทุ่งหญ้าของรัฐได้โดยไม่คิดภาษี  มาตรการนี้เป็นการให้กำลังใจแก่เกษตรกรรมรายย่อย

          ตามธรรมเนียมซึ่งเข้าใจว่าพัฒนามาตั้งแต่สมัยเริ่มก่อตั้งโรมประชาชนผู้อยู่ในท้องถิ่น หรือเขตชนบท (canton rural) เดียวกันอาจจะมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ใช้ร่วมกัน (ager compascus) อันเป็นที่เลี้ยงสัตว์รวมกัน (ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าคนโรมันมีความก้าวหน้าในเชิงความคิดจึงได้นำสินค้าและบริการสาธารณะท้องถิ่น (local public goods) ตามหลักการคลังปัจจุบันมาใช้ตั้งแต่เริ่มแรก

           หลังจากการตรากฎหมายเกษตรกรรม (Thoria) ในปี 111 ก่อนคริสตกาลที่กล่าวถึงข้างต้นแล้วที่ดินในอิตาลีที่ยังมิได้ตกเป็นของเผ่าทั้ง 35 ก็ยังไม่อาจจะเป็นของเอกชนได้ทันทีและยังแยกออกจาก ager Romanus อย่างไรก็ดีหลังจากสงครามสังคม (gueue sociale ปี 91 ก่อนคริสตกาล) (โรมให้สัญชาติโรมันแก่พันธมิตรที่แข็งข้อ แต่ถูกปราบปรามจนทั่วอิตาลี 2 ปีต่อมาทำให้คำว่า Roma และ ltalia เป็นสิ่งเดียวกัน-ผู้เขียน) ได้มีขบวนการเร่งรัดให้มีการรวมสภาพของบุคคลและที่ดินที่ตกเป็นของบุคคลเข้าด้วยกันทั่วอิตาลีจนกระทั่งก่อนถึงตอนปลายสมัยประชาธิปไตยที่ดินในอิตาลีซึ่งสามารถทำการเพาะปลูกได้ก็เข้าข่ายที่จะเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนได้ อันที่จริงที่ดินในอิตาลีทั้งหมดกลายเป็น res mancipi แต่ก็ยังมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์มหาศาล ที่เป็นของคนโรมันโดยส่วนรวม ส่วนในชนบทก็ยังมีที่ดินอีกมากมายที่ประกอบด้วยทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์และป่าซึ่งรัฐมอบหมายให้ผู้รับหมาเก็บภาษีดูแลอยู่คือยังเป็น ager scripturarius อยู่ ในภายหลังยังมีที่ดินของจักรพรรดิมากมายที่ประกอบด้วยที่ดินเกษตรกรรม และป่า และที่ราบเชิงเขาที่ใช้เลี้ยงสัตว์ (saltus) อีกด้วย

 

-----------------------------------------

กรรมสิทธิในความเห็นของ Monier 

-----------------------------------------

          แนวความคิดเห็นของ  Monier  ทำให้เห็นว่า  ที่ดินได้มีผู้ทรงสิทธิในที่ดิน ดังต่อไปนี้

          1. ที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมของราษฎรโรมันเหนือที่ดินที่ยึดได้

          2. ที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  ที่ประชาชนสามารถใช้ร่วมกัน  ไม่สามารถเข้าถือกรรมสิทธิ์ของเอกชนคนหนึ่งคนใดได้ 

          3. ที่ดิน ในส่วนที่เหลือ รัฐสามารถนำมาจัดสรรให้เอกชนเข้าถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้

 

 


[1] Bonfante, P. Corso di diritto Romanno, Roma.1922

[2] Monier Raymond. Mauel Elémentaire de Droit Romain, Tome I en, Paris : Edition Domat Montchestien, 1947,P. 359)

[3] Monier, I, 1947 : 360)

หมายเลขบันทึก: 307140เขียนเมื่อ 20 ตุลาคม 2009 13:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 มิถุนายน 2012 16:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท