อะไร อะไรก็จะ "กิน..."


คนเราเดี๋ยวนี้แสวงหาแต่ของกินที่ดี ๆ แพง ๆ โดยเฉพาะเมื่อเวลาเจ็บ เวลาป่วย หรืออย่างยิ่งเวลา "แก่" ก็ได้แต่หาของกิน กิน กิน แล้วก็ "กิน..."

วันนั้น (วันที่ไปตรวจเลือด การล้างพิษด้วยน้ำมะนาว : ผลการตรวจเลือดเมื่อผ่านไป 3 วัน) คำทิ้งท้ายที่ "คุณหมอ" ได้เมตตา "แนะนำ" เราเกี่ยวกับผลตรวจเลือดในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราได้ฉุกคิดถึงรูปแบบชีวิตของคนในปัจจุบันว่า...

"โดยทั่วไปทางการแพทย์ไม่แนะนำการรักษาโรคด้วยการอดอาหาร ถ้าให้ดีควรทานข้าว..."

สิ่งที่เราตั้งคำถามในใจ ณ ขณะนั้น ก็คือ "ทำไมคนในปัจจุบันถึงถูกแนะนำว่า "กิน กิน กิน" แล้วจะดี...?

เรานึกย้อนถึงคำพูดคำหนึ่งของครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาพูดถึงคนโดยทั่วไปชอบนิยมเดินสายไปทำบุญตามที่ต่าง ๆ ว่า

"คนในปัจจุบันนี้รู้จักแต่การทำบุญ แต่ไม่รู้จักการละบาป..."

ฉันใดก็ฉันนั้น

คนเราเดี๋ยวนี้แสวงหาแต่ของกินที่ดี ๆ แพง ๆ โดยเฉพาะเมื่อเวลาเจ็บ เวลาป่วย หรืออย่างยิ่งเวลา "แก่" ก็ได้แต่หาของกิน กิน กิน แล้วก็ "กิน..."

ยาอันไหนดีก็หามา "กิน" อาหารใดเป็นยาอายุวัฒนะก็เสาะแสวงหามา "กิน" กินกันอย่างเดียวแต่ไม่เอาอะไรต่ออะไรที่กินแล้วสะสมในร่างกายมานานแสนนานนั้นออกไปเน๊อะ...

การกระทำที่เราทำครั้งนี้ก็ถือได้ว่า "ทวนกระแส" ความคิดหลักของการ "กิน" เพื่อรักษาโรค

การกระทำครั้งนี้เราทำโดยยึดหลัก "การหยุดกินเพื่อรักษาโรค..."

การปิดระบบ ล้าง "บาป" ล้าง "กรรม" ต่าง ๆ ที่เคยกินอะไรต่ออะไรแบบไร้สาระ

อะไรที่ปิ้ง ๆ ย่าง ๆ อะไรที่มีไขมันเยอะ อะไรต่ออะไรที่กินตามใจปาก...

อะไรต่ออะไรที่เรากินตามใจปากมันสะสม เกาะเกี่ยวเป็น "กรรม" อยู่ในร่างกายนี้ อยู่ในเส้นเลือดน้อย ๆ นี้

เส้นเลือดเล็ก ๆ ต่างสะสม "กรรม" อยู่เป็นอันมาก

ไขมันเลว ๆ (LDL) เอย เซลส์มะเร็งเนื้อร้ายต่าง ๆ เอย โรคภัยต่าง ๆ นานาเอย อะไรต่ออะไรก็ถูกกลบ ถูกฝังด้วยยาและอาหารดี ๆ ...

ยาและอาหารดี ๆ ถูกโฆษณา เผยแพร่ออกมาว่า "กินแล้วดี กินแล้วดี" แต่ไม่ค่อยจะเห็นมีใครโฆษณาว่า "ไม่กินแล้วดี ไม่กินแล้วดี..."

คนเราในปัจจุบันนี้เลยถูกกระแสสังคมแนะนำว่าให้ "กิน" แต่ไม่ให้ "ถ่าย..."

ถ่ายในที่นี่หมายถึง ถ่ายออกไปให้หมด อย่างหมดจด เลี่ยมเร้ เรไร เพราะอะไรต่ออะไรที่เกาะเกี่ยวอยู่ในกายและจิตใจนี้มีอยู่อย่างมากมาย "หนัก" และ "หนา..."

การกินเข้าไปเยอะ ๆ โดยกะว่าจะช่วยให้ร่างกายดีขึ้นนั้นก็เปรียบเสมือน "การนำผ้าขี้ริ้วไปย้อมสี"

ผ้าขี้ริ้วนั้นจะสวยได้อย่างไรถ้าหากว่าอะไรต่ออะไรยังฝั่งความ "สกปรก" ไว้บนผ้าผืนนั้น... ภายในร่างกายของเราก็เลยกลายเป็นการเคลือบยาพิษไว้ด้วยน้ำตาลที่แสนหวาน...(มดก็ชอบ หนอนก็ชอบ)

วันหนึ่ง วันนี้เราควรที่จะย้อนกลับมาคิดถึงล้างกรรม ล้างบาป "ล้างพิษ" กันบ้างหรือไม่ นอกจากอะไร อะไร ก็คิด ก็ตั้งใจไว้ว่าจะ "กิน..."

หมายเลขบันทึก: 306535เขียนเมื่อ 17 ตุลาคม 2009 13:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ตามมาเรียนรู้และนำไปปฏิบัติค่ะ

ล้างพิษทางกายนั้นพอทำตามคำแนะนำของผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ และแพทย์ ได้

แต่ล้างพิษทางใจ.............

เรียน คุณสุญญตา

เขาบอกว่าธรรมชาติบำบัด การกินที่ถูกต้องนั้นต้องนั้นควรกินปลาเป็นหลัก กินผักผลไม้ ออกกำลังกายวันละห้าพันก้าว

ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆ มาเตือนสติในการกิน กิน อยู่ ดู ฟังเป็น

พอฟังท่านเอ่ยถึงเรื่องการกิน กิน กิน เพื่อรักษา

ทำให้หนูนึกถึงยา ที่ผู้ป่วยต้องทานนาน ๆ โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง

โรคหลายโรค ผู้ป่วยไม่ได้เสียชีวิตด้วยภาวะที่เกิดจากโรค แต่เสียชีวิตด้วยภาวะที่เกิดจากการทานยามาเกิดไป ยกตัวย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน และความดัน  โดยส่วนใหญ่จะเสียชีวิต ด้วยภาวะไต หรือ ตับวาย หรือตับไตเสื่อมสภาพ เพราะนอกจากอวัยวะเหล่านี้จะถูกทำลายด้วยโรคแล้ว ยังถูกยาที่ใช้ในการรักษาแล้วมีการตกค้าง หรือยาบางชนิดจะมาถูกเผาทำลาย หรือกลั่นกรอง ที่ตับหรือไต

แสดงถึงภาระอันหนักอึ้งกว่าปกติของร่างกายจะอยู่ได้ ภาวะเหล่านี้จึงเกิดได้บ่อย

แต่ อย่าตกใจไปค่ะ.............

   อาหารมีส่วนช่วยได้ สังเกตไหมค่ะว่า ผู้ป่วยเบาหวาน หรือ ความดัน หมอจะแนะนำให้ระวัง อาหารหวาน หรือ ผลไม้บางชนิด เช่น ทุเรียน ให้หลีกเลี่ยง เพราะมีผลทำให้ร่างกายทำงานหนักโดยเกินจำเป็น เกิดภาวะผิดปกติได้ง่าย

   การรู้จัก เลือกรับประทานอาหาร ที่เหมาะสมกับสภาวะของร่างกายผู้ป่วย สามารถ ช่วยหนุนนำให้ร่างกายเข้าสูสภาวะปกติได้ง่าย หากท่านดูแลสุขภาพและอาหารการกินได้ดี ผู้ป่วยหลายคน ก็สามารถลดการใช้ยาบางชนิดลงได้ แล้วหมอก็จะให้ทานยาเท่าที่จำเป็น หรือบางท่านเป็นไม่รุนแรง ไหวตัวทันดูแลสุขภาพ อาจจะไม่ต้องทานยาเลยก็ได้

 

ทั้งหมดทั้งมวล อยู่ที่ว่า ผู้ป่วยใส่ใจตนเองเพียงใด เพื่อที่จะให้ตนเอง พ้นสภาวะการเจ็บไข้ อย่างเป็นธรรมชาติ โดยจรรยาบรรณของผู้รักษา หรือ แพทย์เอง ปรารถนา เพียงผู้ป่วยพ้นจากสภาวะเจ็บไข้ หรือ การรุกรานของโรคเท่านั้น ทีนี้ผู้ป่วยอาจจะต้องหันกลับมาดูว่า

ท่านดูแลตนเอง ถึงพร้อมหรือยัง

ใส่ใจในร่างกายและใจของท่าน ถึงพร้อมหรือยัง

 

สาธุเจ้าค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท