๑.เป็นนักกฎหมายอย่างผม(ทนายความ)


เมื่อผมไปฝึกงานกับท่านใหม่ พอไปศาลผมตรงเข้าไปจะหิ้วกระเป๋าให้ท่าน ตามที่ได้เรียนรู้มาและที่ได้เห็นทนายฝึกหัดจะหิ้วกระเป๋าให้ลูกพี่ แต่ท่านไม่ยอมให้ผมหิ้ว ท่านบอกว่าคุณมาฝึกหัดเป็นทนายความไม่ได้มาฝึกเป็นคนรับใช้ ว้าว.....

        ก่อนผมจะมารับราชการเป็นพนักงานอัยการผมเป็นทนายความมาก่อนครับ ผมเริ่มฝึกงานกับครูมืออาชีพทนายความหลังจากเรียนจบปริญญาตรีและอยู่ระหว่างการเรียนเนติบัณฑิต ท่านไต่เต้าจากการเป็นจ่าศาลจนมาสอบเป็นทนายความชั้นสอง สามารถว่าความได้ ๑๐ จังหวัด ต่อมาท่านเรียนนิติศาสตร์จนจบปริญญาตรีและได้เป็นทนายความชั้นหนึ่งสามารถว่าความได้ทั่วราชอาณาจักร ท่านคือคุณจรูญ สุวรรณรัตน์

        เมื่อผมไปฝึกงานกับท่านใหม่ พอไปศาลผมตรงเข้าไปจะหิ้วกระเป๋าให้ท่าน ตามที่ได้เรียนรู้มาและที่ได้เห็นทนายฝึกหัดจะหิ้วกระเป๋าให้ลูกพี่ แต่ท่านไม่ยอมให้ผมหิ้ว ท่านบอกว่าคุณมาฝึกหัดเป็นทนายความไม่ได้มาฝึกเป็นคนรับใช้ ว้าว.....

        วิธีการฝึกของท่านเป็นขั้นเป็นตอน อันดับแรกท่านจะให้ผมไปนั่งข้างดูวิธีการถามความ ผมเห็นท่านเอากระดาษขาวมาพับ พยานเบิกความท่านจะจดข้อความที่เบิกความทางด้านขวา แล้วจะวงกลมแล้วเขียนคำถามด้านซ้าย ในขณะเดียวกัน คือฟังไปนึกคำถามไปมือก็เขียนไป ซึ่งผมใช้วิธีนี้มาจนถึงการว่าความปัจจุบัน วิชาเหล่านี้โรงเรียนกฎหมายที่ไหนก็ไม่สอน มันเป็นการลับสมองให้เฉียบขาดตลอดเวลา ถ้าไม่มีสมาธิจบเลยครับ ระหว่างที่นึกคำถามว่าจะถามค้านหรือถามติงพยานว่าอย่างไร  พยานตอบว่าอะไรก็จะจดไม่ทัน พอจดไม่ทันก็จะตั้งคำถามต่อไม่ได้

        พอวันที่สองท่านหยิบหนังสือมาเล่มหนึ่งหุ้มปกพลาสติกแบบพลาสติกปูโต๊ะกินข้าวส่งให้ผมบอกว่าไปอ่านให้จบ อ่านหลายจบได้ยิ่งดี หนังสือนี้ไม่มีวางจำหน่ายมาหลายปีแล้ว เป็นตำราว่าความที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่านมา ขอให้คุณอ่านทำความเข้าใจแล้วคุณจะเป็นทนายที่มีความสามารถ  หนังสือเล่มนั้นชื่อ วิชาข้อเท็จจริง ของหลวงสัตยุทธชำนาญ  ผมอ่านหนังสือเล่มนี้รวดเดียวจบในวันแรก และอ่านซ้ำอีก ๓-๔ ครั้ง ผมจำหลักการว่าความในการค้นหาความจริงจำนวน ๒๑ หลักได้อย่างขึ้นใจ

        อาทิตย์ที่สอง ท่านบอกให้ผมลองนั่งฟังคดีที่ท่านไปสู้คดีในศาล ให้ผมนั่งจด แล้วลองตั้งคำถามเอามาให้ท่านตรวจ ท่านก็ตรวจแก้ให้นิดหน่อย ท่านบอกว่าใช้ได้ ลองนั่งทำแบบนี้สักสองสามครั้งก่อนนะ เดี๋ยวผมจะให้คุณหัดว่าความ ลองของจริง

        อาทิตย์ที่สาม ท่านก็ให้ผมแต่งทนายร่วมกับท่าน แล้วอยู่ๆท่านก็บอกว่าวันนี้คุณขึ้นสืบพยานแทนผมที ผมมีคดีอีกบัลลังก์หนึ่ง ไม่ต้องกลัวถามความให้เป็นไปตามลำดับ ท่านให้ผมไปสืบพยานฝ่ายจำเลยในคดีที่ชนะแน่นอนอยู่แล้วเพราะพยานโจทก์เบิกความขัดต่อเหตุผล และแถมยังเบิกความแตกต่างกันทั้งๆที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ด้วยกัน หรือที่นักกฎหมายเขาเรียกกันว่าพยานแตก สืบพยานเสร็จศาลนัดฟังคำพิพากษาปรากฏว่าชนะคดี มันทำให้เรารู้สึกฮึกเหิมว่าเราชนะคดีทั้งๆที่ชนะเพราะฝีมือลูกพี่ต่างหาก..ฮา...

        อาทิตย์ที่สี่ ท่านก็เริ่มขั้นตอนต่อไปคือมอบหมายให้ผมไปถามค้านพยานโจทก์โดยไม่ได้บอกล่วงหน้า ให้ไปถามค้านพนักงานสอบสวน ดังที่เคยเล่ามาครั้งหนึ่งแล้วเรื่องถามพนักงานสอบสวนว่าหลังเกิดเหตุท่านได้ไปตรวจที่เกิดเหตุหรือไม่ เพราะพยานปากนี้เป็นพนักงานสอบสวนแต่ไม่เบิกความถึงการไปตรวจที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าอัยการรุ่นพี่เจ้าของสำนวนหัวเราะก๊าก...มันยิงกันในทะเลจะให้ไปตรวจตรงไหนล่ะ...ผมอายหน้าแดง จบคำถามเพราะถามต่อไม่ถูก (ต่อมาอัยการท่านนี้ก็มาเป็นผู้บังคับบัญชาของผมและมีคดีที่ผมทำความเห็นแล้วถูกท่านแย้ง แต่อัยการสูงสุดในขณะนั้นสั่งให้ดำเนินคดีตามความเห็นที่ผมเสนอในเบื้องต้น และในที่สุดก็ชนะคดี ไว้ผมค้นข้อมูลเจอแล้วจะมาเล่าให้ฟัง คดีนี้มันมาก..แฮ่ๆ)  ตกเย็นรายงานให้ลูกพี่ทราบ ท่านก็หัวเราะบอกว่าไม่เป็นไรหรอกพยานปากอื่นแตกกันเรียบร้อยแล้ว

        ในที่สุดศาลก็พิพากษายกฟ้องอีกเช่นกัน ท่านเห็นว่าผมกำลังคึกและฮึกเหิมแบบม้าศึก คดีถัดมาให้ผมแต่งทนายเข้าร่วมเป็นทนายจำเลย คดีนั้นมีจำเลย ๒ คน ท่านเป็นทนายจำเลยที่ ๑ ให้ผมเป็นทนายจำเลยที่สอง ท่านประคับประคองผมให้เกิดความมั่นใจที่ละนิด ให้เห็นความละเอียดอ่อนของคำถามที่จะถามค้านถามติง ผมก็ถามก๊อกแก๊กไปตามเรื่อง ตามประสบการณ์ที่มี ในที่สุดศาลก็ยกฟ้องอีก คราวนี้ท่านบอกว่าคดีนี้เขาจ้างผมมาเท่านี้ คุณเอาไปทำแล้วกัน ท่านก็มอบค่าว่าความให้ผมและให้ผมไปเขียนคำให้การต่อสู้คดีและไปสืบพยานเอง และก็เป็นไปตามคาดคดีนี้ชนะอีกแล้ว ต่อจากนั้นท่านก็จะมอบคดีที่ลูกความฝ่ายเราเป็นโจทก์บ้าง ให้ผมร่างคำฟ้อง ให้ท่านตรวจก่อน ท่านสอบเทคนิคว่าถ้าเขียนอย่างนี้เขาจับทางเราได้ควรจะเขียนอีกแบบหนึ่ง

        แต่สิ่งที่ท่านสอนและผมประทับใจมากที่สุดก็คือ ศาลกับอัยการเขาอยู่สูงกว่าเรา เราอย่าไปดึงเขาลงมาให้แปดเปื้อน เราอย่าไปวิ่งเต้นคดี เราอย่าไปพาท่านเหล่านั้นไปทานอาหาร หรือไปเที่ยวสังสรรค์ด้วยกัน เพราะนั่นจะทำให้เขาถูกชาวบ้านเสื่อมศรัทธา ท่านไม่เคยขอคดีกับผู้พิพากษาหรืออัยการแม้แต่ครั้งเดียว ผมเป็นทนายความอยู่สามปีเต็มก็ไม่เคยประพฤติเช่นนั้นเหมือนกัน และพอผมสอบได้เนติบัณฑิต ทั้งผู้พิพากษาและอัยการต่างมาเชียร์ให้ผมไปสอบเป็นผู้พิพากษา ฝ่ายอัยการก็มาเชียร์ให้ผมไปสอบอัยการ ต่างฝ่ายต่างเอาหนังสือดีๆมาให้ผมอ่าน ผู้พิพากษาก็เอาหนังสือ “ดุลพาห” มาให้อ่าน อัยการก็จะเอา “อัยการนิเทศ” มาให้อ่าน มันเป็นความรู้ภาคภูมิใจที่ผู้ใหญ่ในแวดวงกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดให้ความเมตตากับเรา

        ชีวิตการเป็นทนายฝึกหัดกับลูกพี่ผมนั้นมีระยะเวลาประมาณ ๖ เดือน ลูกพี่ผมก็บอกกับคุณพ่อผมว่า ผมหัวไวมีแววเป็นทนายความที่ดีได้ สอนนิดเดียวก็ทำได้ พ่อเล่าให้ฟังทำให้เรารู้สึกลำพอง ช่วงนั้นที่อำเภอตะกั่วป่ามีทนายความอยู่คนเดียว (ผมอยู่อำเภอเมืองพังงา) เราเห็นว่าตลาดย่านยาวไม่มีทนายความเป็นช่องว่างที่เราจะเปิดสำนักงานทนายความได้ ประกอบกับที่สวนอาหารรัดใจเปิดใหม่แต่นักดนตรีที่นัดไว้เบี้ยวไม่มาทั้งยังเป็นวันขึ้นปีใหม่ แขกเยอะมาก เจ้าของรู้ว่าผมเล่นดนตรีได้จึงตามผมไปเล่นดนตรีให้รายได้วันละ ๓๕๐ บาท เมื่อปี ๒๕๒๓ เราก็รู้สึกว่ารายได้พอสมควรก็ตอบตกลงเป็นนักดนตรีในสวนอาหารกลางคืน กลางวันก็เป็นทนายความ ทำอยู่ได้ประมาณ ๒-๓ เดือน งานคดีเริ่มเยอะขึ้นประกอบกับมีพี่ที่รู้จักกันตกงานขอไปเล่นดนตรีที่ร้านด้วย ผมก็เลยเล่นสลับกันแบ่งรายได้ให้เขาครึ่งหนึ่ง และในที่สุดผมก็สละให้พี่เขาเล่นดนตรีคนเดียว ผมไปเอาดีทางว่าความดีกว่า...

หมายเลขบันทึก: 305982เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2009 23:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 00:18 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

ดีครับ ผมอ่านแล้ว ทำให้มีพลังที่จะเป็นเหมือนท่านอาจารย์บ้าง ฮึๆ

สวัสดีครับ

แวะมาเยี่ยมเยียนและอ่านบันทึกครับ

เดี่ยวนี้คุณหมอ กับ พยาบาลหันไปเรียนวิชากำหมายเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือกันเวลาถูกฟ้องร้องนะคะ

พิมพ์ผิดนะคะ กำหมาย เป็นกฎหมาย นะคะ ขอโทษคะบันทึกเร็วไปหน่อยคะ

อ่านบันทึกของท่านอัยการบันทึกนี้ ทำให้ผมเห็นภาพ "ตาชั่ง" ที่สมดุลกัน

รู้สึกอุ่นใจ หากมีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ... เอ แล้วท่านอัยการฯ สามารถกลับมาเป็นทนายได้อีกหรือครับนั่น ;)

ขอบคุณด้วยใจจริงครับ

สวัสดีครับท่านอัยการ

อ่านบันทึกแล้วนึกถึงตอนฝึกทนาย โชคไม่ดีเท่าไหร ทนายที่ผมฝึกด้วยมีวิชามากไป จึงไม่ประทับใจลูกพี่ครับ

สวัสดีครับคุณณัฏฐะปัญญา

การเป็นนักกฎหมายที่ดีต้องมีคุณธรรม และการดำเนินคดีในศาลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ครับ

ผมพยายามฟื้นความจำเล่าเรื่องในอดีต ผมรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มเข้าองค์ประกอบของคำว่าแก่แล่ว คือ กินของขม ชมเด็กสาว เล่าความหลัง ตอนนี้ขาดแต่เรื่องชมเด็กสาวครับ อิอิ

สวัสดีครับหนานเกียรติ

ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนบันทึกกันครับ

สวัสดีครับคุณได่

การศีกษาบ้านเรามันกลับตาลปัตร บ้านเราคนเก่งเรียนเพื่อมาเป็นหมอ พยาบาล วิศวกร นักกฎหมายอยู่คิวหลังๆ ยิ่งครูในปัจจุบันยิ่งรั้งท้าย แต่ต่างประเทศหัวดีเขาเรียนกฎหมาย ยิ่งนักกฎหมายภาษีอากรยิ่งสุดยอด รายได้เป็นกอบเป็นกำ

มาปัจจุบันนี้ พอความเป็นบุญคุณระหว่างผู้มีอาชีพเฉพาะทางกับผู้รับบริการมันเปลี่ยนไปกลายเป็นผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ จึงเกิดการฟ้องร้องกัน แต่ก็ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า คนที่เรียนหนังสือเก่งมีมนุษยสัมพันธ์ไม่ค่อยดี เพราะตัวเองตั้งหน้าตั้งตาเรียน บางรายก็มุ่งหวังจะเอาชนะคนอื่นโดยลืมไปว่าในโลกมนุษย์นั้นเขาอยู่กันเป็นสังคม อยู่กันด้วยความอ่อนโยน ดูแลซึ่งกันและกัน และถ้ามองคนไข้ในแง่ธุรกิจ คนไข้ก็มองหมอในแง่ธุรกิจ เกิดฟ้องร้องกันก็คงโทษกันไม่ได้ เพราะต่างก็ชาดหัวใจของความเป็นมนุษย์ ผมไม่แปลกใจที่ผู้พิพากษาอัยการหลายท่านมาจากอาชีพหมอ พยาบาล เภสัชกร วิศวกร ครับ

ขอบคุณคุณไก่ที่แวะมาทักทายครับ

สวัสดีครับอ.วสวัตตีมาร

ต้องหมดจากอาชีพอัยการก่อนครับ ถึงจะไปเป็นทนายได้ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งอัยการเขาห้ามขาดในการไปประกอบวิชาชีพอื่นครับ มีนักกฎหมายหลายท่านที่เป็นข้าราชการแล้วแอบไปเปิดสำนักงานทนายความใช้ชื่อคนอื่นครับ ซึ่งไม่ถูกต้อง คนที่จะเป็นที่พึงให้ชาวบ้านได้ ต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งต่อตนเองและผู้อื่นครับ

ขอบคุณอาจารย์มากที่แวะมาทักทาย สบายดีนะครับ

สลามครับบัง

ถึงการฝึกทนายของบังจะประทับใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต อย่างน้อยสิ่งไหนที่เราได้รู้ได้เห็นและเรารู้ว่ามันไม่ดีเราก็ไม่ทำ อาชีพทนายสมัยก่อนเขาไม่ค่อยคบเพราะเป็นพวกหัวหมอ ไร้คุณธรรมเอาแต่หวังชนะ ผมกำลังเขียนเล่าในเรื่องที่ผมทำในอดีตในขณะที่เป็นทนาย ซึ่งนึกถึงทีไหนก็ยังรู้สึกว่าเราทำไม่ค่อยถูกทุกที แต่เราชนะคดีมีชื่อเสียง เมื่อคืนเขียนไปเขียนมาฉัดเข้าไปหกหน้าแล้ว อิอิ

สวัสดีครับ อัยการชาวเกาะ

อ่านบันทึกท่านแล้วทำให้ย้อนคิดถึงตอนที่ฝึกงานและขึ้นว่าความใหม่ๆเลยครับ ขอบคุณสำหรับความทรงจำดีครับ

ขอบคุณ ดร.เมธา ครับ

ผมจะตามไปอ่านบันทึกของท่านและขออนุญาตนำรวมเข้าแพลนเน็ตด้วยครับ

ผมกำลังจะจบนิติศาสราม พอมาอ่านที่ท่านได้เขียนเล่าประสบการณ์ไว้ในนี้แล้วผมรู้สึกดีมากเลยครับ ที่มีโอกาสมาอ่านเรื่องราวดีๆของท่าน อีกทั้งยังเปนเครื่องชี้นำผมได้อย่างดีจากคำสอนๆต่างๆที่ท่านได้แทรกไว้กับเรื่องราวของท่าน ของคุณมากเลยนะครับ

หนูมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นทนายความเลยคะ หนูพึ่งอายุ15เองหนูไปไล่อ่านจากคนที่มาแชร์ประสบการณ์ของการเป็นทนายความ เค้าบอกว่ามันยากและไม่ค่อยมีกิน หนูใจแป้วมากๆเลยรู้สึกแย่มากๆ แต่พอมาอ่านอันนี้มันทำให้หนูมีกำลังใจมากๆเลยค่ะ ช่วยแนะนำแนวทางการเป็นทนายความที่ดีให้ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆคะ ^^

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท