ธรรมดา


ธรรม คือ สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ จะดับไปก็เพราะเหตุนั้นดับก่อน สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

 

          ในบรรดาเรื่องกวนใจให้ทุกข์ทั้งหลายที่คนเรามีอยู่เสมอ  ก็เนื่องมาจากว่าเราไม่ยอมเห็นเรื่องนั้นๆ  เป็นเรื่องเล็กเรื่องขี้ผง  หรือเป็นเรื่องธรรมดาไปได้  ชอบจะคิดกันแต่ว่ามันใหญ่โตสลักสำคัญจนผิดธรรมดา  แล้วก็ต้องทุกข์อยู่ในอำนาจแห่งความสำคัญมั่นหมายนั้น  ชีวิตจึงต้องหวั่นไหวกลายเป็นเสมือนลูกปิงปอง  หรือฟุตบอลให้ความผิดหวังหรือสมหวังชอบหรือชัง  มันตบมันเตะเอากระเด็นไปกระดอนมาชั่วชาติ  ถ้าเป็นไปในทางดีก็ค่อยยังชั่วหน่อย  หากเป็นไปในทางเลวร้ายก็เป็นทุกข์โทมนัส  และทรมานน่าสงสาร  ไม่มีทางออกก็คิดพาลไปต่างๆ เท่าที่อารมณ์หรือความไร้เหตุผลจะพาให้พาลไปได้  โทษดวงโทษดาว  โทษพระเจ้าหรือไม่ก็คนด้วยกัน  สิ่งเดียวที่ไม่ยอมลงโทษคือ  “ตัวเอง”

          มันเป็นเรื่องของอารมณ์  ความหมายของมันสำคัญผิดทั้งนั้น....

          โทษของความหมายมั่นสำคัญในใจ  ไม่ยอมคิดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเป็นเรื่องเล็ก  เรื่องธรรมดานี้  มันทำให้ต้องเป็นอยู่ด้วยความตรอมใจ  ซ้ำเติมตัวเอง  ไม่เหมือนเขา  อาภัพ  เคราะห์ร้าย  หนักๆ เข้าก็เปะปะ  เจ้าคิดเจ้าแค้น  แล้วความคิดนี้ก็ฉายออกมาทางสีหน้าแววตา  ลักษณะท่าทีขาดความแช่มชื่น  ดังลักษณะของคนเจ้าทุกข์  เป็นเหตุของโรคประสาท  หวาดสะดุ้ง  หวั่นไหวกับภาพแห่งอุปาทานหรือความโน้มเอียงในใจของตัวเอง

          โทษแห่งความมั่นหมายในใจดังนี้  ถ้าอุปมาให้เห็นชัดก็เหมือนกับเครื่องยนต์ ที่ไม่มีท่อไอเสีย  ยิ่งเร่งสติมเครื่องรุนแรงเท่าไรก็ยิ่งสะเทือนเท่านั้น  ในที่สุดก็ระเบิดพินาศทั้งตัวเครื่องยนต์เองและสิ่งที่อยู่ข้างเคียง

          หรือไม่ก็เหมือนแอ่งน้ำห้วงน้ำที่ไม่มีทางระบาย  ต้องหมักหมมกลายเป็นน้ำเน่า  นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์และยังให้โทษเสียอีกด้วย  สัตว์น้ำสัตว์บกก็พึ่งไม่ได้  แม้กระทั้งพันธุ์พืชต้นไม้ใบหญ้าก็ยังได้รับพิษจากความเน่าของน้ำ ที่ไม่มีทางระบายถ่ายเท....

          จิตใจของคนเราก็อยู่ในสภาพเดียวกัน  ข   แต่ความเก็บกักอารมณ์อัดเข้าไว้ในที่สุดก็เกิดความรู้สึกเสียๆ เน่าๆ   อยู่กับใครเขาไม่ได้เพราะไม่มีใครเขาอยากเข้าใกล้คนที่มีปกติอารมณ์เสีย  อารมณ์เน่า  เหตุที่พาเขาเสื่อมเสียไปด้วย 

                        “เป็นลูกเต้าใคร        พ่อแม่ก็เสีย 

                         แม้นเป็นเมีย            ผัวก็เศร้า 

                         หากเป็นพ่อแม่          ทั้งลูกทั้งเต้า 

                        ต้องเดือดร้อน           ไปทั้งเหล่า     ทั้งครัวเรือน…”

          ฉะนั้น  ควรที่คนเราจะสร้างปล่องระบายไอเสีย  ถ่ายเทอารมณ์เน่าให้แก่ตัวเองเสียบ้าง

          โดยวิธีการ  ก็ได้แก่หาอุบายฝึกนิสัยให้รู้จักปล่อยรู้จักปลง...ให้รู้จักละวางเสียที่  ยึดไม่ได้ ถือไม่ได้เสียบ้าง  โดยเฉพาะให้เห็นปรากฏการณ์ในชีวิตของตนเป็นเรื่องเล็ก

          ศิลปะการทำใจอย่างนี้  ทางธรรมก็มีอยู่หลายวิธี  เช่นหมั่นฝึกคลายความยึดมั่นในใจด้วยการเสียสละบ้าง  สร้างอารมณ์ขันบ้าง  ให้รู้เท่าโลกและชีวิตบ้าง  เช่นรำพึงถึงหลักความจริงคือความไม่เที่ยงแท้แน่นอนไว้เสมอๆ  รู้ว่าทุกสิ่งในโลกไม่มีอะไรคงที่ไม่มีอะไรจะอยู่ในสภาพเดิมได้

          สรุปแล้ว  อันว่า  ธรรมดานี้  ให้คุณแก่ผู้เข้าถึงหนักหนา  ถือว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาทีเดียว  ดังคำของพระอัสสชิ  แสดงแก่อุปติสสะ (สารีบุตร)  สมัยเป็นปริพาชกว่า  “ธรรม  คือ สิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ  จะดับไปก็เพราะเหตุนั้นดับก่อน  สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

          ธรรมภาษิต  (เถรภาษิต) บทนี้  คนแต่ก่อนนำออกจดจารจารึกลงบนแผ่นศิลา  ถือว่าเป็นยอดกุศล  โดยที่จะช่วยให้คนที่เกิดมาในภายหลังปลดซึ่งความทุกข์ได้  เมื่อได้มาพบมาอ่าน  นำไปศึกษาพิจารณาแล้วจะกลายเป็นหลักทางใจ  หรือช่วยให้ความคิดมีหลัก  แล้วก็จะเกิดความฉลาดในการปรับความรู้สึกให้เข้ากับกฎธรรมดา

          อานิสงส์ของการเข้าถึงธรรมดา  จะช่วยให้ไม่หม่นหมอง  หวั่นไหว  เป็นผู้มีสง่าราศีอยู่ตลอดเวลา...ฯ

 

เขยน้อยธรรมดา 

          มีชายสูงอายุคนหนึ่ง  มีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี  มีลูกสาวอยู่สองคน  พวกหนุ่มๆ ก็มุ่งหวังต่างปองจะเป็นลูกเขยของเศรษฐีด้วยกันทั้งนั้น  แต่ก็ประสบความสำเร็จเพียงสองรายเท่านั้น  เขยคนโตเป็นคนช่างเอาใจพ่อตาเก่ง  มีศิลปะในทางคล้อยตาม  จนทำให้พ่อตาออกจะเอียงๆ โปรดอยู่...ส่วนเจ้าเขยเล็ก  บวชนาน  แก่วัด  พูดน้อยมีความคิดอิสระ  ใจเกลี้ยงเกลาอยู่เสมอ  ไม่คล้อยตามใครง่ายๆ มีคำพูดติดปากอยู่คำหนึ่งคือ  “ธรรมดา”

          วันหนึ่งว่างจากธุระ  อยู่พร้อมหน้าพ่อตาลูกเขย  พ่อตาคิดจะสอบเชาวน์ของเจ้าลูกเขยขึ้นมา  ถามเจ้าเขยใหญ่ไปว่า  “เอ็งรู้ไหมไอ่ทิดใหญ่  ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เองมาได้ลูกสาวข้า...”

          ลูกเขยใหญ่ก็ตอบว่า  “ก็เพราะบุญวาสนาที่เราทั้งคู่ได้สั่งสมมาแต่ปางก่อนซิครับ  ชาตินี้จึงได้เป็นคู่ครองกัน  ถ้าคู่กันแล้วไม่แคล้วกันเลย  หากไม่ใช่คนที่เคยก็ป่วยการชะเง้อคอคอย  อีกอย่างก็ด้วยอำนาจเสน่ห์ของคุณพ่อ  เพราะพ่อเป็นคนดี  มีน้ำใจ  ใครๆ ก็นับถือยกย่อง  พวกหนุ่มๆ ต่างก็ใจจดใจจ่อที่จะได้พ่อเป็นพ่อตา  เหมือนใจจะขาดไปตามๆกัน.....ฯลฯ    สารพันเหตุผลล้วนแต่ไพเราะเหมาะใจพ่อตาทั้งนั้น  ยิ่งชอบก็ยิ่งซัก  ยิ่งซักเขยใหญ่ก็ยิ่งตอบแบบงัวพันหลักแว้งกลับมาเป็นเยินยอพ่อตาร่ำไป  จนบางคำบางตอนพ่อตาก็ออกจะสงสัย  เพราะความดีที่เขยใหญ่มันยกขึ้นมาพูดนั้นไม่มีอยู่ในตัวแกเลย...  ฉะนั้น  ถึงจะรักก็ไม่ค่อยไว้วางใจเพราะโบราณกล่าวไว้ว่า 

                        “รักตาล          หลงวาน          ขึ้นปีนต้น 

                                    ระวังตน           ตีนมือ              ระมัดมั่น

                                    เหมือนคบคน  คำหวาน          รำคาญครัน  

                                    ถ้าพลั้งพลัน    จะเจ็บอก         เหมือนตกตาล...

          อันคนหลงรสหวานของตาลขึ้นต้นตาลเผลอไผลไม่ทันระวังเปรียบเหมือนคนหลงคำสอพลอยอยกมักหมดตูดไม่รู้ตัว  เศรษฐีคนนี้ถึงจะบ้ายออย่างไรก็ยังพอมีสติ  ด้วยเกรงจะเจ็บอกเหมือนตกตาล...จึงยังไม่ยอมให้คะแนนเสน่หาเจ้าเขยใหญ่อย่างหมดเนื้อหมดตัว  แล้วแกก็หันมาถามเจ้าเขยเล็กบ้าง....?

          ไอ่ทิดเล็กละ  เองรู้สึกอย่างไรที่ได้ลูกสาวข้าเป็นเมีย...?

          “ธรรมดาครับพ่อตา.......”   มันตอบสั้นจู๋

            “ธรรมดาอย่างไงวะ...?” พ่อตาถามซ้ำด้วยเสียงสะบัดอย่างแสดงชัดว่า ไม่พอใจ

          “ประเพณีมีทั่วทุกตัวสัตว์              มิจำกัดเพศความตามวิสัย

          นาคมนุษย์ ครุฑธา สุราลัย             สุดแต่ใจปรองดองประคองกัน...”

          มันตอบพ่อตาด้วยสำนวนพระอภัยมณี  “คนก็ต้องมีผัวเมีย  สัตว์มันยังมีคู่นี่ครับพ่อ   ธรรมด๊า....ธรรมดา...”

          “แล้วที่เอ็งได้พ่อตาอย่างข้านี่ล่ะ...?  เองรู้สึกอย่างไร..?”  เน้นถามหวังจะได้ลูกยอจากลูกเขยเล็กบ้าง  แต่มันตอบแต่ว่า

          “ธรรมดาครับพ่อ.........”

          “ธรรมดาอย่างไรว๊ะ....?”

          “ก็  ส.บ.ม.  เป็นธรรมดา  ที่ได้เป็นลูกเขยเศรษฐี...หนูตกถังข้าวสารก็ยินดีเป็นธรรมดาครับ...”

          คำตอบของเขยเล็กทำเอาสะอึก  ไม่ชอบใจเลย  แต่เหตุผลของมันก็ง่ายเห็นชัด  โกรธมันไม่ลงเหมือนกัน  นี่เหมือนเจ้าภาพฟังเทศน์  หากพระเทศน์พร่ำยกย่องเกียรติคุณของตนละก้อชื่นใจนักหนา  ฟังไปยิ้มไป  ถ้าไปเจอเอาพระที่แสดงแต่หลักธรรมล้วนๆ เขาก็ไม่ค่อยชื่นใจ  ถึงจะถูกหลักแต่ไม่ถูกใจ  ถูกธรรม  แต่ไม่ถูกอารมณ์  แต่พิจารณาไปก็เห็นจริงถึงจะไม่ชอบก็เกลียดไม่ลง

          อยู่มาวันหนึ่ง  พ่อตาลูกเขยไปธุระทางเรือด้วยกัน  พ่อตานั่งกลางลูกเขยใหญ่พายหัว  ลูกเขยเล็กพายท้าย  เรือแล่นผ่านไปถึงกอไผ่ที่มันอยู่ริมฝั่ง  พ่อตาเห็นหน่อไม้  ก็ถามเจ้าเขยใหญ่ว่า  “หน่อไม้ทำไมถึงแทงดินขึ้นได้ว๊ะไอ่ทิดใหญ่..”

          “ก็มันแข็งและแหลมนี่ครับพ่อ”

          “ไอ่ทิดเล็กล่ะ...?”  แกหันมาถามไอ่คนพายท้ายบ้าง

          “ธรรมดาครับพ่อ”

          “ธรรมดายังไง….”

          ไม่จำเป็นต้องแหลมและแข็งหลอก  ที่มันแทงดินขึ้นมาได้ก็เป็นธรรมดาของมันดูแต่เห็ดซิครับ  “มันแหลมและแข็งที่ไหน  มันยังแทงดินโผล่ขึ้นมาได้....”  คำตอบของมันทำให้พ่อตาต้องนิ่ง  จนกระทั้งไปพบเอาฝูงเปิดที่กำลังลอยน้ำอยู่  แก่ก็ถามเขยใหญ่ว่า  “ทำไมเป็ดมันลอยน้ำได้...?”

          “ก็มันมีขนนี่ครับ”   เขยใหญ่ตอบ

          “เออจริงของเอง...แล้วไอ่ทิดเล็กล่ะ...?”  แกหันไปถามคนท้ายเรือ

        “ธรรมดาครับพ่อ”

          “ธรรมดายังไง….”

          “ลูกมะพร้าวมันมีขนเมื่อไรล่ะ   ทำไมมันลอยน้ำได้   มันเป็นธรรมดาของมันครับ.....”  ถ้ามัยจะลอยถึงไม่มีขนมันก็ลอย  ธรรมดาครับ....”  พ่อตาก็นิ่งอึ้งไปอีก...ต่อมาก็ไปเจอห่าน  ห่านมันตกใจเมื่อแล่นเรือผ่านเข้าไป  ก็ร้องเป๊บป๊าบขึ้นมา 

        “ห่านทำไมมันถึงร้องดังวะไอ่ทิดใหญ่...”   แกถามอีก

          “ก็คอมันยาวนี่ครับพ่อ....”

          “เออจริงของเอง...แล้วไอ่ทิดเล็กล่ะ...?”  แกหันไปถามคนท้ายเรือ

          “ธรรมดาครับพ่อ....ดูแต่กบหรืออึ่งอ่างซิ  มันคอยาวเมื่อไร  ยังร้องลั่นทุ่งไป....”

        เสร็จธุระพากันกลับบ้าน  จอดท่าแล้วก็ขึ้นจากเรือเดินขึ้นบ้าน  พอถึงกระไดเรือนพ่อตาเหลียวมองเห็นหญ้าขึ้นรกอยู่ใกล้ตุ่มน้ำล้างเท้า...ก็ถามเขยใหญ่ว่า

          “หญ้าทำไมมันจึงขึ้นตรงนี้....?”

          “ก็มันถูกน้ำราดรดเปียกชุ้มอยู่เสมอนี่ครับพ่อ  มันก็งามซี...”

          “จริงๆๆ.....แล้วไอ่ทิดเล็กล่ะ...?”

          “ธรรมดาครับพ่อ....”  มันยืนคำธรรมดาอยู่เช่นเดิม

          “เอ้.....ตลอดเวลามึงก็พูดแต่ว่าธรรมดาๆ  แล้วเรื่องนี้มันธรรมดายังไงว๊ะ….”  เริ่มโกรธ

          “มันก็งอกงามของมันเอง  ถ้ามันจะไม่งอกไม่งามแล้ว  ถึงจะถูกน้ำราดรดยังไงๆ  มันก็ไม่งอกไม่งาม  ดูแต่หัวพ่อซิ  เห็นรดน้ำอยู่วันละหลายๆ หนไม่เห็นเส้นผมมันจะขึ้นนี่  มันธรรมดานะครับ....”

          ได้ความว่า  เรื่องนี้  พ่อตาหัวล้าน  เรื่องนี้เป็นอย่างไรต่อไปท่านก็นึกวาดภาพเดาเหตุการณ์เองเองก็แล้วกัน.....

          การเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมดาได้แล้ว  จะช่วยให้ยุติสงบเยือกเย็นมีเหตุมีผลและไม่ต้องค้นคว้าสาเหตุให้มันปวดสมอง  ไม่ต้องพูดมากๆ  พูดสั้นๆ แต่ก็ตรงกับความจริง  ถึงจะไม่ถูกอารมณ์แต่ก็ไม่มีใครค้านได้...อย่างเจ้าเขยเล็ก..แต่ก็ต้องถูกเกลียดชักหลีกไม่พ้น  เพราะไปตอบย้อนรอยสอยประสาทกระทบหัวล้านพ่อตาเข้า  เหตุที่พูดไม่เข้าหูก็ต้องถูกเกลียดชังเป็น  “ธรรมดา”

          ตกลงว่า  การเข้าถึง ธรรมดานี้  ทำให้จิตใจเป็นอิสระ  ช่วยความรู้สึกได้มาก  ไม่ต้องวุ่นวายหาสาเหตุให้มันยุ่งยากไปโดยใช่เหตุ......ฯ

                             ปากคนปนปากกา โดย  หลวงตา แพรเยื่อไม้

หมายเลขบันทึก: 304550เขียนเมื่อ 9 ตุลาคม 2009 17:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 พฤษภาคม 2012 12:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท