ผมจะเล่าถึงสาเหตุที่ผลเลิกดื่มน้ำอย่างว่า......
วันนี้...ผมไปงานเผาศพลูกชายเพื่อนซึ่งมันไม่น่ามาตายเลย คิดแล้วเศร้า เอาแน่อะไรกันกับชีวิต จริงอย่างที่พระท่านว่า
“เห็นหน้าอยู่เมื่อเช้า สายตาย
สายอยู่สุขสบาย บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย เย็นดับ ชีพนา
เย็นหยอกเย้าลูกหลานด้วย ค่ำม้วย อาสัญ”
ความตายอยู่กะปลายจมูก
เพื่อนของผมมีลูกชายหลายคน เหตุที่เป็นคนไทยจึงรู้สึกนึกคิดแบบไทยๆ ใครว่างมงายก็ช่าง คือ มีลูกชายก็ปรารถนาจะเห็นชายผ้าเหลือง ปีนี้ลูกชายคนโตของเขาพ้นจากไล้ทหารแล้วกะแผนการบวชลูก ก็คนขายแรงงานอย่างเรานี่ครับ พวกพ้องก็ย่อมมากเป็นธรรมดา วันทำขวัญนาคเพื่อนฝูงเต็มบ้าน และก็เป็นธรรมดาอีกเหมือนกัน พวกเราจับกลุ่มกันที่ไหนสิ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือน้ำกระชับมิตร ปกติแล้วเพื่อนผมใจมันถึง มันบอกว่าดีใจที่พวกพ้องมาในงาน บวชลูก และมันดีใจที่จะได้เขยิบฐานะจากพ่อคนขึ้นมาเป็นพ่อพระ ฉะนั้น มันจึงเลี้ยงไม่อั้น
ขณะที่หมอทำขวัญวิเวกบรรยายถึงพระคุณของพ่อแม่ ว่ากว่าจะเลี้ยงลูกมาเป็นตัวเป็นตนรอดตายมาจนถึงวันบวชเรียนนั้นมันเหลือรับจริงๆ... “คราวสมัยใกล้พรรษา เพื่อทรงศีลจรรยาพรหมเข้าสู่ร่มกาสาว์ ด้วยอำนาจที่ศรัทธา และเจตนาที่จะตอบแทนบิดา มารดา ยาย ย่า ปู่ ที่เลี้ยงดูมายากแสนเข็ญ กว่าจะครบบวชก็แทบจะแบบบาง บางคนก็มีแฟนไปเสียก่อนก็มี พอเจอแม่ใหม่ก็ลืมแม่เก่าหัวใจแม่เศร้าหมองศรีโอกาสวาสนาของข้านี้ได้เห็นสีจีวรลูกชาย บางคนไปเบียดยังกลับมาบวช ก็พอจะอวดเพื่อนบ้านเข้าได้ ว่าลูกฉันเป็นลูกชาย ไม่หลงแม่ใหม่จนลืมแม่มัน...”
คนที่ได้ฟังซาบซึ้งไม่ใช่ใครที่ไหนดอกครับ เมียของเพื่อนผมหรือแม่ของเจ้านาคนั่นแหละครับ เธอไปนั่งเคียงลูกพลางโบกพัดให้ขณะกำลังทำขวัญจากหมอเสียงทอง ใบหน้าเบิกบานทั้งแม่ลูก เฉพาะแม่ของเจ้านาคในฐานะที่เป็นผู้หญิงไม่มีทางจะบวชเรียนกับเขาได้ เมื่อมาได้บวชลูกซึ่งเป็นเลือดในอกแท้ๆ จึงเหมือนตนได้บวชเอง ฉะนั้นจึงย่อมจะยินดี ตื่นเต้นเป็นธรรมดา ส่วนลูกผู้ชายเรามันอาจจะเพราะนึกว่าตัวเองก็บวชเรียนได้จึงไม่ค่อยทุ่มเทความรู้สึกจนขนาดหมดเนื้อหมดตัว หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าการบวชสมัยนี้ มันดีมีผลขนาดไหนก็ได้ รู้รสชาติของตัวเองจึงไม่ค่อยจะฝันหวานเท่าไร ส่วนผู้หญิงนั้นย่อมจะฝันถึงชายผ้าเหลืองได้ลึกซึ้งกว่า เพราะเธอไม่มีโอกาสห่มผ่าชนิดนี้กับเขา มันก็เหมือนหนุ่มสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานกันนั่นแหละครับ ฝันถึงความรักในชีวิตคู่ได้ลึกซึ้งสวยงามนัก ส่วนผู้ที่แต่งงานแล้วได้สัมผัสรสชาติของการแต่งงานจริงๆ กลับฝันไม่ออก เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อสายบัว เป็นหนุ่มเจ้าชู้ชอบร้องยี่เกมาก พอมีเมียแล้วเขาบอกผมว่าไม่เคยร้อยเพลงอีกเลย......เพราะมันไม่มีความรู้สึกที่จะร้องเท่านั้นเอง....
“ฉันทำขวัญนาคมาหลายงาน ไม่เห็นจะเจ็บท้องนานเหมือนอย่างนี้” ความรำพึงคะนึงครวญของผมต้องชะงักลงเมื่อได้ยินกลอนยี่เกของหมอทำขวัญ ยั่วเย้าเจ้าภาพเพื่อเอารางวัลว่าในเรื่องกำเนิดปฏิสนธิมาจนถึงเจ็บท้องจะคลอด กลเม็ดหรือลูกไม้ลูกเล่นของหมอทำขวัญไม่ว่าที่ไหน ก็มักจะมากระบวนเดียวกัน อีตรงเจ็บท้องนี่แหละ เจ้าภาพส่วนมากจะชอบควักกระเป๋าเป็นมันไปทีเดียว เรื่องจะเสียดายนั้นไม่มีหละ ถ้าเจ้าภาพเกรงเสียเงินกับกระบวนลูกเล่นของหมอทำขวัญอย่างนี้ก็ถือกันว่าเค็มหรือจืด หมายถึง ใจนะครับ อย่างเข้าใจง่ายๆ ก็เจ้าภาพกระดูกแข็งจนแทะไม่เข้า แต่แม่ของเจ้านาครายนี้ไม่มีเสียละที่หมอจะนึกน้ำใจเราได้
และท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงในทางบุญทางทานนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้นจากวงเหล้าวงใดวงหนึ่ง นัดต่อมาก็ระเบิดติดๆ กันจนทำให้งานบวชกลายเป็นงานไหว้เจ้า บ้านเจ้าภาพปั่นป่วนไปด้วยคลื่นมนุษย์ซึ่งหาทางหลบลูกปืน
ผลที่ออกมาเจ้านาคถูกลูกปืนตายต่อหน้าแม่
แล้ววันนี้ก็แห่มาเข้าวัด แต่...ไม่ได้เข้าโบสถ์
ไม่ใช่ตรงนี้หรอกครับ ที่ทำให้ผมเลิกดื่ม.....ยัง.......ยัง......
เสร็จจากงานเผาศพ ล่ำลาเจ้าภาพแล้วก็ออกเดินทางถึงประตูวัด มีเพื่อนร่วมโรงงานมาเผาศพกันมากและก็มีหลายคนที่แวะร้านขายเครื่องดื่มที่ตั้งติดประตูวัด...รวมทั้งผมด้วยผมเลือกได้โต๊ะตรงมุมห้อง ถัดไปอีกโต๊ะหนึ่ง ก็มีคนนั่งอยู่สองคนก็พวกที่มางานศพด้วยกัน บนโต๊ะมีขวดแก้วอาหารตั้งอยู่และพร่องไปพอสมควรกิริยาอาการของคนทั้งคู่ได้บอกชัดว่าหัวใจและอารมณ์ของเขาถูกเผาไปพอควร
“ในกระบวนความกลัวด้วยกันแล้ว กลัวอะไรเท่ากลัวผีไม่มี” ผู้เสนอ เสนอด้วยความมั่นใจและให้เหตุผลคมคายแถมขบขันต่อไปว่า “กลัวทั้งผีผู้อื่นและทั้งกลัวตัวเองว่าจะเป็นผี”
“ไม่จริง” ผู้ค้าน ค้านอย่างไม่มีเหตุต้องอารัมภบท
“ค้านก็ต้องมีเหตุผลซิ ว่าพวกใครที่กลัวอะไรยิ่งกว่ากลัวผี”
“ไอ่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าผี และกลัวยิ่งกว่าผีก็มี” ผู้ค้าน ค้านอย่างหน้าตาเฉย
“บอกมาซิว่ากลัวอะไรยิ่งกว่ากลัวผี” ผู้เสนอซักราวทนาย
“กลัวตายไงละ” ผู้ค้านกลับมาเป็นผู้ให้การ
“มันก็เรื่องเดียวกันแหละนา ตายก็คือผี ผีก็คือคนตาย”
“ไม่กลัวผีกับกลัวตายต่างกัน เพราะกลัวผีนะกลัวอยู่เฉพาะคนเท่านั้น เป็นความกลัวอยู่ในวงจำกัด” ส่วนสัตว์ไม่เห็นกลัวนี่ แต่กลัวตายนี่มันกลัวทั้งคนและสัตว์ ฉะนั้นผมจึงว่าความกลัวผีเป็นความกลัวที่แคบกว่ากลัวตาย”
“แหม...คุณนี่คิดลึกซึ้งจริงๆ ราวกับเคยเป็นสัตว์ผมยอมแพ้” ผู้เสนอถูกลบล้างกระทู้ประกาศยอมจำนนพร้อมกับยกมือวันทา
“ได้โปรดเถอะคุณ กรุณาอย่ายกย่องผมถึงเพียงนั้นเลยผมอาย” เจ้าลัทธิสัตว์นิยมยกมือวิงวอน
“คุณอายที่ไม่ได้เป็นสัตว์อย่างนั้นหรือ”
“ครับผมรู้สึกว่า เป็นการอาจเอื้อมเกินไป”
“ผมจะทำตามที่คุณขอร้องได้ต่อเมื่อผมทราบเหตุผลของคุณก่อน ว่าอะไรทำให้คุณอาย หรืออาจเอื้อมที่จะเป็นสัตว์”
“ก็เพราะผมกลัวผีนะซี ถ้าผมทำเหมือนสัตว์ได้แล้วผมก็คงมีความสุขกว่านี้ถึงคุณก็เถอะ”
“เหมือนสัตว์คือไม่กลัวผีนะหรือ...? และคุณรู้ได้อย่างไรว่าสัตว์ไม่กลัวผี...?”
“รู้ง่ายจะตายไป คุณไม่สังเกตนี่ ถึงไม่รู้...เวลาสัตว์ เช่น หมายั่งงี้ มันเดินผ่านป่าช้า คุณว่ามันกลัวผีไหม...?”
“เอ๊ะ...ผมจะไปรู้ได้อย่างไร ผมไม่เคยเป็นหมาเหมือนคุณนี้...”
“โธ่...คุณไม่น่ายกย่องผมเลย คุณลองคิดดูซิ ถ้าผมทำจิตใจให้เหมือนหมาได้ผมคงมีความสุขมากกว่านี้ อย่างผมอย่างคุณ หรืออย่างคนที่ไม่มีความสุขเท่าที่ควรจะมีก็เพราะกลัวผีนี้แหละ ว่ากันที่จริงแล้วคนเราต้องเสียเวลาความกลัวที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราวไปมากที่เดียว งานที่ควรทำก็ไม่ได้ทำประโยชน์ที่ควรจะเกิดก็ไม่ได้เกิดเพราะมัวกลัวเสีย ไอ่ความกลัวผีมันก็คือความกลัวความคิดของตัวเราเองชัดๆ สร้างขึ้นมาหลอกมาขู่ตัวเองแล้วก็เป็นอย่างคนขี้ขาดตาขาว อ่อนแอ ต้องเป็นทุกข์วิตกกังวลกับสิ่งที่ไม่เป็นจริง ผีมันไม่หลอกหมาเพราะอะไรคุณรู้ไหม...?”
“ผู้ค้านขยับแก้วสีเหลืองไปมา แล้วหันหน้ามาจ้องหน้าคู่สนทนา ซึ่งมีขวดและจานอาหารวางอยู่ รู้สึกว่าคุณนี้เห็นสัตว์เดรัจฉานประเสริฐเสียเหลือเกินนะ กระทั้งหมาคุณก็ยังเลื่อมใส กินอย่างหมาคุณกินได้ไหม...?”
“หมามันกินขี้นะคุณ...?”
“ขี้ หรืออาหารที่หมากินทั่วไป มันเป็นอาหารที่ไม่เป็นที่ปรารถนาของใคร แล้วการกินอย่างหมาก็เท่ากับการกินที่ไม่มีทางให้เกิดปัญญา จริงอยู่...หมาบางครั้งจะทะเลาะกัดกัน แต่ก็เฉพาะในยามที่มันหิวเท่านั้น พอมันอิ่มแล้วมันก็อยู่ร่วมกันได้โดยไม่กัดกัน หรือจ้องจะเอาเปรียบกัน... ส่วนคนแม้อิ่มมาแล้วก็ยังไม่สงบ....เพราะยังมีความอยากทะเยอทะยานไปสารพัด นอนหลับไม่สนิทเพราะผิดกับหมา อีกอย่างหนึ่งหมามันจะกินมันก็กินเฉพาะสิ่งที่มันกินได้ กลืนได้ เท่านั้น อย่าง อิฐ หิน ปูน ทราย เหล็ก ถนนหนทาง สะพาน ป้าไม้ เหมืองแร่ งบประมาณแผ่นดิน รถถัง เครื่องบิน รถเอ็นจีวี อย่างนั้นหมามันกินไม่ได้ และมันจะไม่กิน...ผมถึงว่าคนกินอย่างหมาได้แล้วก็คงไม่ต้องเดือนร้อนกันอย่างทุกวันนี้....?”
“แหมคุณนี้รู้เรื่องหมาจริงๆ ถ้าคุณรู้ภาษาหมาได้สักภาษก็คงดีไม่น้อย”
“คุณสนใจภาษาหมาหรือเปล่า” สำเนียงผู้ถามชักเริ่มเจือด้วยดีกรี
“ภาษาหมาหรือภาษาสัตว์ เป็นภาษาที่บริสุทธิ์น่าสนใจ หากคนเราจะใช้ภาษาได้บริสุทธิ์เหมือนภาษาสัตว์แล้วก่อไม่ต้องทะเลาะกัน....”
“คุณออกให้ร้ายมนุษย์ ประณามเผ่าพันธุ์ของคุณมากไปกระมัง..? ผมยังมองไม่เห็นเลยว่า สังคมมนุษย์เลวทรามเพราะถ้อยคำภาษาของตนเองอย่างไร..?
มนุษย์ฉลาดในการปรับปรุงภาษาก็มีเพียงแต่จะให้ฟังรื่นหูและประทับ จับใจผู้ฟังเท่านั้น ยังประสงค์จะให้ผู้ฟังถ้อยคำที่ปรุงแต่งนั้นเป็นที่ซ่อนเร้นเจตนาหรือความมุ่งหมายผลประโยชน์ให้สนิทแนบเนียนด้วย ฉะนั้นยิ่งพูดไพเราะจับใจมากเท่าไรก็ยิ่งมีความซับซ้อนยุ่งยากขวางใจมากเท่านั้น ข้อพิสูจน์ ในเรื่องนี้จะเห็นได้จากคำพูดของผู้มีการศึกษา เช่น คำพูดของนักการทูต ของทนายความ ของนักการเมือง ฯลฯ ต่างจากคำพูดจาปราศรัยของตาสียายสา ตามายายมี บ้านนอกเพียงไรก็นึกดูเอาเอง คนยิ่งฉลาดในการปรุงเสียง ก็ยิ่งเชี่ยวชาญในการปกปิดความจริง...เก่งในทางสร้างความสับสน เข้าใจผิด อันเป็นที่มาของการขัดแย้งทะเลาะวิวาท ความยุ่งยากส่วนหนึ่งมาจากการฉลาดพูด ฉลาดทำ เสียงของมนุษย์ พระท่านว่าเสียงสัตว์ฟังง่าย ง่ายในที่นี้หมายถึงความเข้าใจเพราะสัตว์ไม่มีมายาสาไถย์ อย่างหมามันเจ็บมันก็ร้องเอ๋ง...โกรธก็ขู่กรรโชก ดีใจก็เห่าส่งเสียงยินดี รักใคร่ก็หอนให้คู่รักรู้หัวอกหัวใจของมัน.....มันไม่เคยเสแสร้งเสียงให้ผิดไปจากความรู้สึกอันแท้จริงเลย ฉะนั้น ผมจึงว่า ถ้ามนุษย์ใช้ภาษาได้บริสุทธิ์ อย่างสัตว์ สังคมก็จะดีกว่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ คุณยังเห็นว่าผมนี้พูดเกินความจริงไหม...?”
ผู้รุกรานดูเหมือนจะจำนนต่อเหตุผลของคู่สนทนา และมีทีท่าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ทำให้เพื่อนร่วมดื่มเกิดอารมณ์ได้ ถ้อยคำถากถางทิ่มแทงที่มีความหมายดุจลูกศรที่แผลงออกไปกลับจะเป็นเสมือนช่อดอกไม้ เพราะผู้ฟัง หยิบเอาไปพินิจตีความเป็นคุณงามความดีไปเสียอีก ทำให้เขาผู้เป็นเจ้าของคารมดุจคมลูกศร เริ่มจะพบความพ่ายแพ้ แต่ทิฏฐิมานะที่ฝังอยู่ในกะโหลกมาชั่วกาลนาน ทำให้เขาทนไม่ได้ที่จะเป็นผู้แพ้ เขาจึงหาวิถีทางใหม่...เอื้อมไปหยิบแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าเพื่อนมาจัดแจงรินน้ำสีเหลืองลงไปแล้ว เขาก็ยื่นส่งให้คู่สนทนา....
“แก้วนี้ ขอให้คุณนึกว่าเป็นเครื่องบูชาในการเกิดมาเป็นหมาของคุณ ขอให้คุณเกิดมาเป็นหมาทุกชาติๆ เทอญ...”
“แม้ข้อนี้เราก็ทำไม่ได้เหมือนหมา” เขารับบรรณาการ และคำอวยพรของเพื่อนพรางพูดว่า.... “คนเราเป็นเท่าที่หมาเป็นไม่ได้ก็เพราะกินในสิ่งที่หมามันไม่ยอมกินนี่แหละ...”
“อะไรนะ.... ? ที่หมามันไม่ยอมกินอย่างคุณว่า”
“ก็เหล้าที่คุณกับผมแดกกันอยู่นี่ไงล่ะ... หมามันทานเสียเมื่อไร ผมถึงว่าเราทำไม่เหมือนหมา”
ฝ่ายตรงข้ามนั่งนิ่ง เป็นการยอมจำนนอย่างแท้จริง อั้นงันอยู่ชั่วครู่ก็อุทานออกมาว่า......
“ครับผมรู้แล้ว ผมขอถอนคำพูด จะไม่ยกตนเทียบกับหมาอีกต่อไปละ เรายังทำอย่างหมามันทำไม่ได้ เรากลัวในเรื่องเหลวไหลในสิ่งที่หมามันไม่กลัว เราพูดด้วยภาษาที่ไม่บริสุทธิ์เท่าเสียงสัตว์ และแดกในสิ่งที่หมาในไม่แดกมันรังเกียจไม่ยอมรับทาน....เรายังห่างไกลกับสัตว์เดรัจฉานมากนัก ฉะนั้น ต่อไปนี้ผมจะไม่ยอมยกย่องคุณ จะไม่ยอมให้เกียรติคุณขึ้นเทียมหมา ตราบใดที่คุณยังแดกของสิ่งนี้...”
นี่แหละ....คือ เหตุผลที่ผมเลิกเหล้า ใครจะว่าผมกำเริบเสอบสานยกตนเทียมหมาเหมือนคู่สนทนาเขาว่าโต้ตอบกันผมก็ไม่ว่าอะไร ผมเลิกเหล้าตั้งแต่นั้นมาด้วยอำนาจสำนึกละอายที่ว่า.........
ดื่ม...ในสิ่งที่หมามันไม่ดื่ม.....
กิน...ในสิ่งที่หมามันไม่กิน.....
พูด...ในสิ่งที่หมามันไม่พูด.....
ผมก็มีเหตุผลเหมือนกันนะ...... จริงไหมครับ......?
เรื่องนี้สอนอะไร คงจะไม่ต้องบอก ขอให้ทุกท่านจงค้นหาสาระเอาเองเถิด..ฯ
จากหนังสือ ปากคนปนปากา โดย หลวงตาแพรเยื่อไม้
ไม่มีความเห็น