ย้อนรอยรำลึกประวัติศาสตร์อยุธยา


เลียบเลาะวัดโคกพระยารำลึกแดนประหารสมัยกรุงศรีอยุธยา (1)

 

วัดโคกพระยาเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งที่มีหลักฐานกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่สมัยเริ่มสถาปนา พระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นสถานที่ใช้ในการสำเร็จโทษพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์มาตั้งแต่ แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร รัชกาลที่ ๒ แห่งสมัยพระนครศรีอยุธยาเป็นราชธานี เป็นต้นมา บาญชีวัดร้างในอำเภอรอบกรุงซึ่งสำรวจเมื่อครั้ง ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗) ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระบุชื่อวัดโคกพระยา อยู่ในตำบลบ้านลุมภาลี (ลุมพลี)  มีเนื้อที่ ๗ ไร่ ๑ งาน ๙๔ ตารางวา เป็นวัดที่อยู่ในกลุ่มตำบลเดียวกัน ๙ วัด คือ ๑. วัดสนามกราย ๒. วัดพระยาร่อง ๓. วัดสี่เหลี่ยม ๔. วัดโคกพระยา ๕. วัดโคก ๖. วัดรั้งพระยาแมน ๗. วัดดอนกระต่าย ๘. วัดตูมน้อย ๙. วัดจงกลม ต่อมาในแผนที่กรุงศรีอยุธยา ฉบับพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) สมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลอยุธยา และอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี ตรวจสอบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๙ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ ห่างกัน ๒๒ ปี ปรากฏว่า ชื่อวัดในกลุ่มนี้ทั้งหมด เปลี่ยนแปลงหรือหายไปรวมทั้งชื่อวัดโคกพระยา เมื่อราว พ.ศ. ๒๕๑๑ ดร. สุเมธ ชุมสาย ได้ตรวจสอบและชำระแผนที่โดยอาศัยเค้าโครงของแผนที่ พระยาโบราณราชธานินทร์ เพื่อประกอบแผนการพัฒนาเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา วัดต่าง ๆ ที่หายไป หลายวัดในช่วง ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ได้กลับมามีชื่อปรากฏในแผนที่อีกครั้ง เช่น วัดโคกพระยา วัดสี่เหลี่ยม วัดพระยาแมน และวัดจงกลม นอกจากนั้น ในกลุ่มของทุ่งภูเขาทองซึ่งแต่เดิมไม่มีวัดโคกพญา ได้ปรากฏ ชื่อวัด “โคกพญา” ขึ้นมาอีกวัดหนึ่ง ณ ตำแหน่งที่เคยเป็นวัดร้างใกล้กับภูเขาทอง ตามแผนที่ของกรมแผน ที่ทหารบก สำรวจเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๓ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับวัดโคกพระยาหลายตอน ซึ่งจะ นำมาใช้เป็นข้อมูลในการพิจารณาว่า วัดโคกพระยา ที่แท้จริงนั้นควรจะอยู่ ณ ที่ใดในพระนครศรีอยุธยา ครั้งที่ ๑ ในแผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร (ครั้งที่ ๒) ในพงศาวดารระบุว่า “สมเด็จพระราเมศวร เสด็จลงมาแต่เมืองลพบุรีเข้าในพระราชวัง กุมเอาเจ้าทองลันได้ ให้พิฆาตเสีย ณ วัดโคกพระยา” ครั้งที่ ๒ ในแผ่นดินขุนวรวงศาธิราช พ.ศ. ๒๐๗๒ ขุนวรวงศาธิราชเจ้าแผ่นดินคิดคบชู้กับเจ้าแม่อยู่หัว ศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา ครั้งที่ ๓ กล่าวถึง สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยกพยุหโยธาทวยหาญ ออกไปดู กำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทองเสด็จยืนพระคชาธารประมวลพลแลคชพยุห โดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา ครั้งที่ ๔ ปลายแผ่นดินสมเด็จพระศรีเสาวภาค พ.ศ. ๒๑๔๕ พระศรีศิลป์บวชอยู่วัดระฆัง ได้ สมณฐานันดรเป็นพระพิมลธรรม สึกออกเข้าพระราชวังได้ คุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปให้พันธนาการไว้ มั่นคง รุ่งขึ้นให้นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุล ๑๐๐ ให้ธูปเทียนสมา แล้วก็ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ เอาพระ ศพไปฝัง ณ วัดโคกพระยา แล้วเสด็จขึ้นผ่านพิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยา ทรงพระนามสมเด็จ พระพุทธเจ้าอยู่หัวทรงธรรม ครั้งที่ ๕ บรรดาเหล่าเสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตาจารย์ทั้งหลาย มีเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นประธาน อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระเชษฐาธิราช พระราชโอรส องค์ปฐมของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ขึ้นราชาภิเษก พระพันปีศรีศิลป์ผู้เป็นพระอนุชาลอบหนีไปซ่องสุมผู้คนที่เมืองเพชรบุรี จะยกเข้ามา สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินตรัสทราบเหตุให้แต่งกองทัพออกไปจับกุมพระพันปีศรีศิลป์ได้ เอาตัวมาประหาร ชีวิตเสีย ณ วัดโคกพระยา ครั้งที่ ๖ เจ้าฟ้าชัยได้ครองราชสมบัติ ครั้นอยู่มาสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า คบคิดด้วยพระศรี สุธรรมราชา ซ่องสุมผู้คนพร้อมแล้วก็ยกเข้ามาในพระราชวัง กุมเอาเจ้าฟ้าชัยไปสำเร็จโทษเสีย ณ โคกพระยา ครั้งที่ ๗ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้าเข้าไปในพระราชวังหลวง เสด็จขึ้นพระราชมณเฑียรพระ วิหารสมเด็จ ในวันเดียวกันนั้น เสนาบดีก็ไปตามสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาธิราชได้ ณ วังหลัง ก็ให้ไป สำเร็จโทษ ณ โคกพระยาตามประเพณี ครั้งที่ ๘ คักราช ๑๐๖๔ ปีวอก จัตวาศก (พ.ศ. ๒๒๔๕) สมเด็จพระเจ้าเสือให้ชาวที่เชิญเจ้าพระขวัญเข้ามาถึงตำหนักหนองหวาย แล้วก็ประหารเสียด้วยท่อนจันทน์ เสร็จแล้วก็ให้เอาพระศพใส่ถุงแล้ว ใส่ลงในแม่ขันให้ข้าหลวงเอาออกไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยา เหตุการณ์ที่กล่าวถึงในพระราชพงศาวดารมีตั้งแต่รัชกาลของสมเด็จพระราเมศวรเรื่อยลงมาจนถึง รัชกาลสมเด็จพระเจ้าเสือเพียง ๘ ครั้ง ๗ ครั้งเป็นเรื่องการสำเร็จโทษ อีก ๑ ครั้งเป็นเรื่องการตั้งทัพ แต่ จากการสำรวจทำแผนที่วัดร้างในพระนครศรีอยุธยาในสมัยหลังต่อมา เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ดังกล่าว นั้นสิ้นสุดลงแล้ว ได้ปรากฏชื่อวัดโคกพระยาขึ้นถึง ๒ แห่ง จึงได้สร้างความสับสนขึ้นแก่ นักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีเป็นอย่างยิ่งว่า วัดใดคือวัดโคกพระยาที่กล่าวถึงในประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยาที่แท้จริง เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนเองมาเป็นเครื่องประกอบในการพิจารณา เช่น เหตุผลที่ว่าวัดโคกพระยาที่ตามแผนที่กำหนดว่าอยู่เหนือวัดหัสดาวาส และวัดหน้าพระเมรุนั้น เป็นวัด ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองไม่มากนัก หากจะมีการนำพระเจ้าแผ่นดินหรือพระบรมวงศานุวงศ์ไปสำเร็จโทษ ณ ที่นั้น ก็จะเป็นที่ปลอดภัยจากการแย่งชิงตัวนักโทษ แต่ถ้านำไปประหารที่โคกพระยาซึ่งอยู่ถึงกลางทุ่งภูเขาทอง ห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร ก็จะเสี่ยงกับการแย่งชิงตัวนักโทษ จึงน่าจะไม่สมเหตุสมผลที่กล่าวว่าวัดโคกพระยาอยู่ที่ทุ่งภูเขาทอง ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็อ้างถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยกกองทัพออกมาจากพระนครศรีอยุธยา มาตั้งทัพรอฤกษ์อยู่ที่วัดโคกพญา ถ้าวัดโคก พระยา ตั้งอยู่เหนือวัดหัสดาวาส ก็น่าจะไม่สมเหตุสมผลเพราะขบวนกองทัพจำนวนมากจะมาตั้งทัพกระจุกกันอยู่ ณ ที่ ๆ ไม่ห่างไกลเมืองไปได้อย่างไร โคกพระยาที่กล่าวถึงในเหตุการณ์นี้จึงควรจะมี ตำแหน่งอยู่ ณ กลางทุ่งภูเขาทองถึงจะเหมาะสมแก่เหตุผลที่จะรบกันได้ เป็นต้น พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึงเหตุการณ์ตอนสมเด็จพระสุริโยทัยพระอัครมเหสีของ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงถูกพระเจ้าแปรฟันขาดคอช้างในคราวตามเสด็จ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ออกไปดูกำลังข้าศึกครั้งนั้น ณ สมรภูมิทุ่งภูเขาทองไว้โดยละเอียด ดังนี้ “ฝ่ายสมเด็จพระเจ้าหงสาวดี ยกทัพข้ามกาญจนบุรีมาถึงพระนครศรีอยุธยา ณ วันเสาร์ ขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๔ ตั้งค่ายหลวงตำบลกุ่มดอง ทัพพระมหาอุปราชาตั้งค่ายตำบลเพนียด ทัพพระเจ้าแปรตั้งค่ายตำบล บ้านใหม่มะขามหย่อง ทัพพระยาพสิมตั้งค่ายตำบลทุ่งวัดวรเชษฐ ครั้นรุ่งขึ้น ณ วันอาทิตย์ ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๔ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยกพยุ หโยธาทวยหาญออกไปดูกำลังข้าศึก ณ ทุ่งภูเขาทอง จึงทรงเครื่องอลังการยุทธเสด็จทรงช้างต้นพลายแก้ว จักรพรรดิ สูงหกศอกคืบห้านิ้วเป็นพระคชาธาร ประดับคชาลังกาภรณ์เครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ พระสุริโยทัยผู้เป็นเอกอัครราชมเหสี ประดับพระองค์เป็นพระยามหาอุปราช ทรงเครื่องสำหรับราชณรงค์ เสด็จทรงช้างพลายทรงสุริยกษัตริย์สูงหกศอกเป็นพระคชาธาร ประดับคชาภรณ์เครื่องมั่นเสร็จ มีกลางช้าง และควาญ พระราเมศวรทรงเครื่องสิริราชปิลันธนาวราภรณ์ สำหรับพิชัยยุทธสงครามเสร็จ เสด็จทรงช้าง ต้นพลายมงคลจักรพาฬสูงห้าศอกคืบแปดนิ้ว ประดับกุญชรอลงกตเครื่องมั่น มีกลางช้างและควาญ ครั้นได้ มหาศุภวารฤกษ์ราชดฤถีพระโหราลั่นฆ้องชัยประโคมอุโฆษแตรสังข์อึงอินทเภรี สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ราชาธิราชเจ้าก็ยาตราพระคชาธารข้ามฟากไป พระอัครมเหสีและพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์โดยเสด็จ เหล่าคชพยุหดั้งกันแทรกแซงค่ายค้ำพังคาโลดแล่น มีทหารประจำขี่ กรกุมปืนปลายขอประจำคอทุกตัวสาร ควาญประจำ ท้ายล้อมเป็นกรรกงโดยขนัด แล้วถึงหมู่พยุหเสนากรโยธาหาญเดินเท้าถือดาบดั้งเสโลโตมร หอกใหญ่หอกคู่ ธงทวนธนูปืนนกสับคับคั่งซ้ายขวาหน้าหลัง โดยกระบวนคชพยุหสงคราม เสียงเท้าพล และเท้าช้างสะเทือนดังพสุธาจะทรุด สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเสด็จยืนพระคชาธาร ประมวล พลและคชพยุหโดยกระบวนตั้งอยู่ ณ โคกพระยา ฝ่ายกองตระเวนรามัญเห็นดังนั้น ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าหงสาวดีโดยได้เห็นทุกประการ

หมายเลขบันทึก: 299292เขียนเมื่อ 20 กันยายน 2009 21:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2012 21:20 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย