บางกอกทูเดย์ 8 กันยายน 2552 ตีพิมพ์เรื่อง "วิกฤติโรคซึมเศร้า" ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟัง ถ้าท่านได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ขอความกรุณาแวะไปชมเว็บไซต์ "บางกอกทูเดย์" กันครับ บทความนี้คงจะบอกเราได้ว่า ควรมีการเตรียมบุคลากรรับมือโรคซึมเศร้า ซึ่งเฉพาะจิตแพทย์รับมือไม่ไหวแน่ ควรมีการส่งเสริมให้แพทย์ บุคลากรสุขภาพที่ไม่ใช่แพทย์ นักจิตวิทยา และอาสาสมัครต่างๆ ที่สนใจด้านนี้มีโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมต่อเนื่อง [ ข้อความคัดลอก ] > [ บางกอกทูเดย์ ] ปัญหาโรคจิตจะครองไทย โดยเฉพาะผู้หญิงเสี่ยง 2 เท่า กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกรุงเทพมหานคร จัด โครงการคลายทุกข์ สร้างสุข คืนรอยยิ้มให้คนกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการรณรงค์คัดกรองภาวะซึมเศร้ากรุงเทพมหานครประจำปี 2552 ณ สโมสรพลเมืองอาวุโสสวนลุมพินี เขตปทุมวัน ... น.พ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สาเหตุที่ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาจากปัจจัยภายในคือ กรรมพันธุ์ เนื่องจากการศึกษาในเรื่องรหัสพันธุกรรมพบว่า ผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีแนวโน้มส่งผ่านพันธุกรรมไปยังลูกหลาน นอกจากนี้ ยังเป็นเรื่องของการเลี้ยงดูในวัยเด็ก เด็กเกิดความสูญเสียตั้งแต่ในวัยเด็ก อาทิ พ่อแม่เสียชีวิตส่วนปัจจัยภายนอกเกิดจากปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน อาทิ ความขัดแย้งภายในครอบครัว แรงกดดันจากการทำงาน การสูญเสียในเรื่องต่างๆ ... ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลกระทบคือ ด้านคุณภาพชีวิต จะเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกไร้ค่า ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกท้อแท้ หมดความสนใจในสิ่งต่างๆ มีปัญหาสัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง การรับประทานอาหารเปลี่ยนไปจากเดิม นอนไม่หลับ ทางด้านการทำงาน การเรียน จะส่งผลให้ความสามารถในการทำงานและการเรียนน้อยลง ส่วนด้านสุขภาพทางกายพบร่วมกับการเจ็บป่วยทางกายหลายโรค เช่น โรคมะเร็งและโรคเรื้อรัง ... นอกจากนี้พบว่า โรคนี้ผู้หญิงมีโอกาสเสี่ยงเป็นมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่ารองอธิบดีกรมสุขภาพจิตกล่าวด้วยว่า ทางกรมสุขภาพจิตมีโครงการรณรงค์ป้องกันโรคภาวะซึมเศร้า 10 ปี จนถึงปี 2563 หาไม่เช่นนั้นโรคนี้จะขึ้นมาคุกคามประชากรโลก เป็นอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด สำหรับทางป้องการที่ดีคือ หมั่นสังเกตความผิดปกติทางร่างกาย จิตใจ และพฤติกรรมที่เกิดจากความเครียด ... เมื่อรู้ตัวว่า เครียดจากปัญหาใด ให้พยายามแก้ปัญหานั้นให้ได้โดยเร็ว เรียนรู้การปรับเปลี่ยนความคิดจากแง่ลบให้เป็นแง่บวก ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีที่คุ้นเคย และให้เทคนิคเฉพาะในการคลายเครียดสำหรับผู้ต้องการสอบถามข้อมูลต่างๆโทรไปได้ที่ 1323 และ 1667 พ.ญ.มาลินี สุขเวชชวรกิจ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวเพิ่มเติมว่า กทม.ได้ตระหนักถึงความสำคัญ และความสามารถของประชาชนในการดูแลสุขภาพจิตของตนเอง ครอบครัว และชุมชน เพื่อป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า ... จากการสำรวจสุขภาพจิตคนไทยของกรมสุขภาพจิตพบว่า ชาว กทม.เป็นโรคซึมเศร้าสูงกว่าภาคอื่น การรณรงค์ครั้งนี้คาดหวังให้ประชาชนได้ตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับความสูญเสียอันเนื่องมาจากโรคซึมเศร้า ตลอดจนการสนับสนุนให้อาสาสมัครสาธารณสุขเข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลจิตใจ และเฝ้าระวังปัญหาซึมเศร้าให้กับประชาชนในพื้นที่ กทม.ทั้งนี้ ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสดูแลจิตใจตนเองและบุคคลใกล้ชิดอย่างเป็นรูปธรรม ... ซึ่งหากประชาชนสามารถดูแลจิตใจตนเอง สามารถเข้าถึงบริการของศูนย์บริการสาธารณสุขใกล้บ้าน และมีการส่งต่อผู้เชี่ยวชาญอย่างเป็นระบบก็จะสามารถลดปัญหาโรคซึมเศร้าในพื้นที่ กทม.ได้ ทราบหรือไม่!
ไม่มีความเห็น