ดร.กฤษฎา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤษฎา สังขมณี

แสดงความเห็นด้านการเงินการธนาคาร 2 ด้าน


นักศึกษาชั้นปีที่ 2

ให้ทุกคนแสดงความเห็น  ความรู้  ด้านเศรษฐกิจ  การเงินการธนาคาร  คนละ  2 ความเห็น  ขอให้ตั้งใจอ่านหนังสือสอบปลายภาค  ข้อสอบไม่ยาก  แต่ก็ไม่ง่าย  ใครที่ยังส่งงานไม่ครบ  ไม่ดี  ส่งงานซ่อมไม่เกินวันอังคารที่  15  กันยายน  2552  นะครับ

หมายเลขบันทึก: 295687เขียนเมื่อ 8 กันยายน 2009 10:45 น. ()แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 20:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (83)

All students must tell your real name and tel. number in this blog.

Please comment in postive thinking and do not comment about yellow or red in your messeage.

สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ 51127312022 การเงินการธนาคาร

คือผมลองฝึกเล่นหุ้นกับ settrade อยู่คับ

อยากถามว่า เวลาผมซื้อหุ้นมาแล้วมันเกิดราคาตก ถ้าเราเก็บหุ้นตัวนั้นไว้นานๆจะเสียค่าใช้จ่ายอะไรมั้ยคับ หรือเราสามารถเก็บไว้ได้ตลอดไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร

น.ส อ้อยใจ ใหม่เต็ม การเงินการธนาคาร ปี2 รหัส 51127312025

กราบสวัสดีค่ะ อาจารย์

พอดีหนุเข้าไปในเวปของตลาดหลักทรัพย์

หนุอยากรุ้ว่าเค้าเล่นหุ้นกันยังไงหรือค่ะ

ถ้าอย่างหนูไม่ค่อยมีความรู้เลย

อยากอ่านหุ้นเล่นหุ้นเป็นน่ะค่ะ

ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างหนุขอรบกวนช่วยตอบแนะนำหน่อยน่ะค่ะ

นางสาวอ้อยใจ ใหม่เต็ม การเงินการธนาคาร ปี2 รหัส 51127312025

เก็บไว้นานแค่ไหนก็ไม่มีค่าใช้จ่าย ขึ้นอยู่กับว่ามีความอึดขนาดไหน ถ้าเงินเย็นอาจจะเก็บไว้ก่อน หรือยอมขาขขาดทุนน้อยไปก่อนแล้วเข้าซื้อตัวใหม่ที่คาดว่าจะ cover ความเสียหายเดิมก็ได้ แต่ระวังเจ๊งซ้ำเจ๊งซ้อนเพราะวิเคราะห์พลาด หรือเป็นแมงเม่า

ในsettrade.com มีโปรแกรมเล่นหุ้นในสถานการณ์จริง ลองศึกษาดู ไม่ยาก แต่ถ้าต้องการหลักการทั้งพื้นฐานและเทคนิค ต้องเรียนหลักการลงทุนและวิเคราะห์หลักทรัพย์ครับ

ทั้ง 2 คนใส่เบอร์โทร.ด้วย และ comment ของคนอื่นขอให้ยาว ๆ หน่อย มีคนอ่านอยู่ทั่วโลก ถือโอกาสประกาศศักยภาพสวนสุนันทา ไม่อายใคร ๆ

การบริหารความเสี่ยงทางด้านเครดิต เป็นหนึ่งใน 3 ความเสี่ยงภายใต้ BaselII เดี๋ยวนี้การบริหารงานธนาคารไม่เหมือนเดิมแล้ว ปัจจุบันเขาเรียก Risk Base Approach ตัวอย่างเช่นการให้ความสำคัญด้านนี้มาก ๆของธนาคารธนชาต เพราะมี Bank of Nova Scotia ธนาคารอันดับ 1 ของแคนาดามาถือหุ้นอยู่ถึงครึ่ง ใครสนใจจะทำงานธนาคารต้องติดตาม ตื่นตัว และใส่ใจมาก นะครับ

อัจจิมา เรณูรัตน์ 51127312007

สวัสดีค่ะ อาจารย์

พอดีหนูมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับการเล่นหุ้นค่ะว่า

อะไรที่เป็นตัวแปรทำให้หุ้นราคาสูง หรือราคาตกค่ะ

แล้วหนูที่เป็นนักศึกษาสามารถเล่นหุ้นได้ไหมค่ะ

นางสาวอัจจิมา เรณูรัตน์ การเงิน ปี 2 51127312007

หลายด้าน เช่น โอกาสการเติบโตของธุรกิจ โอกาสการมีกำไรในอนาคต พื้นฐานการประกอบการที่แข็งแกร่ง การมีพันธมิตรทางการเงินใหม่ การได้แหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ การลดราคาของต้นทุนการผลิต และอีกมากมาย รวมถึงการเก็งกำไรตามภาวะตลาดด้วย

ใครก็เล่นได้ถ้ามีเงินและเปิดบัญชีกับโบรคเกอร์ โดยต้องมีเงินประกันขั้นต่ำ 15 %

น.ส.ดวงดาว มูลวงศรี 51127312005

อาจารย์สอนดีมากคะ ทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสถาบันการเงินต่างๆในประเทศไทยและก็เข้าใจกับการเรียนการเงินการธนาคารมากขึ้นจากที่ไม่ค่อยรู้และไม่ค่อยเข้าใจ หนูอยากเห็นอาจารย์ยิ้มเพราะจะทำให้พวกหนูไม่กลัวอาจารย์แต่พวกหนูก็ยังเคารพอาจาย์เหมือนดิมนะคะ ขอบคุณอาจารย์ที่มาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกหนูคะ

สวัสดีคะ อาจารย์

หนูอยากทราบว่า การที่รัฐบาลกู้เงินหลายร้อยล้าน จะเป็นผลดีต่อประเทศอย่างไรคะ

ทำทุกอย่างคงมีทั้งด้านบวกและลบเสมอ เพียงแต่ว่าคุ้มหรือไม่ที่ทำ การกู้เงินเบ็ดเสร็จ 8 แสนล้านบาทก็นำมาพัฒนาประเทศ สู่รากแก้ว ตามนโยบายไทยเข้มแข็ง พัฒนาชนบท สร้างงาน กระจายรายได้ ความเจริญ สาธารณูปโภค การศึกษา สาธารณสุข ชลประทาน ประกันราคาสินค้าที่พ่อแม่เราปลูก และอีกมากมาย สำคัญคือกระจายจริง ไม่รั่วไหล ไม่เข้าสู่หัวคะแนนแพรรคพวกตัวเองครับ แต่ถือว่าเป็นหนี้สาธารณะที่คนไทยทุกคนต้องร่วมรับผิดชอบ

ผมอาจจะยิ้มยากสักนิดก็คงไม่เป็นไร พวกคุณได้ความรู้เท่าที่ผมให้ได้ก็ทำให้ผมคุ้มค่า หายเหนื่อยครับ

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ การเงิน 51127312022 Tel.087-109-5412

ขอบคุณอาจารย์ที่ชอบตอบปัญหานะครับ

อาจารย์คับ ถ้าเกิดมือใหม่อย่างผมสนใจเล่นหุ้นที่ราคาสูงแต่ผันผวนง่าย

อย่าง Banpu,Advanc นี่จะดีมั้ยคับ (เห็นเงินเยอะแล้วหน้ามืด)

หรือควรศึกษาจากการเล่นหุ้นตัวที่ราคาไม่สูงก่อนดี เพราะพวก BBL ผมว่าราคาหุ้นไม่สูงมากแถมค่อนข้างจะเสถียรเล่นกับตัวนี้ผมไม่ค่อยผิดหวังเลยคับ ถึงมีเข้าเนื้อบ้างก็ไม่เยอะ ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะคับ

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ การเงิน 51127312022 Tel.087-109-5412

คือ ผมลองมานึกดูอีกที ผมว่า BBL มันก็เยอะพอๆกับ Advanc เลยนะคับเผลอๆจะเยอะกว่าด้วย

ที่ผมนึกออกที่ราคาน้อยๆก็หุ้นของ True กับ TMB ใช่มั้ยคับ ควรเล่นจากตัวนี้ก่อนมั้ยคับ

แล้วผมเคยเล่นแบบตอนราคากำลังตกก็ซื้อมาค่อนข้างเยอะ แต่ถ้ายังตกอยู่ผมก็ค่อยทยอยขายไปก่อนครึ่งนึง

เอามาหมุนกับหุ้นตัวอื่นก่อน แล้วอีกครึ่งที่เหลือก็คอยดูท่าทีก่อน เล่นแบบนี้ผ่าเหล่ารึเปล่าคับ

หรือว่าควรจะเทขายทั้งหมดแล้วมาเริ่มกับหุ้นตัวใหม่ดี ขอคำแนะนำหน่อยคับ

น.ส. ศิริวรรณ ยอดธรรม การเงิน 51127312008

สวัสดีค่ะ อาจารย์ คือ เมื่อปี 2540 ประเทศไทยเกิดวิกฤตการต้มยำกุ้ง

จึงขอรับความช่วยเหลือ จาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)

หนูสงสัย ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้รับประโยชน์

หรือไม่ และได้รับประโยชน์อะไร จากการช่วยเหลือประเทศสมาชิก ค่ะ

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบคำถามหน่อยนะค่ะ

วราลักษณ์ พาดี 51127312012 การเงิน

สวัสดีค่ะอาจารย์ อยากจะถามอาจารย์ว่าระบบบาทเนตหมายถึงอะไรค่ะ

และประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างไรบ้างจากระบบบาทเนต

รบกวนอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำหน่อยค่ะ

ขอบคุณค่ะ

อ้อยใจ ใหม่เต็ม 51127312025 การเงิน

กราบสวัสดีค่ะ อาจารย์

การเมือง เศรษฐกิจ ส่งผลอย่างไรกับราคาหุ้นในตลาดหุ้นค่ะ

หนูก็พอจะเดาๆๆได้แต่คำตอบที่มีมันไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่

ยังไงก็รบกวนอาจารย์หน่อยนะค่ะ

น.ส อัจจิมา เรณูรัตน์ 51127312007 การเงินปี2

สวัสดีค่ะ อาจารย์

หนูอยากทราบว่าการเปิดบัญชีกับโบรคเกอร์ โดยต้องมีเงินประกันขั้นต่ำ 15 %

มีขั้นตอนอย่างไรค่ะ หรือจะศึกษาขั้นตอนได้จากที่ไหนถ้าเราต้องการเปิดบัญชีกับโบรคเกอร์

แล้วทำไมต้องมีเงินประกันขั้นต่ำ 15 % ด้วยค่ะ

น.ส.ดวงดาว มูลวงศรี

อาจารย์คะ หนูอยากทราบว่าการที่ราคาทองคำขึ้นๆลงๆอย่างนี้มีผลกระทบต่อการเงินของประเทศไทยรึเปล่าเพราะทุนสำรองของประเทศคือทองคะ

น.ส.ธุมวดี พันธา 51127312021

อาจารย์คะเราจะทราบได้อย่างไรคะว่ารัฐบาลจะนำเงินมาพัฒนาประเทศจริงๆ

อรวลี พิพัฒน์ภิญโญยศ

สวัสดีค่ะ อาจารย์ คือหนูมีคำถามเกี่ยวกับเรื่อง เช๊คค่ะ

คือว่าเวลาที่จะไปซื้อเช็คต้องมีใบสั่งซื้อแนบไปด้วยใช่ไหมค่ะ แล้วถ้าเกิดไม่มีใบสั่งซื้อจะซื้อได้ไหมค่ะ

ในกรณีที่ พึ่งมาซื้อเป็นครั้งแรก ค่ะ

น.ส.อรวลี พิพัฒน์ภิญโญยศ รหัส 51127312020 (การเงิน-การธนาคาร) ปี2

ครั้งแรกเมื่อได้อนุมัติจากธนาคารจะมีเอกสารให้เซ็นต์ซื้อเช็คครับ , เลือกนักการเมืองที่ดี ๆ จะได้มั่นใจว่าไม่รั่วไหลไง ตอนเปิดบัญชีโบรคเกอร์เขาจะให้คำแนะนำเองครับ คือถ้ามีเงินฝากไว้ 15,000 บาท จะซื้อหุ้นได้ไม่เกิน 100,000 บาท การเมืองกระทบตลาดหุ้นอย่างไร ผมว่าคุณรู้ไม่น้อยกว่าผมแน่ ลองเขียนบอกมาใน blog หน่อยซิ่ เพื่อน ๆ จะได้รู้ด้วย

ระบบบาทเนตคือการโอนเงินระหว่างธนาคารที่ลูกค้าธนาคารแรกชำระหนี้ให้กับธนาคารที่ 2 ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมแน่ ๆ ครับ

สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ อย่ามีนิสัยโลภนะครัน ตลาดหุ้นมิใช่บ่อน ต้องมีความรู้ เงินต้องมากพอที่จะกระจายหลาย ๆ ตัว คือหุ้นตัวใหญ่ตัวเล็ก เขาจะมีstep การขึ้นลงไม่เท่ากัน แต่ถ้ามีเงินเท่าเดิมหุ้นใหญ่หรือเล็กก็มีอัตราสวิงไม่ต่างกัน

อรวลี พิพัฒน์ภิญโญยศ

คิดว่าการเมืองมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ในด้านใหญ่ๆ คือ ด้านเศรษฐกิจ การลงทุน

และเครดิตของประเทศ ยิ่งมีปัญหาทางด้านการเมือง มากเท่าไหร่ จะทำให้นักลงทุน ขาดความมั่นใจในการลงทุน

จึงมีผลทำให้หุ้นตก ค่ะ

น.ส.อรวลี พิพัฒน์ภิญโญยศ รหัส 51127312020 (การเงิน-การธนาคาร) ปี2

ผมอยากให้ทุกคนให้ความเห็นแบบอรวลี มิใช่ตั้งเพียงคำถามมาเท่านั้นครับ จึงขอเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ว่าทุกคนต้องให้ความเห็นทางเศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร ดอกเบี้ย งบประมาณ ฯลฯ รวม 4 ความเห็น ถ้าใครเคยส่งมาเป็นคำถามจะขอไม่นับ ให้ส่งมาใหม่ด้วยนะครับ กะดูด้วยว่าไม่ควรน้อยกว่ากระดาษ A 4 ลูกศิษย์ผมทำได้อยู่แล้วครับ

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ การเงิน 51127312022 Tel.087-109-5412

เศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามข่าวและในหนังสือพิมพ์ นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นผู้เชื่ยวชาญบางท่านได้ออกมาให้ความเห็นว่า รัฐบาลไทยชุดนี้ได้เดินมาถูกทางแล้วในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจคับ เพราะ มีการนำเงินจำนวนมหาศาลไปทำการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อทำให้เกิดสภาพคล่องจากรากฐานขึ้นมาก่อน ซึ่งที่คนทั่วไปสามารถเห็นได้ชัดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในโดยการแจกเงินให้กับประชาชนคนละ 2000 บาทคับ แต่ส่วนมากก็มองว่ามันไม่เกิดประโยชน์ และด้านการท่องเที่ยวและการค้าก็กำลังฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆจากเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมืองต่างๆ แต่จะพูดว่าคงที่ดีแล้วก็คงไม่ใช่ เพราะ ต่างประเทศอาจจะยังไม่ค่อยเชื่อมั่นในระบบการดูแลรักษาความสงบของประเทศไทยเราเลยทำให้เกิดความกลัวที่จะมาร่วมลงทุน ว่าถ้าลงทุนไปแล้วจะได้ผลกำไรคุ้มกับที่เสียไปหรือไม่คับ

comment ของพวกเราเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ

Your comments are improving , tell your friends to send 4 comments. I'm waiting.

นางสาวปภัสสร กวางเส็ง รหัส 511273009 (การเงินการธนาคาร)

สวัสดีค่ะอาจารย์

หนูอยากทราบเกี่ยวกับเศรษฐกิจตอนนี้คือ ประเทศไทยของเราได้กู้เงินจากต่างประเทศมาหลายล้านบาทหนูอยากทราบว่าแล้วประเทศไทยเอาเงินจากส่วนไหนมาใช้หนี้และถ้าเราไม่มีเงินจะใช้หนี้ต่างประเทศแล้วประเทศไทยจะเกิดวิกฤตอะไรตามมาทีหลังค่ะ

นางสาว วิไล ชลเขตต์

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือหนุอยากถามว่าการที่จะสอบลายเส้นเป็นการสอบแบบไหน

แล้วเราควรเตรียมตัวอยางไรในการสอบ คือหนูจะได้เตรียมตัวก่อนค่ะ

ขอบคุณค่ะ นางสาว วิไล ชลเขตต์ 51127312001 เบอร์ 0823227132

นางสาว วิไล ชลเขตต์

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือหนูเองคิดว่าตัวเองไม่เก่งทางด้านการเงินเท่าไร

หนูอยากมีความรู้มากกว่านี้ อาจารย์คิดว่าหนูควรศึกษาเรื่องอะไรบ้างค่ะ

และควรอ่านหนังสือประเภทไหนถึงจะเข้าใจมากขึ้น

ขอบคุณค่ะ นางสาว วิไล ชลเขตต์ 51127312001 เบอร์ 0823227132

License ไม่ใช่ลายเส้นจ้ะ เป็น multiple choices และสอบด้วยตอมพิวเตอร์ พอคลิกข้อสุดท้ายเสร็จก็รู้เลยว่าสอบได้หรือตก ควรสอบเมื่ออยู่ปี 4 เพราะเรียนมามากพอสมควร การเตรียมตัวคือการทบทวนทุก ๆวิชาทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ ถ้าไม่มั่นใจก็ควรติวกับ TSI ลงทุนหน่อยนะครับ สอบได้คุณมีกินไปจนตาย และอย่างที่ผมเคยบอก อ่านกรุงเทพธุรกิจ โพสต์ทูเดย์ วารสารการเงินธนาคาร ดอกเบี้ย และดูวิเคราะห์ข่าวเศรษฐกิจบ่อย ๆ ช่วยได้เยอะครับ

ทำไมจะใช้หนี้ไม่ได้ละครับ ก็ส่งออกให้มาก ๆ ประหยัด ส่งเสริมการท่องเที่ยว inbound ไม่โกงกันเอง ศักยภาพเรามีมากเพราะเรามี resources เหลือเฟือ คนไทยเก่งนะ อย่าลืม

นักศึกษาทุกคนครับ ข้อสอบปลายภาคจะถามเป็นภาษาอังกฤษ แต่จะตอบเป็นภาษาอังกฤษ หรือไทย หรือจีน ก็ได้ถ้าเขียนได้ หรือปนกันก็ได้ และอนุญาตให้นำ dictionary เข้าห้องสอบได้

มร. แฟรงค์ ยังมีชีวิตอยู่ตรงไหนในโลก ไม่เห็นเขียน blog เลย และขอให้ทุกคนใส่เเบอร์โทร เหมือนที่วิไลทำด้วยนะ หวังว่าคงรู้เรื่อง โชคดีครับ

นางสาวเปนิมา พระสุรัตน์ 51127312029 เอกการเงินการธนาคาร ปี2

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือมีข้อสงสัยที่ว่า

ในปัจจุบันธุรกิจประกันภัยและประกันชีวิตมีหลากหลายมากขึ้น

มีข้อเสนอที่ก็คล้ายๆๆกัน

แล้วเราจะมีวิธีเลือกสรรอย่างไรค่ะ

โทร 0833672409

น.ส.เปนิมา พระสุรัตน์ รหัส 51127312029 การเงินการธนาคาร ปี 2

ค่ะอาจารย์

คือก่อนหน้านี้ได้เข้าใน blog ของอาจารย์แล้ว

แต่ไม่ใช่หน้านี้น่ะค่ะ

ก็เลยเข้ามาใหม่

ค่ะอาจารย์แล้ว คือว่า

ทำไมราคาน้ำมันกับราคาทองคำจึงมักมีทิศทาง

การเปลี่ยนแปลงในทิศเดียวกัน

แล้ว

ราคาค่าขนส่งมีผลเกี่ยวข้องด้วย

มากน้อยแค่ไหนค่ะ

สำหรับผม ผมจะทำประกันกับบริษัทที่มั่นคง รู้ได้อย่างไร ก็ดูและวิเคราะห์งบการเงินซิ่ครับ อีกอย่างที่สำคัญคือซื้อกับตัวแทนที่ทำงานที่นั่นมานาน และมีอายุน้อยกว่าผม เพราะกลัวเขาตายก่อนแล้วเวลาเราตาย ลูกเมียเราจะเคลมยาก

คุณต้องเลือกที่เหมาะกับคุณ ทั้งทุนประกัน เบี้ยประกัน ระยะเวลา และดูแลรักษาสุขภาพ

ส่วนการประกันภัย ก็มีวิธีมองคล้ายกัน แต่จะเลือกที่มีสาขามาก ใกล้บ้านหรือกิจการเราและสอถามจากพรรคพวกคนรู้จัก ที่เขาได้รับบริการดีมาก่อนครับ

มักไปทางเดียวกัน เพราะต่างก็เทียบกับดอลลาร์ พอดีช่วงนี้ดอลล อ่อนค่าลง คนจึงย้ายเข้าสู่ตลาดทองและคอมโมดิตี้เช่นน้ำมัน

น.ส. ศิริวรรณ ยอดธรรม การเงิน 51127312008

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือ ช่วงนี้ค่าเงินดอลล่าร์อ่อน ส่งผลให้เงินบาทเคลื่อนไหวไปในทางผกผัน

ทำให้ค่าเงินบาทแข็งตัว มาก อยู่ในระดับ 33.75 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ

หนูอยากทราบว่า ถ้าค่าเงินบาทแข็งตัวมากๆ จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นอย่างไร

และธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีวิธีการ ช่วยเหลืออย่างไรค่ะ

รบกวนอาจารย์ช่วยตอบคำถามด้วยนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ

น.ส. ศิริวรรณ ยอดธรรม การเงิน 51127312008

ขอถามต่ออีกหน่อยนะค่ะอาจารย์

ค่าเงินส่วนใหญ่จะอิงกับดอลล่าร์สหรัฐเป็นหลักใช่มั้ยค่ะ

แต่ตอนนี้ ค่าเงินดอลล่าร์อ่อนตัว แต่เงินบาทแข็งตัว

เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออก

อยากทราบว่า การส่งออกและนำเข้าจะได้รับผลกระทบหรือไม่ค่ะ

น.ส. ศิริวรรณ ยอดธรรม รหัส 51127312008

เบอร์ 0847076005

นางสาวอภิรนันท์ สุขนา รหัส51127312033 การเงินการธนาคารปี2

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือว่าหนูได้เข้ามาcommentแล้วค่ะแต่ผิดหน้าค่ะ จึงเข้ามาใหม่ค่ะ

คือหนูอยากทราบว่าทำไมบริษัทหลักทรัพย์จึงเป็นตัวกลางทั้งตลาดแรกและตลาดรองค่ะ ขอบคุณค่ะ

กุสุมา คำคล้าย 51127312035

สวัสดีค่ะ

พอดีเข้าไปถามแล้วแต่มันผิดอันค่ะ

มันอยู่ในบล็อกที่7

อาจารย์คงไม่เห็นเพราะไม่ได้ตอบมางั้นหนูถามใหมานะคะ

ที่เขาบอกว่าเด็กที่เกิดมาก็มีหนี้แล้ว

เพราะอะไรค่ะที่ว่าเกิดมาก็มีหนี้ติดตัวมาเลย

แล้วเด็กจะใช้หนี้อย่างไรค่ะ

หรือว่าหนี้นี้คือภาษีหรือเปล่าค่ะ

แล้วมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจปัจจุบันหรือป่าวค่ะ

ว่าจะเป็นหนี้เท่าไร

ขอบคุณล่วงหน้านะค่ะ

กุสุมา คำคล้าย 51127312035

ขอถามหน่อยนะค่ะ

เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะไหนค่ะ

หนี้สาธารณะทั้งหมดหารจำนวนประชากรไงครับ ฉะนั้นไม่ว่าแก่หรือเด็กมีส่วนเท่ากัน

โบรคเกอร์ที่ทำ IPO ก็อยู่ในตลาดแรก วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไปก็อยู่ในตลาดรอง

เงินบาทแข็ง ผู้ส่งออกก็ขายของยาก แต่ผู้นำเข้าใช้หนี้น้อยลง ต้องพิจารณาในช่วงเวลาหนึ่งครับ ไม่ใช่ดูเพียง 2 - 3 วัน

เศรษฐกิจไทยเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว ค่อย ๆ ดีขึ้น ลองดูตัว V ซิ่ ไม่ใช่ตัว L ที่แย่เท่าเก่า

กุสุมา และ อภิรนันท์ ผมบอกให้แสดงความเห็นด้วย ไม่ใช่ถามอย่างเดียว และแจ้งเบอร์โทรด้วย หวังว่าทุกคนเข้าใจนะ

นายเรืองวิทย์ อุปชัย

สวัสดีครับอาจารย์กว่าจะหาบล๊อกนี้เจอเหนื่อเลย><

คือผมอยากรู้ถ้าการเมืองไทยยังไม่ค่อยมันคงแบบนี้จะมีแนวทางไหนที่ทำให้นักลงทุนกล้าลงทุนในไทยมั้งครับ

อาจารย์ช่วยแนะนำการดูหุ้นในsetทีครับว่าควรดูตรงจุดไหนที่ว่าเศรษฐกินไทยกำลังดีหรือถ้าเป็นสีเขียวหมดหมายถึงเศรษฐกิจดีหรอคับ

นายเรืองวิทย์ อุปชัย

ขอถามอีกข้อหนึงนะครับพอดีไปเห็นคอมเม้นของเพือนเรื่องค่าเงินบาท สมุติถ้าผมจะเกร็งกำไรเงินบาทโดยการแลกเงินบาทเปงเงินดอลล่าเก็บไว้ และรอให้เงินบาทออ่นตัวลงแล้วแลกคืน ผมอย่างทราบว่าผลต่างที่แลกมานั้นต้องเสียภาษีใหมครับ

tel-.0854467564

สุพรรณิการ์ กันภัย

อยากถามอาจารย์เกี่ยวกับเรื่อง gold future ค่ะ

ถ้าร้านทองต่างเข้าสมัครในตลาด gold future จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้างค่ะ .....

น.ส. สุพรรณิการ์ กันภัย

51127312031

การเงินการธนาคาร

สุพรรณิการ์ กันภัย

ลืมบอกเบอร์โทรค่ะ

084-671-3923

พอดีหนูเข้ามาตั้งแต่เมื่อวันอังคารแล้ว

เพื่อนบอกว่าลิ้งมันผิด

เรยเพิ่งมาเม้นค่ะ

น.ส.วราลักษณ์ พาดี รหัส 51127312012

สวัสดีค่ะอาจารย์

ก็คือว่าประมาณต้นปี 2551 อัตราดอกเบี้ยได้ปรับขึ้น แต่พอปลายปี 2551 อัตราดอกเบี้ยได้ปรับลดลง จนถึงประมาณกลางปี 2552 และอัตราดอกเบี้ยเริ่มอยู่ตัวมาเรื่อยๆ แต่ได้มีข่าวออกมาว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก แต่ว่า (ธปท.) ได้ยื่นยันว่าจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เพราะว่าเศรษฐกิจของไทยยังไม่ค่อยดีนัก และเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำอยู่ อยากจะทราบว่าถ้าในอนาคตธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจริงๆ จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างไรบ้างค่ะ และเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับไหนค่ะ

น.ส.วราลักษณ์ พาดี รหัส 51127312012 (การเงินการธนาคาร)

เบอร์โทร. 089-174-4048

พงศ์พันธุ์ มณีเขียว

สวัสดีครับอาจารย์ พอดีหาไม่เจอเลยช้าหน่อยครับ

ผมมีคำถามอยากถามอาจารย์ครับคือว่าผมอยากทราบว่าการที่ราคาน้ำมันของตลาดโลกผันผวนจะส่งผลกระทบต่อการซื้อขายในตลาดหุ้นหรือไม่ ถ้าไม่ส่งผล และการซื้อขายในตลาดหุ้นเพิ่มหรือลดเกิดขึ้นมาจากปัจจัยใด

นางสาว วิไล ชลเขตต์

ตอนนี้รู้สึกหวั่นกลัวกับข้อสอบจังเลยค่ะ

ไม่รู้ว่าจะเขียนได้ไม่ หนูพยายามหาข้อมูลจาก wap เพื่อเพิ่มข้อมูลจากที่อ่านในหนังสือ

และพยายามทำความเข้าใจกับภาษาอังกฤษ ซึ่งหนูไม่ค่อยถนัดเลย

อาจารย์ออกข้อสอบภาษาอังกฤษเยอะไม่ค่ะ

ตอนนี้หนูชื่อหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับธุรกิจมาอ่านตามที่อาจารย์แนะนำแล้วนะค่ะ

ขอบคุณอาจารย์มากนะค่ะที่แนะนำสิ่งดีๆให้ มีปัญหาอะไรหฯจะขอคำปรึกษานะค่ะ

ขอบคุณค่ะ

เห็นคำถามก็เชื่อว่าตอบกันได้ เพียงแต่ดีขนาดไหนเท่านั้นครับ อย่างไรก็ตามผมอนุญาตให้นำ dictionary เข้าได้ครับ เผื่อจะได้มั่นใจขึ้น อ่านหนังสือพิมพ์เยอะ ๆ ได้ประโยชน์ทันตาเห็นแน่นอนครับ โชคดีทุกคน

นายรัฐภูมิ แพงคูณ 51127312011 โทร0866081309

จากที่ให้ศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจ ขอและความคิดเห็นเกี่ยวกับเศรษฐไทยว่า เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว

อันเนื่องจากปัญหาภายในประเทศ นั้นก้อคือปัญหาทางด้านการเมืองซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อรายได้จากการท่องเที่ยวในประเทศซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักเลยก็ว่าได้อีกทั้งการเกิดวิกฤษเศรษฐกิจในปรเทศสหรัสอีกด้วยเป็นเหตุให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว

ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจภาคส่งออก ขณะนี้ประเทศไทยกมีหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาลเลยก้อว่าได้ ประชาชนทั่วไปควรดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจะดีที่สุด ใช้ของไทย เที่ยว เมืองไทย ส่งเสริมประเทศไทย ที่สำคัญคนไทยต้องรักและสามัคคีกันไว้ เพื่อในหลวงของเรา อิอิ

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ 087-109-5412

เศรษฐกิจช่วงนี้ตามที่ดูข่าวล่าสุดเศรษฐกิจไทยในช่วงแรกไม่ดีเลยคับ ตกแล้วตกเล่า นึกภาพกราฟนะครับประมาณ --\ คือกราฟแนวราบแล้วดิ่งหวบลงมา แต่ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาชี้แจงและบอกเศรษฐกิจไทยกำลังปรับตัวดีขึ้น เป็นกราฟตัว V ซึ่งบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เป็นไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะสามารถปรับให้ดีขึ้นต่อไปรึเปล่านั้น ถ้าในความคิดของผมคิดว่าประเทศไทยยังสามารถเติบโตด้านเศรษฐกิจได้อีก เพราะ เป็นประเทศที่กำลังพัฒนาและมีอุตสาหกรรมด้านการค้าอยู่มาก จึงคิดว่าต้องสามารถพัฒนาเพิ่มขึ้นไปได้อีกแน่นอน

ขอตอบเรื่องสอบ license หน่อยนะคับ พอดีสนใจอยู่บ้างเลยลองค้นหาข้อมูลดู การสอบ license ไม่ได้มีแค่สายการเงินอย่างเดียวนะคับยังมีพยาบาลและอื่นๆอีก ที่ผมเอามาบอกนี่เป็นการสอบ license เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็นผู้ขายในตลาดหลักทรัพย์ของTSIคับ การสอบ license ไม่จำกัดวุฒิและประสบการณ์ทำงานในการเข้าสอบนะคับ แต่ถ้าคุณสอบตกเค้าจะไม่อนุญาตให้คุณสอบต่อทันทีแต่ต้องเว้นระยะห่างออกไปอย่างน้อย 7 วันคับ คุณจะสอบได้เค้ากำหนดให้ต้องเป็นสมาชิกของ TSI ก่อนนะคับค่าสมัครฟรีคับ ถ้าเป็นการสอบทั่วไปด้านที่เกี่ยวสาขาวิชาพวกเรา จะมีค่าธรรมเนี่ยม 1000 บาทคับ ให้สอบ 4 ชั่วโมง เปิดสอบทุกวันพุธ เวลา 13.30น.ที่ TSI ชั้น8 อาคารตลาดหลักทรัพย์คับ รายละเอียดวิชาที่สอบหรืออื่นๆเข้าไปตามlinkนี้คับ

http://www.tsi-thailand.org/ProfessionalEdu_3/5_exam/Exam_license_SL_Exam.html

จะมีรายละเอียดที่คุณจำเป็นต้องรู้อยู่ครบถ้วนทีเดียวคับ

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ 087-109-5412

คิดผมพลาดไปนิดนึงนะคับ

ถ้าอาจารย์กฤษฎาเห็นว่าไม่ถูกก็บอกได้เลยนะคับเพราะเป็นข้อมูลที่ผมหามาเอง หรือ ถ้าถูกต้องแล้วและยังมีที่อื่นที่สามารถสอบได้อีกก็ขอคำแนะนำด้วยคับ

นางสาวเปนิมา พระสุรัตน์ 51127312029 เอกการเงินการธนาคาร ปี2

สวัสดีค่ะอาจารย์

คือหนูมีความคิดเห็นที่อยากรบกวนอาจารย์

ช่วยลงคะแนนสอบให้ดูหน่อยได้ไหมค่ะ

เพราะหนูรู้สึกสับสนนิดนึง

ว่าตังเองทำได้มากน้อยแค่ไหน

แต่ก็เต็มที่ที่สุดแล้วค่ะ

อีกอย่างนึงคือว่าข้อสอบ

ทำไม่ทันจริงๆๆๆค่ะ

ด้วยความที่ก็ไม่ค่อยคล่องภาษาอังกฤษด้วย

เลยยิ่งทำให้ทำข้อสอบไม่ครบทุกข้อ

บางข้อหนูก็เขียนสลับคำตอบ

เพราะความเข้าจัยผิดของตัวเอง

บวกกับความตื่นเต้นว่าตัวเองจะทำได้รึป่าว

ก็ขอขอบคุณอาจารย์มากน่ะค่ะ

ที่มอบประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ

การเรียนรู้ในหลากหลายเรื่องราว

ของการดำเนินชีวิต ทั้งในและนอกรั้วมหาลัย

รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากเลยค่ะ

เรียนกับอาจารย์แป๊บเดียวก็หมดเทอมนี้แล้ว

ขอขอบคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ค่ะ

เบอร์ 083-3672409

ตอบที่ 42 ถ้าร้านทองต่างเข้าสมัครในตลาด gold future จะได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้าง

การลงทุนในตลาดค้าทองคำล่วงหน้า ไม่จำเป็นที่จะเป็นกิจการค้าทองคำคือจะเป็นใครก็ได้ที่มีเงินทุนในการลงทุน

เพราในตลาดซื้อขายทองคำล่วงหน้าเป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคา ทองคำได้ทั้งใน

ภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยประกอบกับราคา ทองคำมี

การเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กับราคาหุ้น

(สิทธิประโยชน์ของตลาดค้าทองคำล่วงหน้า)

กำไรสองทาง ทั้งทองขึ้น ทองลง

โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ลงทุน ทําให้สามารถซื้อขายทำกำไรได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง

โดยในการ ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริงระหว่างคู่สัญญา แต่ใช้วิธีจ่ายชำระเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่

เกิดขึ้น เรียกว่า “ การชำระราคาเป็นเงินสด” (Cash settlement) ผู้ลงทุนสามารถ “ ซื้อก่อนขาย” หรือ “ ขายก่อนซื้อ” ก็ได้

โดยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาที่ซื้อเอาไว้ เช่น หากผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัว

เพิ่มขึ้น ก็สามารถซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ก่อน และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็สามารถขายโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง

ทำให้ได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อและขาย หรือในกรณีที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะปรับตัวลดลง ก็สามารถสั่งขายโกลด์

ฟิวเจอร์สได้เลย แม้ว่าไม่เคยซื้อ โกลด์ฟิวเจอร์สมาก่อน และเมื่อราคาทองปรับตัวลดลง ก็ค่อยซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง

ทำให้ได้กำไรตามส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อ

(ซื้อขายง่าย สภาพคล่องสูง ราคาโปร่งใส )

การซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สตามความคาดการณ์ได้ตลอดเวลาทำการ

ของ TFEX เพียงแค่ โทรศัพท์สั่งซื้อขายผ่านโบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีสาขารวมกว่า 1 ,000 แห่งทั่วประเทศ หรืออาจใช้วิธีส่งคำสั่งซื้อ

ขายด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่โบรกเกอร์ อนุพันธ์ให้บริการ จากนั้นโบรกเกอร์อนุพันธ์จะเป็นตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายของผู้

ลงทุนเข้ามาในระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของ TFEX เพื่อรอจับคู่คำสั่งกับ ผู้ลงทุนอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้น การเดินทางจึงไม่ใช่

อุปสรรคของการซื้อขายอีกต่อไป ผู้ลงทุนจึงสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ การซื้อขายใน

TFEX ยังมีสภาพคล่องสูง ผู้ลงทุนสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของราคาโกลด์ฟิวเจอร์สได้ตลอดเวลาจากหลากหลายช่องทาง ทั้ง

ทางเว็บไซต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และช่องทางอื่น ๆ ที่บริษัทสมาชิกเปิดให้บริการ ทำผู้ลงทุนให้มีโอกาสในการทำกำไรได้

บ่อยครั้งตามที่ต้องการ

(ข้อควรระวังในการซื้อขาย)

โกลด์ฟิวเจอร์สใช้เงินทุนน้อย เนื่องจากผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนในการซื้อขาย

ผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญา

ดังนั้น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเช่นเดียวกัน

การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยนก็เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำ

จะเคลื่อนไหวสวนทางกับ อัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรติดตามให้ความ

สนใจ นอกจากนี้ ฟิวเจอร์สมีอายุจํากัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไม่มีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึง

วันครบอายุสัญญา ก็จะมีการ ปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนเท่ากับส่วนต่างระหว่าง ราคาที่

ซื้อหรือขายฟิวเจอร์สไว้ และราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสิน

ใจลงทุน และควรติดตามสถานะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

นางสาวอ้อยใจ ใหม่เต็ม 51127312025 Tel..0877251586..

นางสาวเปนิมา พระสุรัตน์ 51127312029 เอกการเงินการธนาคาร ปี2

คำถามที่ว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะไหน (คำถาม 38 )

ประเด็นเศรษฐกิจในปี 2552 มีหลายสำนักเศรษฐกิจทีเดียว ที่วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยไว้อย่างหลากหลายประเด็น ตัวอย่างเช่น 1. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ได้ปรับประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจปี 2551 จากที่คาดไว้ 5.2-5.7% ลงมาที่ 4.5% เงินเฟ้อ 5.6% และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลเล็กน้อย 0.4% ของจีดีพี ขณะที่ในปี 2552 เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มชะลอลง คาดว่าจะขยายตัว 3-4% ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการขยายตัว 4.4% และมีมูลค่าการส่งออกสินค้า 192,700 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 7% นับเป็นการส่งออกที่ชะลอลงเร็ว และภาคบริการจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกซบเซา ขณะที่ปริมาณการนำเข้าสินค้าและบริการขยายตัว 5.2% จึงคาดว่าดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล 6,500 และ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ โดยการขาดดุลเดินสะพัด คิดเป็น 1.2% ของจีดีพี ส่วนอัตราว่างงานมีแนวโน้มอยู่ที่ 1.5-2.5% หรือไม่เกิน 900,000 คน

2. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ล่าสุดได้ปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2551 จากเดิมคาดว่าขยายตัว 4.3-5% เหลือ 4.3-4.5% ในขณะที่ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2552 จากเดิมขยายตัว 3.8-5% ลง 1% เหลือ 2.8-4% หลังจากที่ ธปท. ประเมินผลกระทบจากความรุนแรงจากเหตุการณ์การเมือง และการปิดสนามบินทั้งสองแห่ง ทำให้มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย โดยคาดว่าในปี 2552 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะหายไปสูงถึง 3.5 ล้านคน และส่งผลให้เม็ดเงินสูญหายไปกว่า 140,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ของปี 2551

โดยในเดือน มกราคม 2552 ธปท. จะปรับประมาณการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ทั้งนี้ ในการประมาณการเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมา ธปท. ประมาณการบริโภคภาคเอกชน ปี 2552 ที่ 3.5-4.5% การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 5-6% การส่งออกจะขยายตัวเพียง 7-10% การนำเข้าขยายตัว 8-11% ดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุล 1,000-4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐขยายตัว 7-8% การลงทุนภาครัฐ 4.5-5.5% และยอมรับว่าการใช้จ่ายภาครัฐมีโอกาสลดลงจากสถานการณ์ทางการเมือง

3. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะขยายตัวขึ้นกว่าปีก่อนที่ขยายตัว 4.8% มาอยู่ที่ 5.1% แต่ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนในเดือน มิ.ย. 2551 ที่ 5.6% ต่อปี ส่วนในปี 2552 คาดว่าจะขยายตัวที่ 4-5% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้ แต่การส่งออกในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก คาดว่าจะขยายตัวเพียง 6.5-7.5% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะลดลงอยู่ที่ 3-4% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง

ด้านการบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะขยายตัวที่ 3-4% และการลงทุนภาคเอกชนดีขึ้นมาอยู่ที่ 7-8% เนื่องจากการลงทุนที่ขยายตัวต่ำมากเป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาล ภายใต้กรอบนโยบายการคลังที่ขาดดุลเพิ่มขึ้นที่ 2.5% ของจีดีพี ทั้งนี้ไม่ได้นับรวมการขาดดุลเพิ่มเติมอีก 100,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2552 จะช่วยสนับสนุนให้อุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวขึ้นโดยคาดว่าการบริโภคภาครัฐขยายตัว 7-8% และการลงทุนภาครัฐจะขยายตัว 8-9%

ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดี โดยดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุล 1-2% ของจีดีพี แต่อย่างไรก็ตาม สศค. เตรียมทบทวนเพื่อปรับลดประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2551 และ 2552 เนื่องจากขณะนี้มีทั้งปัจจัยเสี่ยงทั้งภายในและภายนอกประเทศ รวมถึงกรณีการปิดสนามบินที่ส่งผลกระทบโดยตรงกับธุรกิจท่องเที่ยว

4. สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปี 2551 ที่ 4.5% และประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจไทยปี 2552 ไว้ที่ 1.9% (ไม่รวมผลกระทบจากการปิดสนามบิน) ด้านการส่งออกปี 2552 ขยายตัวติดลบสูงถึง 12.1% จากที่คาดว่าจะขยายตัว 5.2% ในปีนี้ และการนำเข้าสินค้าและบริการติดลบ 8% จากการขยายตัวเพิ่มขึ้น 4.3% ในปีนี้ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 5.3% เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของปีนี้ 2.6% ด้านการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5% จาก 4.9% ในปีนี้

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่า โดยภาพรวมนั้นเศรษฐกิจไทยในปี 2552 มีแนวโน้มของการขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเป็นอย่างไร เราก็ควรที่จะเตรียมรับสถานการณ์ไว้ให้พร้อมเสมอ ไม่ควรประมาทกับการใช้ชีวิต ควรรู้จักกินรู้จักใช้ จ่ายเท่าที่จำเป็น มีการวางแผนก่อนเสมอ เพื่อการสูญเสียให้น้อยที่สุด เช่น การเดินทาง…ก่อนเดินทางก็ควรวางแผนเส้นทางเพื่อประหยัดน้ำมัน หรือแม้แต่การไปจ่ายตลาดก็ควรวางแผนว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง เพื่อไม่ให้ใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น เป็นการควบคุมการใช้เงินได้ดีอีกวิธีหนึ่งค่ะ

083-3672409

กุสุมา คำคล้าย 51127312035

โหเม้นมากันเต็มเลยนะข้างบนน่ะ

ตอบคำถามที่ 35 แต่เงินบาทแข็งตัวเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศผู้ส่งออกอยากทราบว่า การส่งออกและนำเข้าจะได้รับผลกระทบหรือไม่

เงินบาทแข็งค่า : ปัญหาและทางออกของผู้ส่งออกไทย

การแข็งค่าของเงินบาทในระยะที่ผ่านมา ทำให้ราคาสินค้าส่งออกของประเทศไทยในสายตาของชาวต่างประเทศ จะดูแพงขึ้น แต่ถ้าหากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระดับเดียวกันหรือใกล้เคียงกันกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ความได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางด้านราคานี้ก็จะลดลง

หากวิเคราะห์สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า ดิฉันเห็นว่ามาจากปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทาน (Demand and Supply) ของค่าเงินบาทและดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจุบันตลาดเงินตราต่างประเทศทั้งในและระหว่างประเทศมีความต้องการซื้อเงินบาทมากกว่าความต้องการขาย ตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ของสหรัฐที่ตลาดมีความต้องการขายมากกว่า

ภาวะเงินบาทแข็งค่าดังกล่าว เป็นผลกระทบต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้วัตถุดิบในประเทศจะได้รับผลกระทบมาก เช่น กลุ่มผู้ประกอบการที่มีส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับผลกำไรไม่สูง กลุ่มธุรกิจที่ผลิตเพื่อขายตลาดต่างประเทศในสัดส่วนที่สูงหรือมีรายรับส่วนใหญ่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ รวมถึงผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร เป็นต้น กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการจ้างงานสูงอาจต้องปลดพนักงานบางส่วนหรือชะลอการจ้างงาน ชะลอหรือหยุดการผลิต ปัจจุบันมีผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยต้องชะลอคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ เพราะไม่สามารถส่งสินค้าในราคาที่ลูกค้าต้องการได้เนื่องจากความผันผวนของค่าเงิน

เมื่อพิจารณาข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ พบว่ามีทั้งการขอผ่อนคลายมาตรการทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย และมาตรการอุดหนุนเพื่อลดผลกระทบ เช่น มาตรการภาษี การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงการขอให้ภาครัฐดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าเกินกว่าร้อยละ 1-2 ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกสามารถยอมรับได้

ในทัศนะของ "ดิฉัน" ว่าแนวโน้มเงินบาทจะมีทิศทางแข็งค่าต่อไปในปี 2550 จากกระแสเงินทุนไหลเข้าประเทศอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยสำคัญมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวจะอ่อนค่าลงสม่ำเสมอ เพราะเศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญความเสี่ยง 2 ประการคือประเทศต่าง ๆ ในโลกอาจจะลดหรือละทิ้งสินทรัพย์สกุลดอลลาร์จำนวนมาก และสหรัฐจะยังคงเผชิญปัญหาขาดดุลการค้าต่อไป โดยเฉพาะกับจีน ทั้งนี้ผมประเมินว่าเงินบาทในปี 2550 จะแข็งค่าขึ้นกว่าปีนี้ประมาณ 1-1.5 บาท อยู่ระหว่าง 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตามการกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยการดำเนินมาตรการดูแลค่าเงินบาทไม่ให้เข้มงวดจนส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะทำให้ขาดความยืดหยุ่นในการนำเงินเข้ามาลงทุนที่ไม่ได้หวังเก็งกำไรในระยะสั้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทยควรดำเนินมาตรการดูแลไม่ให้ค่าเงินผันผวนมากเกินไป และดำเนินมาตรการสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการเก็บภาษีเงินทุนระยะสั้นมาบังคับใช้ เป็นต้น

ดิฉันเห็นว่าไทยควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่าที่มีความสมดุลและยั่งยืน โดยกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาทั้งในกรอบระยะสั้น ปานกลาง และระยะยาว เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันภายใต้ระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างแท้จริง คร้า.............

โทรติดต่อสอบถามที่ 086-6144117 จร้า....

วันนี้มาทำงานค่ะ

แต่ว่างมากเลยค่ะ

ขอแสดงความเห็นเอาคะแนนหน่อยนะคะ

ระบบการเงินไทย ควรวางใจไว้ที่ไหน?

การยอมรับความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ระบบการเงินจะเป็นหัวใจของความเป็นไปของทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ ที่มีการค้าเสรีไร้พรมแดน พลังอิทธิพลของเงินได้เพิ่มขยายจากการมี "นวัตกรรมการเงิน" มากมาย กับอีกเหตุผลหนึ่งคือ "ระบบการเงิน" ยังคงเป็นต้นตำรับของทุนแท้จริง ที่มีบทบาทฐานะสำคัญเหนือกว่าทุนชนิดอื่น รวมไปถึงทุนมนุษย์ด้วย

คุณลักษณะที่ว่านี้ ตรงกับคำที่ผมเคยตั้งชื่อเรื่องไว้ว่า "เงินคือข้า ใครอย่าแตะ" ซึ่งสะท้อนถึงพลังอำนาจของเงินที่มีเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่สายสัมพันธ์ฉันท์ญาติก็ไม่เว้น

เรื่องของคนการเงินสามคนที่จะเขียนถึงนี้ น่าจะเรียกชื่อเรื่องว่า “สามคน ยลตามช่อง” ซึ่งหมายถึงผู้บริหารของสถาบันที่สำคัญของระบบการเงินของประเทศไทย 3 เส้า คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กระทรวงการคลัง กับธนาคารพาณิชย์ โดยในช่วงที่ผ่านมา ก่อนการเลือกตั้งได้มีข่าวน่าสนใจออกมาต่อเนื่องกันหลายเรื่อง คือ

เรื่องแรก กระทรวงการคลังจะแยกอำนาจการกำกับตรวจสอบสถาบันการเงินออกมาจากแบงก์ชาติ เพื่อหวังรวมศูนย์การควบคุมสถาบันการเงินทั้งระบบไว้ที่ กระทรวงการคลังในแบบ “องค์กรพิเศษ” เพื่อความเป็นเอกภาพ โดยจะให้ ธปท.ทำแต่ด้านนโยบายการเงิน พร้อมกับที่ตามติดกันมาคือ คำกล่าวหาที่ค่อนข้างแรงจากคนในสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คือที่ผ่านมาประสิทธิภาพการคุมของแบงก์ชาติไม่ดีพอ กับปัญหาคนแบงก์ชาติจะเก่งเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค แต่ขาดความชำนาญทั้งในเชิงธุรกิจ การเงิน บัญชี และกฎหมาย

ถือเป็นเรื่องท้าทายต่อคนแบงก์ชาติโดยตรง ในฐานะสถาบันอันทรงเกียรติที่สุดตั้งแต่ในอดีตผู้ว่าการ ธปท. ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในท่ามกลางรัฐบาลทหาร แต่จนถึงปัจจุบัน เรื่องแนวคิดการตั้งองค์กรพิเศษคุมแบงก์รับภัยเปิดเสรีนี้ ผู้ว่าการ ธปท.ซึ่งเป็นเจ้าสำนักปัจจุบัน “เก่ง 1” ระดับมือทอง ( ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล) ยังคงสงวนตัวไม่ได้ออกมาแสดงความเห็น

เรื่องที่สองคือ ข่าว รมว.คลัง (ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) แวะเยี่ยม “เก่ง 2” ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกสิกรไทย (คุณบัณฑูร ล่ำซำ) พร้อมคำหวาน ชมถึงความเข้มแข็งและเจริญก้าวหน้าของธนาคารกสิกรไทยใน 4 ที่ผ่านมา ตามด้วยการชี้ชวนให้ธนาคารกสิกรไทยให้มาเป็น “คู่หู” กับกระทรวงการคลังซ่อมสร้างประเทศในอนาคต โดยขอให้มาช่วยกันพัฒนาการศึกษา ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่หรือแปลกอะไรเลยสำหรับคนเก่งบริหารจัดการในยุคโลกาภิวัตน์อย่างคุณบัณฑูร จึงใช้วิธีเน้นย้ำทบทวนบรรยากาศของเงื่อนไขใหม่กับสิ่งที่ต้องพัฒนาขึ้นมาให้เข้มแข็งและสู้แข่งขันได้ ซึ่งถือเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องทำใน 4 ปีหลังเลือกตั้ง

เรื่องนี้ทำเอาคนคิดไปต่างๆ ว่านี่คือ การทอดสะพานให้ หรือกำลังคิดการใหญ่ หรืออะไรกันแน่ แต่ที่จะไม่เกิดขึ้นแน่คือ คนเก่งอย่างคนแบงก์พาณิชย์ที่ “เก่งบริหารจัดการ” จะไม่มีวันหลงกล ให้กับนักเศรษฐศาสตร์การตลาดแน่

กรณีการคิดแยกอำนาจกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินมาไว้ที่กระทรวงการคลัง ได้มีการคิดมานานโดยมีการสัมมนาระดมความคิดมามาก เหตุผลสนับสนุนให้ตัดโอนออกไปนั้นมีหลายข้อ คือเกิดจากข้อผิดพลาดการตรวจสอบในอดีต จนทำให้เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจฟองสบู่แตกทางหนึ่ง กับความหวังให้รวมงานไว้ที่กระทรวงการคลัง เพื่อเอกภาพอีกทางหนึ่ง กับที่เพิ่มเติมเข้ามา คือจะได้ควบคุมกำกับทั้งสถาบันการเงินทั้งระบบให้มีประสิทธิภาพ เพื่อจะได้รู้เท่าทันกับโลกเศรษฐกิจการเงินยุคใหม่ที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงไวมาก กับเพื่อให้สถาบันการเงินเอกชน รวมถึง Non Bank ให้สามารถเสริมต่อการทำงานตามนโยบายพัฒนาประเทศของรัฐบาล

หากย้อนกลับไปดูที่ผ่านมา แบงก์ชาติคือหน่วยงานสมองที่สำคัญของประเทศที่ธำรงความเป็นกลางมากที่สุด และเคยมีบทบาทขยาย ที่ผมชอบจะชมเชยให้คนรุ่นหลังได้ทราบกัน คือ ในสมัยของ ดร.ป๋วยซึ่งการกำกับสถาบันการเงินได้ดำเนินไปได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ จากผู้ว่าการ ธปท.ที่ได้ทำตัวเป็น “ผู้ใหญ่” ที่ดี (ทั้งซื่อสัตย์และสามารถ) ด้วยบุคลิกความเป็นผู้นำที่มุ่งสร้างจิตสำนึกทางอาชีพให้เกิดในตัวนายแบงก์ พร้อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี จนได้รับความเชื่อถือ

เหนือกว่านั้น ในทางบริหารยังได้ “สร้างคน” (นักเรียนทุนแบงก์ชาติชั้นหัวกะทิ) ไว้ใช้งานจำนวนมาก ทำให้ไม่มีข้อสงสัยในการมอบความไว้วางใจให้ควบคุมดูแลธนาคารพาณิชย์ทั้งหมด อันเป็นระบบสำคัญ และอยู่เหนือระบบเศรษฐกิจอื่นทั้งหมด

จุดเด่นที่เป็นส่วนเกินคือ แบงก์ชาติสมัยนั้นยังให้ความเห็นไปไกลถึงระบบอื่น โดยมีคำเตือนพร้อมคำแนะให้ตระหนักถึงปัญหาสังคมกับปัญหาการศึกษา พร้อมให้ข้อเสนอแนะทางแก้ แต่ในยุคต่อมาต้องยอมรับเช่นกันว่า แบงก์ชาติภายใต้ผู้นำรุ่นใหม่มีการศึกษาดี แต่กลับมีจุดอ่อนไม่อาจพัฒนาสืบทอดแนวนโยบายเดิมกับสร้างสิ่งใหม่ให้ตามทันเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงได้

ผมไม่อยากเอ่ยถึงปัญหาความซื่อสัตย์ จริยธรรมและคุณธรรม ซึ่งไม่ชัดเจน แต่อยากพูดถึงสิ่งที่ผมเห็นว่าเป็นจุดอ่อนคือ “ขาดการพัฒนานักบริหารกับทักษะในด้านการจัดการ” ซึ่งจำเป็นไม่น้อยกว่าด้านความรู้ทางการเงินในโลกการเงินที่เริ่มเปลี่ยนไว

ขณะที่ภาคเอกชน คือธนาคารพาณิชย์ได้มีการพัฒนาการบริหารจัดการมากนั้น จุดแข็งของบุคลากร และงานที่ออกมาจากแบงก์ชาติ กลับไม่เปลี่ยนจากเดิม คือ มีคนเก่งและทำงานเน้นไปในสองด้าน คือ เศรษฐศาสตร์การเงินมหภาค โดยคนเก่งเศรษฐศาสตร์ กับตรวจสอบบัญชี แต่ไม่มีคนเข้าใจการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ ภายใต้แนวโน้มการเกิดวิกฤติอ่อนๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย ราคาน้ำมันขึ้นสูงกับเริ่มมีนวัตกรรมการเงินกับไอที ที่ส่งผลต่อการต้นทุน การทำธุรกรรมบริการกับรูปการแข่งขัน

ส่งผลให้งานกำกับตรวจสอบกลายเป็นงานไล่หลังเหตุการณ์ และตามไม่ทันความไวของโลกยุคใหม่ “ช่องว่างการกำกับและตรวจสอบ” จึงเกิดขึ้น และต้องถือว่าไม่เป็นการกล่าวหามากไป ที่ว่าการเกิดวิกฤติทางการเงินปี 2540 เป็นสิ่งที่มีการเตือนมานานแล้ว ที่น่าเสียดายคือ ความไม่เข้าใจ

ไม่อยากกล่าวหาว่า ขาดความรู้ แต่เห็นชัดว่าไม่มีความรอบรู้ กับการรู้ไม่เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ตรงตามคำพูดที่ว่า “อยู่ในหอคอยงาช้าง” กับไม่เปิดกว้างสัมผัสกับโลกที่เป็นจริง ทำให้แบงก์ชาติกลายเป็นจำเลยสังคมในวิกฤติครั้งนั้น จนขาดแนวร่วมที่จะออกมาโต้แย้งให้หากจะถูกลดแยกอำนาจในครั้งนี้

แนวคิดแยกอำนาจกำกับตรวจสอบไปรวมไว้ที่กระทรวงการคลัง ผมเองไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ด้วย 3 เหตุผล คือ

1. แน่ใจหรือที่จะเชื่อตามคำกล่าวอ้างว่า คนกระทรวงการคลังเก่งกว่าคนแบงก์ชาติ ซึ่งผมไม่เชื่อ

2. การอยู่ใกล้ชิดการเมืองที่ยังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา ย่อมเสี่ยงต่อการถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือ แม้โดยการเสี่ยงแบบไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

3. ระบบใหญ่ของการเมืองไทยยังไม่มีธรรมาภิบาลที่ดีเช่นประเทศพัฒนาแล้ว ความกลัวนี้ไม่ต่างจากเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ที่จะเปิดช่องให้เอกชนเข้าครองอำนาจเหนือรัฐวิสากิจ แทนที่รัฐที่ยังไม่เข้มแข็ง ภายใต้ระบบการเมืองที่ยังพัฒนาไม่เข้าที่

เรื่องการแยกอำนาจนี้ แม้ รมว.คลังจะออกมาพูดว่า ยังต้องใช้เวลาและรอ พ.ร.บ.สถาบันการเงินฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้ก่อนก็ตาม ก็ยังคงเป็นเรื่องใหญ่ที่ท้าทายการคิดและติดตามต่อ

ในเรื่องการชักชวนธนาคารเอกชนเป็น “คู่หูซ่อมสร้าง” ฟังดูเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี ไม่ควรถือเขาถือเรา แต่อย่างที่ผมบอกไว้ข้างต้นว่า “เงินคือข้า ใครอย่าแตะ หรือไม่เข้าใครออกใคร” เชื่อว่าจะทำให้นายแบงก์รู้ดีว่า ควรจะเข้าไปร่วมแค่ไหนเพียงใด หรือควรทำในทางไหน ซึ่งจะไม่คิดเลยก็ไม่ได้ เพราะ รมว.คลัง ได้ออกมาแสดงบทเชิงรุก เป็นผู้หวังดีและชี้ชวนทำดีแล้ว ดังนั้น การไม่ร่วมโดยไม่ทำอะไร ย่อมเสียชื่อได้ การรับปากช่วยพัฒนาการศึกษาจากธนาคารกสิกรไทย จึงมีขึ้นในทันที

ก็ขอเตือนในที่นี้ล่วงหน้า โดยแนะว่าขอแบงก์พาณิชย์อื่นทั้งหลายอย่าได้ประมาท โดยต้องรีบเร่งคิดทำแผนงาน และโครงการร่วมซ่อมสร้าง (เพื่อสังคม) เผื่อเอาไว้ ย่อมดีกว่าต้องจำใจตกกระไดพลอยโจนเมื่อเวลากดดันมาถึงตัว ซึ่งจะสอดคล้องกับที่ชาวแบงก์ทั้งหลายเคยได้ยินนายธนาคารผู้อาวุโสได้พร่ำสอนกันมานานว่า...“Don’t (stay) too close and don’t too far away” แปลว่า โดยธรรมเนียมนั้น “นักการธนาคารที่ดีจะไม่เข้าใกล้นักการเมืองจนเกินไป ขณะเดียวกันก็ไม่ควรยืนจนห่างไกลเกินไปด้วย”

IMF กับการวิเคราะห์เศรษฐกิจไทย

ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF)ได้ทบทวนภาวะเศรษฐกิจประจำปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 52 จะหดตัวร้อยละ 3 จากการส่งออกที่ลดลงมากและอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังคงแข็งแกร่งจากนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ได้ดำเนินการมาอย่างระมัดระวังและสถาบันการเงินของไทยมีความเข้มแข็ง

อย่างไรก็ตาม กองทุนการเงินฯ เห็นว่ามาตรการต่างๆ ของทางการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้นจะต้องสามารถดำเนินการได้ทันทีเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคนั้นจะขึ้นกับเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสำคัญ

กองทุนการเงินฯ สนับสนุนการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและเห็นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะมีความสำคัญสำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการเพิ่มเพดานการกู้เงินชั่วคราวเพื่อให้สามารถดูแลการขาดดุลการคลังภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันได้ โดยเห็นว่าการขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้จะปรับลดลงในระยะปานกลางเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

สำหรับนโยบายการเงิน กองทุนการเงินฯ สนับสนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมา แต่เห็นว่าขณะนี้สภาพคล่องในระบบธนาคารมีมากอยู่แล้วและช่องทางการส่งผ่านในปัจจุบันไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสนับสนุนให้ทางการประเมินภาพเศรษฐกิจและประสิทธิภาพของการลดดอกเบี้ยที่ผ่านมา ก่อนที่จะตัดสินใจดำเนินการต่อไป และคาดว่านโยบายค้ำประกันสินเชื่อสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะช่วยให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจได้มากขึ้น

ทั้งนี้ กองทุนการเงินฯ เห็นว่า แม้ว่าภาคธนาคารของไทยมีความเข้มแข็งและมีการกำกับดูแลที่เข้มงวดแต่เศรษฐกิจที่ชะลอลงมากและคุณภาพสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มจะด้อยลงทำให้ทางการควรติดตามดูแล อย่างใกล้ชิดต่อไป

เพียงฤดี นงรัตน์ รหัส 51127312036 ...โทร...0875459807....ค่ะ

เกี่ยวกับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจร้า..............

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีหน้าที่เป็นกลางการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดแรกและตลาดรองเพียงแห่งเดียวของประเทศ

วิธีการซื้อขายหลักทรัพย์

ผู้ลงทุนสามารถทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยผ่านระบบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ได้ 2 วิธี ได้แก่

1. Automatic Order Matching (AOM)

เป็นวิธีการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายส่งการเสนอซื้อและเสนอขายด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านเข้ามายังระบบ การซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ โดยที่ระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดหลักทรัพย์จะทำการเรียงลำดับ และจับคู่คำสั่งซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ

1.1 การจัดเรียงลำดับคำสั่งซื้อขาย เมื่อสามารถส่งคำสั่งซื้อขายเข้ามา ระบบการซื้อขายจะเก็บคำสั่งซื้อขายไว้ตั้งแต่เวลาที่ส่งคำสั่งซื้อขาย จนถึงสิ้นวันทำการ และจัดเรียงคำสั่งซื้อขายตามลำดับของราคาและเวลาที่ดีที่สุด (Price then Time Priority) โดยมีหลักการคือ

(1) คำสั่งซื้อที่มีราคาเสนอซื้อสูงที่สุดจะถูกจัดเรียงไว้ในลำดับที่หนึ่ง และถ้ามีราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าถูกส่งเข้ามาใหม่ จะจัดเรียง ราคาเสนอซื้อที่สูงกว่าเป็นการเสนอซื้อในลำดับแรกก่อนและถ้ามีการเสนอซื้อในแต่ละราคามากกว่าหนึ่งรายการ ให้จัดเรียงตามเวลา โดยการเสนอซื้อที่ปรากฏในระบบการซื้อขายก่อนจะถูกจัดไว้เป็นการเสนอซื้อในลำดับก่อน

(2) คำสั่งขายที่มีราคาเสนอขายต่ำที่สุดจะถูกจัดเรียงไว้ในลำดับที่หนึ่ง และถ้ามีราคาเสนอขายที่ต่ำกว่าถูกส่งเข้ามาใหม่จะจัดเรียงราคาเสนอขายที่ต่ำกว่า เป็นการเสนอขายในลำดับแรกก่อนละถ้ามีการเสนอขายในแต่ละราคามากกว่าหนึ่งรายการให้จัดเรียงตามเวลา โดยการเสนอขายที่ปรากฏในระบบการซื้อขาย ก่อนจะถูกจัดไว้เป็นการเสนอขายในลำดับก่อน

1.2 การคำนวณหาราคาเปิด (Opening Price) และการคำนวณหาราคาปิด (Close Price)

ตลาดหลักทรัพย์ได้กำหนดให้คำนวณราคาเปิดหรือปิดใช้วิธี Call Market ในเวลาเปิดหรือปิดทำการซื้อขาย ที่ได้จากวิธี การแบบสุ่มเลือกเวลา (Random Time) โดยตลาดหลักทรัพย์จะกำหนดช่วงเวลาให้บริษัทสมาชิก ส่งคำสั่งซื้อขายที่ระบุราคา แบบไม่มีเงื่อนไขยกเว้นคำสั่งซื้อขายแบบ ATO (คำสั่งที่ต้องการซื้อขายหลักทรัพย์ ที่ราคาเปิด) หรือ ATC (คำสั่งที่ต้องการซื้อ ขายหลักทรัพย์ที่ราคาปิด) เข้ามาในระบบการซื้อขาย ของตลาดหลักทรัพย์โดยยังไม่มีการจับคู่ แต่ระบบการซื้อขายจะนำคำสั่ง ซื้อขายทั้งหมดมาคำนวณเพื่อหา ราคาเปิดหรือราคาปิด จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลาที่กำหนดระบบจะมีการ Random เพื่อหาเวลาเปิด หรือปิดการซื้อขาย หลักการคำนวณหาราคาเปิด/ราคาปิด ตลาดหลักทรัพย์ได้นำวิธี Call Market มาใช้ในการคำนวณหา ราคาเปิด / ปิด ดังนี้

(1) เป็นราคาที่ทำให้เกิดการซื้อขายมากที่สุดเมื่อแรกเปิดทำการซื้อขายประจำวัน

(2) ในกรณีที่ราคาตาม (1) มีมากกว่าหนึ่งราคา ให้ใช้ราคาที่ใกล้เคียงราคาซื้อขายครั้งสุดท้ายในวันทำการก่อนหน้ามากที่สุด

(3) ในกรณีที่ราคาตาม (2) มีมากกว่าหนึ่งราคา ให้ใช้ราคาที่สูงกว่า

1.3 การจับคู่การซื้อขาย (Matching) เมื่อคำสั่งซื้อขายผ่านเข้ามาในระบบซื้อขายแล้ว ระบบซื้อขายจะตรวจสอบว่าคำสั่งนั้นสามารถจับคู่กับคำสั่ง ด้านตรงข้ามได้ทันทีหรือไม่ ถ้าคำสั่งนั้นสามารถจับคู่ได้ทันที ระบบก็จะทำการจับคู่ให้ แต่ถ้าคำสั่งนั้น ไม่สามารถจับคู่ได้ ระบบจะจัดเรียงคำสั่ง ซื้อขายนั้นตามหลักการ Price then Time Priority ตามที่กล่าวข้างต้น

2. Put-through (PT)

เป็นการซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายได้ทำการต่อรองเพื่อตกลงซื้อขายกัน (Dealing) แล้วจึงบันทึกรายการ ซื้อขายนั้นเข้ามา ในระบบซื้อขาย (Put-through) โดยบริษัทสมาชิกสามารถประกาศ โฆษณา (Advertise) การเสนอซื้อหรือ เสนอขายของตน ผ่านระบบการซื้อขายได้

การซื้อขายภายใต้ระบบ PT สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ

(1) การซื้อขายระหว่างสมาชิก (Two-firm Put-through) มีหลักเกณฑ์ที่สำคัญดังนี้

หากมีการตกลงซื้อขายกันแล้ว ให้สมาชิกผู้ขายบันทึกรายการซื้อขายเข้ามาในระบบการซื้อขายก่อน จากนั้นให้สมาชิกผู้ซื้อทำการรับรองรายการซื้อขาย (Approve) โดยจะต้องบันทึกรายการซื้อขาย เข้ามาในระบบภายใน 15 นาที นับตั้งแต่มีการตกลงซื้อขายกัน หากบันทึกรายการซื้อขายดังกล่าวไม่ทัน ในช่วงเวลาซื้อขายนั้นๆ ให้บันทึกเข้ามาภายใน 15 นาทีแรกของช่วงเวลาซื้อขายถัดไป

หลังจากผู้ซื้อ Approve รายการแล้ว รายการซื้อขายดังกล่าวจะถูกบันทึกเข้ามายังระบบซื้อขายของ ตลาดหลักทรัพย์

(2) การซื้อขายโดยสมาชิกผู้ซื้อและผู้ขายเป็นรายเดียวกัน (One-firm Put-through) มีหลักเกณฑ์ที่ สำคัญดังนี้

หากมีการตกลงซื้อขายกัน ให้สมาชิกบันทึกรายการซื้อขายเข้ามายังตลาดหลักทรัพย์ภายใน 15 นาที นับตั้งแต่มีการตกลงซื้อขายกัน หาก Key รายการซื้อขายดังกล่าวไม่ทันในช่วงเวลา ซื้อขายนั้นๆ ให้ Key เข้ามาภายใน 15 นาทีแรกของช่วงเวลาซื้อขายถัดไป

นางสาวอ้อยใจ ใหม่เต็ม รหัส 51127312025 .....โทร 0877251586

นายรัฐภูมิ แพงคูณ

การลงทุนข้ามประเทศแบบที่เรียกว่า carry trade

carry trade คือกลยุทธ์การลงทุนโดยการ "กู้ยืม" เงินสกุลที่มีดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปลงทุนในเงินสกุลที่มีผลตอบแทนสูงกว่า

ตัวอย่างเช่น ขณะนี้ผลตอบแทนที่ได้จากเงินสกุลเยนญี่ปุ่นต่ำเกือบจะเป็นศูนย์ ในขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐ จ่ายผลตอบแทนประมาณร้อยละห้า ถ้านักลงทุนคนหนึ่งยืมเงินสกุลเยนเป็นจำนวนสิบเท่าของเงินทุนของตัวเอง ที่อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 แล้วเอาไปลงทุนในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐเพื่อกินส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยนกับดอลลาร์ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย ระหว่างช่วงระยะเวลาการลงทุน นักลงทุนคนนี้จะได้รับกำไรจากการลงทุนร้อยละ 4.5 ของเงินที่นำไปลงทุนในสกุลดอลลาร์สหรัฐ แต่อย่าลืมว่านักลงทุนคนนี้ ลงเงินตัวเองไปแค่หนึ่งในสิบของเงินก้อนนั้น เท่ากับว่าเขาได้รับผลตอบแทนถึงร้อยละ 45 จากเงินทุนของตัวเอง

ยิ่งถ้าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน นักลงทุนคนนี้คงได้ฟันกำไรสองเด้ง ทั้งจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และจากค่าเงินที่แข็งขึ้น

ถ้าการเคลื่อนย้ายเงินทุนเป็นไปได้อย่างเสรี และไม่มีความเสี่ยงด้านเครดิต ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยของเงินสองสกุล จะเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน ระหว่างเงินทั้งสองสกุลที่คาดไว้ก่อนที่การลงทุนจะเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ระดับของอัตราดอกเบี้ยของเงินแต่ละสกุล ไม่น่าจะสำคัญ เพราะกลไกตลาดน่าจะปรับตัว จนกระทั่งส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย ได้รับการทดแทนจากการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยน

เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยในประเทศ A สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศ B ตลาดน่าจะเชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ A ควรอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับประเทศ B ไม่เช่นนั้นกลไกตลาดคงจะแสวงหากำไรโดยไปลงทุนในประเทศ B มากขึ้น และประเทศ A น้อยลง จนทำให้ส่วนต่างของระดับอัตราดอกเบี้ยเท่ากับการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเอง

นักเศรษฐศาสตร์เรียกความเชื่อนี้ว่า uncovered interest parity (UIP)

ความสัมพันธ์ที่ว่านี้มีอยู่แค่ใน expectation terms เท่านั้น ก็คือว่าเจ้าผลต่างของอัตราดอกเบี้ย จะเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนที่คาดการณ์ก่อนการลงทุนเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่า ผลต่างของอัตราดอกเบี้ยจะเท่ากับอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อการลงทุนเกิดขึ้นจริงๆ

ถ้าเอาข้อมูลมาดูกันแล้ว เราพบว่าภายใต้ระยะเวลาการลงทุนต่ำกว่าหนึ่งปี ไม่มีความสัมพันธ์ที่ว่านี้หลังจากการลงทุน ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย นอกจากจะไม่ช่วยในการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนในอนาคตแล้ว บางทียังชี้ไปในทางตรงกันข้ามกับที่ UIP อธิบายไว้อีกด้วย

ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่งในวงการเศรษฐศาสตร์เลยครับ มีชื่อเรียกที่รู้จักกันดีว่า forward premium puzzle ครับ

กล่าวคือ ทฤษฎีทางการเงินบอกไว้ครับว่า ส่วนต่างระหว่างอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (forward rates) กับอัตราแลกเปลี่ยน ณ เวลาปัจจุบัน (spot rates) จะเท่ากับส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และทฤษฎีเศรษฐศาสตร์บอกต่อไปอีกว่า อัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าน่าจะเป็นตัวชี้วัดที่ดีในการทำนายอัตราแลกเปลี่ยนในอนาคต แต่พอมาดูข้อมูลเข้าจริงๆ แล้วพบว่ามันไม่ work เอาเสียเลย

ไม่ว่ามันจะไม่ work เพราะอะไร เราพบว่าโดยส่วนใหญ่แล้วนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และเลือกที่จะกู้เงินจากเงินสกุลที่อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า หรือเลือกที่จะลงทุนในเงินสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการทำประกันความเสี่ยง หรือการเลือกลงทุนในเงินสกุลที่มีผลตอบแทนต่ำกว่า ทั้งๆ ที่ UIP บอกเราว่ามันไม่น่าจะได้กำไร เพราะอัตราแลกเปลี่ยนน่าจะปรับตัวไปเองจนทำให้ทั้งสองทางเลือกไม่ต่างกัน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการทำอย่างนั้นจะได้กำไรตลอดไปนะครับ คงยังจำกันได้ ก่อนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในบ้านเราธนาคารและบริษัทหลายแห่งเลือกที่จะกู้เงินจากต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศ เพียงเพราะว่าอัตราดอกเบี้ยนอกประเทศถูกกว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ซึ่งคนกู้เงินเหล่านั้นก็กำไรส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอยู่หลายปี...จนกระทั้งค่าเงินบาทล้มครืน ก็เจ็บกันไปอย่างที่รู้ครับ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ครับ

แต่ตอนนี้ด้วยสภาพคล่องที่ล้นตลาด อัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกต่ำลงเป็นอย่างมาก อัตราดอกเบี้ยเงินสกุลเยนญี่ปุ่น เหลือเกือบจะเท่ากับศูนย์ ขบวนการค้นหาขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า และสภาพตลาดการเงินโลก ที่ดีเกินจริงติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ carry trade ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจาก hedge fund และกองทุนแบบอื่นๆ ที่ยอมรับความเสี่ยงจากการเก็งกำไรมากขึ้น

การเคลื่อนย้ายเงินทุนขนาดมหาศาลจากประเทศที่มีสภาพคล่องล้นระบบ อย่างญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ ไปสู่ประเทศที่มีดอกเบี้ยสูงกว่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าเงินของประเทศต้นทางอ่อนตัวลง และค่าเงินของประเทศปลายทางแข็งค่าขึ้น ยิ่งทำให้ carry trade ฟันกำไรได้มากขึ้น และทำให้เป็นที่นิยมมากขึ้นไปอีก

ประเทศเป้าหมายที่เป็นที่นิยมในการทำ carry trade ก็เช่น New Zealand (นิยมถึงขนาดที่มีการออกพันธบัตร ที่เรียกว่า Uridashi ซึ่งเป็นพันธบัตรที่ออกในประเทศญี่ปุ่น แต่เป็นพันธบัตรสกุลดอลลาร์ New Zealand เรียกว่าไปบริการกันถึงที่เลย), ไอซ์แลนด์, บราซิล, สหรัฐอเมริกา, และตลาดประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย รวมถึงประเทศไทยด้วย

นักวิเคราะห์บางคนบอกว่า เจ้า carry trade มีส่วนช่วยสร้างความบิดเบี้ยวให้กับตลาด และพยุงให้ global imbalances ให้อยู่รอดต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง ประเทศปลายทางของการทำ carry trade ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด โดยพื้นฐานแล้วค่าเงินของประเทศเหล่านี้ควรจะอ่อนลงเพื่อปรับดุลบัญชีเดินสะพัดให้สมดุล และประเทศต้นทางส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งไม่ต้องการให้ค่าเงินอ่อนเท่าไรนัก

แต่ความนิยมของ carry trade ทำให้ค่าเงินของประเทศต้นทางอ่อนลง ในขณะที่ค่าเงินของประเทศปลายทางแข็งค่าขึ้น จนเป็นที่ปวดหัวของผู้กำหนดนโยบายประเทศเหล่านี้อย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ผู้ฝากเงินในญี่ปุ่นที่ทนรับสภาพดอกเบี้ยต่ำติดดินมานานหลายปี เริ่มเคลื่อนย้ายเงินทุนของตัวเองออกไปต่างประเทศ ผ่านทาง pension fund และ mutual fund ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ค่าเงินญี่ปุ่นอ่อนปวกเปียก และการลงทุนแบบนี้มีกำไรมากขึ้น

แม้ว่าจะไม่มีใครรู้แน่ๆ ว่า carry trade มีปริมาณเยอะขนาดไหน เพราะ carry trade สามารถทำได้ในหลายรูปแบบ แต่ก็เชื่อกันว่ามีมากพอที่จะทำให้ระบบตลาดการเงินโลกระส่ำระสายได้ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้สถานการณ์ส่งเสริมให้เกิด carry trade เปลี่ยนไป

คงยังจำกันได้ เมื่อปี 1998 หลังวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชีย รัฐบาลรัสเซียประกาศ default พันธบัตรของตัวเอง ทำให้เกิดการขาดสภาพคล่องในระบบการเงิน คนที่กู้เงินสกุลเยนญี่ปุ่นและนำไปลงทุนในประเทศอื่นๆ ถูกบีบให้จ่ายคืนเงินกู้ จนทำให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นกว่าร้อยละสิบในเวลาไม่กี่วัน ทำเอาคนที่ทำ yen carry trade เจ๊งกันระนาว ยิ่งทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินโลกเหือดแห้ง จนทำเอากองทุนยักษ์ใหญ่อย่าง LTCM ล้มครืน จน Federal Reserves ต้องเข้ามาช่วยระดมกำลังแก้ไขปัญหา ก่อนจะลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านั้น

ส่วนรอบนี้ carry trade จะอยู่ไปได้นานแค่ไหนคงต้องรอดูกันครับ มีปัจจัยหลายอย่างที่หลายๆ คนพูดกันว่าอาจจะทำให้ carry trade หยุดชะงักได้ เช่น ถ้าอัตราดอกเบี้ยในประเทศต้นทางสูงขึ้น (เช่น ถ้ามีแรงกดดันเงินเฟ้อ จนนักลงทุนเริ่มคาดกันว่า ธนาคารกลางจะขึ้นดอกเบี้ย แบบที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว) หรือถ้าค่าเงินญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นแบบรวดเร็ว จนทำให้นักลงทุนขาดทุนการทำ carry trade นอกจากหากเกิดเหตุการณ์ใหญ่ๆ ในประเทศเป้าหมายของ carry trade จนทำให้นักลงทุนเริ่มเปลี่ยนทัศนคติต่อความเสี่ยงในการลงทุนในประเทศเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้การเคลื่อนย้ายทุนประเภทนี้หยุดชะงักหรือไหลย้อนกลับได้

ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ ก็น่าคิดครับ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โดยเฉพาะโลกการเงินปัจจุบัน ซึ่งกระแสโลกาภิวัตน์ ได้พานักลงทุนนานาชาติ เข้าไปตลาดการเงินภายในประเทศเกือบจะทุกประเทศทั่วโลก ถ้าทุนเหล่านี้ไหลย้อนกลับพร้อมๆ กัน คงมีคนเจ็บเยอะกว่าสมัยก่อน ที่การลงทุนกับประเทศกำลังพัฒนา ถูกจำกัดอยู่แค่พันธบัตรรัฐบาลที่ออกในต่างประเทศแน่ๆ

นางสาวทัตติยา จารีต

ทองคำนั้นมีผู้ลงทุนหลักๆอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกคือผู้ใช้ทองคำจริงๆ เช่นใช้ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มผู้ลงทุนที่ใช้ทองคำเป็นทางเลือกหนึ่งในการลงทุน เช่นผู้ลงทุนอย่างเราๆที่ไปซื้อกองทุนทองคำ ไปซื้อทองคำมาเก็บไว้เก็งราคา รวมไปจนถึงธนาคารกลางที่มักจะเก็บทองคำส่วนหนึ่งไว้เป็นทุนสำรอง เป็นต้น

ความต้องการของผู้ใช้ทองคำจริงๆก็จะแปรไปตาม Demand/Supply ซึ่งเติบโตไปตามอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับรวมทั้งเซมิคอนดัคเตอร์บางส่วน

สำหรับกลุ่มผู้ลงทุนอื่นนั้น ความเชื่อที่ว่าทองคำคือทรัพย์สินหนึ่งที่มีค่าเสมือนเงินตรานั้นมีมานานนับพันๆปีแล้วตั้งแต่ก่อนคริสตกาลด้วยซ้ำ ทองคำนั้นไม่มีผุกร่อนเปลี่ยนสภาพ และอยู่ในวัฒนธรรมของคนทั้งโลกมานานมาก จึงเป็นที่นิยม แม้แต่ในช่วง 50 ปีก่อน ธนาคารกลางของประเทศต่างๆก็มักจะเก็บทองคำไว้เป็นทุนสำรองเพื่อ Back ค่าเงินสกุลของตนเอง แม้ระบบเหล่านี้จะเลิกกันไปแล้ว แต่สำหรับผู้ลงทุนแล้ว ทองคำในแง่ของการ "รักษาคุณค่า" ในตัวมันเองนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในสถานการณ์ไหน จะสังเกตว่า เวลาเกิดเหตุการณ์วิกฤติอะไรสักอย่าง เช่นมีสงคราม ความต้องการลงทุนในทองคำจะเพิ่มขึ้น เพราะทองคำถือเป็น Save Haven ในยามที่เกิดความไม่แน่นอน

ในภาวะปกติ ทองคำกับเงินตราที่เป็นกระดาษนั้นสามารถแลกเปลี่ยนทดแทนกันได้เป็นปกติ แต่ในยามที่เงินตราถูกกดดันเช่นเกิดภาวะเงินเฟ้อ ค่าเงินสกุลของประเทศที่เกิดเงินเฟ้อนั้นจะด้อยค่าลง แต่เขาเชื่อกันว่า ค่าของทองคำนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของเงินตราที่เป็นกระดาษ ดังนั้นถ้าค่าเงินสกุลหนึ่งด้อยค่าลงเพราะเกิดเงินเฟ้อ ราคาทองคำจะต้องสูงขึ้นเพื่อชดเชยการด้อยค่านั้น ทองคำจึงมักมีราคาสูงขึ้นเมื่อโลกมีภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

แล้วไปเกี่ยวอะไรกับน้ำมันด้วย?

น้ำมันคือหนึ่งในตัวการที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อไงครับ เมื่อยามที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นมาก ภาวะเงินเฟ้อก็มักจะตามมาด้วย ราคาทองคำจึงมีความสัมพันธ์กับราคาน้ำมันไปด้วยในทางอ้อม

ราคาทองคำยังมักมีความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ เพราะทองคำนั้นซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์ เมื่อยามที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มจะอ่อนค่าในระยะยาว ทองคำมักจะมีราคาสูงขึ้นเพื่อรักษาค่าที่แท้จริงของมันไว้ ไม่ใช่อ่อนค่าไปตามค่าเงินดอลลาร์ที่เป็นเงินตรากระดาษ

>>>>ไม่รู้ว่าถูกรึป่าวนะค่ะที่ตอบคำถามของเปนิมา

รอให้อาจารพิจารณาดู

0874937038

ขอบคุนอาจารที่ได้ให้คำสั่งสอนเรื่องพฤติกรรมในการสอบ

จำไปอีกนานนนนน

ขอบคุนอาจารที่ได้ให้คำสั่งสอนเรื่องพฤติกรรมในการสอบ

จำไปอีกนานนนนน

นาย รัฐภูมิ แพงคูณ

สถานการณ์ของค่าเงินบาทในปัจจุบัน ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับการบริหารจัดการเพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ที่หากดำเนินการอย่างไม่รอบคอบ จะสามารถส่งผลต่อสภาวการณ์ทางสังคมและการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ค่าเงินบาทที่แข็ง เป็นทั้ง "เหตุ" ที่ก่อให้เกิดผลต่างๆ ติดตามมา เช่น ส่งออกได้ยากขึ้น กำไรจากการค้าขายกับเมืองนอกลดลง ในขณะเดียวกัน สถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็ง ก็เป็น "ผล" มาจากเหตุการณ์อื่นๆ เช่น เงินนอกไหลเข้ามามากด้วยเช่นกัน

เมื่อให้ความสำคัญกับสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีค่าขึ้นมาทันที คือ สัจธรรมของเรื่องทั้งหมด การมองย้อนกลับไปพิจารณาว่า หน้าที่ของเงินแต่ดั้งเดิมนั้น เป็นเพียงสื่อในการแลกเปลี่ยน เพื่อให้การค้าขายมีความสะดวกคล่องตัว แทนการนำสินค้าต่อสินค้า หรือบริการต่อบริการมาแลกเปลี่ยนกันโดยตรง และเพื่อขจัดปัญหาของความต้องการในตัวสินค้าหรือบริการที่ไม่ตรงกัน

แต่ด้วยความสะดวกคล่องตัวในการถือเงินไว้ เพื่อเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนนี้เอง ทำให้เงินกลายเป็นเครื่องมือในการสะสมมูลค่าขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ใครที่ต้องการเงินเพื่อไปลงทุนหรือใช้จ่าย ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนมือในรูปของดอกเบี้ยกู้ยืม ทำให้เงินกลายสภาพมาเป็นสินค้าอีกชนิดหนึ่ง ที่สามารถใช้เงินอีกสกุลหนึ่งในการซื้อขาย โดยมีการกำหนดราคาในรูปของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน

เมื่อเงินบาทเป็นที่ต้องการมาก ราคาย่อมสูงขึ้น ในทางการเงินเรียกว่า ค่าเงินบาทแข็งขึ้น เช่น เดิมทีเงิน 1 ดอลลาร์ สามารถซื้อสินค้าเงินบาทได้ 38 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็ง เงินดอลลาร์เดียวกันสามารถซื้อเงินบาทได้เพียง 33 บาท หากคิดในแบบชั้นเดียวว่า ถ้าอยากให้เงินบาทอ่อนลง ก็ผลิตเงินบาทออกมาให้มากขึ้น เหมือนสินค้าที่หากผลิตออกมาสู่ตลาดมากๆ ราคาก็ย่อมลดลง วิธีการนี้ส่งผลให้เงินบาทอ่อนตัวลงจริง แต่ก็มีผลอย่างอื่นเกิดขึ้นด้วย นั่นคือ ทำให้ค่าของเงินบาทลดลง เมื่อต้องนำเงินบาทไปซื้อสินค้าจริงๆ จะต้องใช้เงินบาทเพิ่มขึ้น ซึ่งเรียกภาวะนี้ว่า เงินเฟ้อ

วิธีการที่ควรจะเป็นคือ การสร้างความสมดุลระหว่างปริมาณเงินนอกที่ไหลเข้าและเงินบาทที่อยู่ในตลาด โดยทำได้สองทาง ทางแรก มี 2 กรณีคือ การลดเงินนอกที่ไหลเข้า ซึ่งแน่นอนว่า ในระบบตลาดเสรี จะไม่สามารถควบคุมหรือกำหนดได้โดยตรง แต่สามารถที่จะสร้างเหตุปัจจัยในการลดแรงจูงใจต่อการนำเข้าของเงินนอก โดยหากเป็นการไหลเข้าชั่วครั้งชั่วคราว หรือเข้ามาแสวงหาผลกำไรระยะสั้น การสร้างเหตุปัจจัยที่เหมาะสม ก็ต้องเป็นมาตรการในระยะสั้น เช่น การใช้วิธีส่งสัญญาณด้วยข้อมูลข่าวสาร แต่หากเป็นการไหลเข้าเพื่อการลงทุนระยะยาว ก็สมควรที่จะพิจารณามาตรการในระยะยาว เช่น การปรับโครงสร้างภาษี หรือโครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ

กรณีที่สอง คือ การนำเงินนอกที่ไหลเข้าไปลงทุนนอกประเทศ ทั้งนี้ เพื่อลดปริมาณของเงินนอกที่อยู่ในลิ้นชักให้มีปริมาณที่พอเหมาะ โดยรัฐอาจไปลงทุนเอง หรือการอนุญาตให้เอกชนนำเงินไปลงทุนนอกประเทศได้เสรีมากขึ้น แต่วิธีนี้ก็ต้องมีการเตรียมความพร้อมและบ่มเพาะความเชี่ยวชาญเพิ่มเติม เนื่องจากการลงทุนมีความสุ่มเสี่ยงต่อการขาดทุนเสมอ

ในอีกทางหนึ่ง คือ การเพิ่มปริมาณเงินบาทที่อยู่ในตลาด ด้วยวิธีกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ทำให้มีเงินบาทหมุนเวียนอยู่ในตลาดเพิ่มขึ้น แทนที่ต่างคนต่างเก็บเงินบาทไว้อยู่กับบ้านหรือในธนาคาร โดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนมือ การกระตุ้นให้ใช้จ่ายมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ซึ่งต้องมีความระมัดระวัง เพราะจะสัมพันธ์กับภาวะการมีภูมิคุ้มกันของประชาชนในทางเศรษฐกิจยามที่ประสบปัญหา กับการใช้จ่ายเพื่อการสร้างและพัฒนาอาชีพของตัว หรือเพื่อการลงทุน ซึ่งประเภทหลังนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต ที่พึงส่งเสริมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

นอกเหนือจากสองแนวทางข้างต้น สำหรับปัจเจกชนคนธรรมดาที่เป็นทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจ ก็สามารถนำสัจธรรมที่ว่า เมื่อให้ความสำคัญกับสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมมีค่าขึ้นมาทันที มาพิจารณาเพื่อค้นหาว่า จะมีหนทางใดหรือไม่ที่สามารถนำไปสู่การลดความสำคัญของเงินในฐานะที่เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง แต่ยังคงบทบาทของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนและการรักษาคุณค่า โดยไม่เลยไปถึงขั้นที่สะสมมูลค่า จนทำให้เกิดความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อันเป็นจุดกำเนิดของลัทธิการถือเงินเป็นใหญ่ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ระบบทุนนิยม

คำตอบของหนทางนี้ มีปรากฏอยู่แล้วอย่างชัดเจนในปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ให้ดำเนินไปในทางสายกลาง ซึ่งมิได้ปฏิเสธความสำคัญหรือคุณค่าของเงิน แต่ต้องประกอบด้วยความพอประมาณในการให้ความสำคัญหรือคุณค่าของเงิน เช่น การไม่เห็นเงินเป็นนายเหนือชีวิต ความมีเหตุผลในการแสวงหาและการใช้จ่ายเงินไปในทางที่ถูกต้องและดีงาม การหลีกเลี่ยงการใช้จ่ายเงินไปกับอบายมุข รวมถึงการใช้คุณค่าของเงินเพื่อการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีในรูปแบบต่างๆ เช่น การออม การประกันชีวิต การประกันสุขภาพ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและยกระดับชีวิตในด้านจิตใจ นอกเหนือจากด้านวัตถุ ด้วยหนทางนี้ เงินจึงจะมีบทบาทสมกับหน้าที่ของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่มีคุณค่าอย่างแท้จริง

นางสาวน้ำทิพย์ นักร้อง

พอมีใครทราบบ้างค่ะว่า ทองคำแท่งที่เราซื้อ ห้างทองที่ขายทองคำแท่งแต่ละที มีเปอร์เซ็นต์ของทองคำบริสุทธิ์ 96.5% จริงหรือป่าวแล้วมีองค์กรณ์หรือใครที่เข้ามาตรวจสอบความบริสุทธิ์

ของทองแต่ละก้อนไหมค่ะว่ามารตราฐานเดียวกัน ไม่มีการลักไก่ เช่นทองที่เราซื้อ มีความบริสุทธิ์ไม่ถึง 96.5%

นางสาว ทัตติยา จารีต

ควรทำพฤติกรรมแบบไหนในภาวะเศรษฐกิจตอนนี้

ในสถานการณ์แบบนี้ทุกคนต้องอาศัยการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ราคาสินค้าสูงขึ้นมากกว่ารายได้ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ คือเงินเท่าเดิมเมื่อเวลาเปลี่ยนไปจะไม่สามารถสินของได้ในจำนวนเท่าเดิมแล้วเช่น ปัจจุบันเงิน 100 บาทสามารถซื้อเสื้อได้หนึ่งตัว เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 100 บาทไม่สามารถซื้อเสื้อ 1 ตัวได้แล้วเพราะราคาซื้อปรับสูงขึ้นไปเป็น 110 บาท ซึ่งเป็นภาวะการณ์ปัจจุบันที่กำลังเกิดปัญหาอัตราเงินเฟ้อสูงเกินไปทั่วโลก

ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผมปรับตัวด้วยวิธีการดังนี้

1. อดใจ

2. อดออม

3. หาช่องลงทุน

อธิบาย

อดใจ คือโดยปกติแล้วคนเราเมื่อเห็นสิ่งของต่างๆ ที่ถูกใจก็จะ Shop ไม่ยั้งมือละครับทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่สุด เมื่อซื้อมาแล้วใช้งานได้ 1-2 ครั้งก็ตั้งทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อีกเลย ไม่ได้ใช้แล้วแถมยังทำให้บ้านรกอีก

อดออม คือ อดออมเป็นผลพลอยได้จากอดใจทำให้เรามีสินทรัพย์มากขึ้น ด้วยวิธีการ "มีรายได้มาแล้วต้องกำหนดเลยว่าต้องออมกี่ % เมื่อได้เงินมาก็หักไว้เลย ซึ่งคนทั่วไปมักจะรอให้เหลือก่อนถึงจะออม ซึ่งก็จะไม่มีเหลือสักที สุดท้ายการออมก็ไม่เกิดขึ้น แถมยังมีหนี้อย่างบัตรเคตดิต แถมมาให้ด้วย ยุ่งกันไปใหญ่"

หาช่องลงทุน คือ ปัจจุบันช่องทางการลงทุนมีหลากหลายมาก และจากที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารอยู่ในระดับต่ำทำให้เมื่อนำเงินไปฝากแล้วผลต่อแทนที่ได้มาตามไม่ทันราคาสินค้าที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือจะกล่าวอีกอย่างว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก ตากไม่ทันอัตราเงินเฟ้อนั้นเอง ซึ่งก็เคยใช้วิธีการฝากเงินกินดอกเบี้ยแต่แล้วก็ไม่สามารถยอมรับกับผลตอบแทนได้เพราะมันน้อยมากๆ ทำให้ปัจจุบันไม่มีเงินฝากในธนาคารเลย แล้วลงทุนกับอะไรหรือ อย่างที่กล่าวมาข้างต้นช่องทางการลงทุนมีหลากหลายมากในปัจจุบัน ของแจงคร่าวๆ เป็นข้อๆ ซึ่งมีเยอะกว่านี้เอาเท่าที่นึกออก

1 ลงทุนในหุ้น

2 ลงทุนในกองทุนรวม

3 ลงทุนในทองคำ

4 ลงทุนในตราสารหนี้

5 ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

มีความเห็นเหมือนกันมั้ยค่ะ

นาย รัฐภูมิ แพงคูณ

ประยุกต์ใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวงที่ตอนนี้ไม่รู้เป็นไรไม่มีใครพูดถึงเลยซะงั้น

สั้นๆๆนะ

1. ค้นหาความต้องการของตนเองให้พบว่า มีความต้องการอะไร มีเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอย่างไร เช่น ต้องการมีชีวิตที่มีอนาคตก้าวหน้า มีความเป็นอิสระ มีเวลาเพื่อครอบครัวและมีทรัพย์สินเพียงพอ มีความสุข หลุดพ้นจากความยากลำบาก

2. วิเคราะห์ข้อมูลของตนเองและครอบครัว ซึ่งจะทำให้รู้สถานภาพ รู้สาเหตุของปัญหา รู้ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รู้ผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม

ศักยภาพของตนเอง เช่น ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ (ทักษะ) ชื่อเสียง ประสบการณ์ ความมั่นคง ความก้าวหน้า สภาพทางการเงิน การสร้างรายได้การใช้จ่าย การออม คุณธรรมและศีลธรรม

ศักยภาพของครอบครัว เช่น วิถีการดำรงชีวิต ภาวะเศรษฐกิจของครอบครัว ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรม ประเพณี คุณภาพชีวิตของคนในครอบครัวฐานะทางสังคม ฐานะทางการเงิน ที่เป็นทรัพย์สินและหนี้สินของครัวเรือน รายได้ รายจ่าย ของครัวเรือน

3. วางแผนการดำเนินชีวิต

พัฒนาตนเอง ให้มีการเรียนรู้ต่อเนื่อง (ใฝ่เรียนรู้) สร้างวินัยกับตนเอง โดยเฉพาะวินัยทางการเงิน

สร้างนิสัยที่มีความคิดก้าวหน้ามุ่งมั่นในเป้าหมายชีวิต หมั่นพิจารณาความคิด ตัดสินใจแก้ปัญหา เป็นระบบโดยใช้ความรู้ (ที่รอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวัง) มีความรับผิดชอบต่อตนเอง สังคม และครอบครัว

หมั่นบริหารจิตใจให้มีความซื่อสัตย์ สุจริต รักชาติ เสียสละ สามัคคี เที่ยงธรรม ศีลธรรม

ควบคุมจิตใจให้ตนเอง ประพฤติในสิ่งที่ดีงาม สร้างสรรค์ ความเจริญรุ่งเรือง

พัฒนาจิตใจ ให้ลด ละ เลิก อบายมุข กิเลส ตัณหา ความโกรธ ความหลง

เสริมสร้างและฟื้นฟูความรู้และคุณธรรมของตนเองและครอบครัว เช่น เข้ารับการฝึกอบรม ฝึกทักษะ ในวิชาการต่าง ๆ หรือวิชาชีพ หมั่นตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องอย่างสม่ำเสมอ

ปรับทัศนคติในเชิงบวก และมีความเป็นไปได้

4. จดบันทึกและทำบัญชีรับ – จ่าย

5. สรุปผลการพัฒนาตนเองและครอบครัว โดยพิจารณาจาก

ร่างกายมีสุขภาพ สมบูรณ์ แข็งแรง

อารมณ์ต้องไม่เครียด มีเหตุมีผล มีความเชื่อมั่น มีระบบคิดเป็นระบบเป็นขั้นเป็นตอน มีแรงจูงใจ กล้าคิดกล้าทำ ไม่ท้อถอย หรือหมดกำลังใจ เมื่อประสบปัญหาในชีวิต

นางสาวน้ำทิพย์ นักร้อง

เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตของบ้านเมือง เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความรุ่งเรืองหรือความพินาศยับเยินของระบอบเศรษฐกิจไทย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นไปในชีวิตและการทำมาหากินของคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้นจึงต้องทำความเข้าใจกันให้ดี

นั่นคือเรื่องที่รัฐบาลกำลังจะออกพันธบัตรจำนวน 400,000 ล้านบาทเพื่อไปอุ้มค่าเงินบาทตามความต้องการของธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ปรากฏจากคำแถลงของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้เงินไปในการปกป้องค่าเงินบาทถึง 1 ล้านล้านบาทแล้ว

นักการเงินฟังคำแถลงคราวนั้นแล้วยิ้มก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก ได้แต่กุมขมับจนพลัดตกจากเก้าอี้ไปตามๆ กัน

เพราะนั่นคือสัญญาณหมายถึงหายนะของระบบการเงินการคลังของประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นซ้ำรอยจากเหตุการณ์วิกฤตทางการเงินเมื่อปี 2540 แต่คราวนี้จะหนักหนาสาหัสกว่ากันมาก

มันเกิดขึ้นได้โดยที่รัฐบาลไม่รู้ประสีประสา ไม่ว่ากล่าวทักท้วงใด ๆ ซึ่งก็อย่าได้แปลกใจเลยเพราะเป็นเรื่องที่คนในรัฐบาลนี้ไม่ยอมเข้าใจ ถึงใครจะพูดจะว่ากล่าวประการใดก็ไม่ยอมรับรู้ทั้งนั้น

ไม่รู้ร้อนรู้หนาว รอแต่วันเวลาที่จะได้เครื่องราชอิสริยาภรณ์ครั้งใหม่เท่านั้น ใครจะเดือดร้อนหรือประเทศชาติจะพินาศอย่างไรก็ไม่มีใครสนใจ

คงจะจำกันได้ว่าในปี พ.ศ. 2540 นั้นมีการใช้เงินบาทไปในการปกป้องค่าเงินบาท ซึ่งอาจพูดให้เข้าใจได้โดยง่ายว่าเป็นการใช้เงินบาทไปเล่นพนันเก็งค่าเงิน เพียงแค่ประมาณ 7-8 แสนล้านบาท

มีผลขาดทุนประมาณ 180,000 ล้านบาท เศรษฐกิจไทยก็พินาศย่อยยับนานนับสิบปี นักธุรกิจและประชาชนพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ความวิบัติฉิบหายเกิดขึ้นสุดจะคณา จนถึงเวลานี้ก็ยังสะสางปัญหาไม่จบและยังใช้หนี้ไม่หมด

คราวนั้นเงินบาทตกต่ำลงไปถึง 57 บาทต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ใครที่กู้หนี้ยืมสินจากต่างประเทศก็ต้องหาเงินบาทใช้หนี้เกือบ 3 เท่าตัว ทำให้ล้มละลายไปตาม ๆ กัน

การสอบสวนเกี่ยวกับการปกป้องค่าเงินบาทคราวนั้นถือว่ามีการกระทำความผิดให้เกิดความเสียหายกับรัฐ หม่อมอุ๋ยในขณะที่เป็นผู้ว่าการแบงก์ชาติได้เห็นชอบให้ฟ้องคดีนายเริงชัย มะระกานนท์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ให้ชดใช้ค่าเสียหายจากผลขาดทุน 180,000 ล้านบาท

และศาลชั้นต้นก็ได้ตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ซึ่งหมายความว่าความเสียหายจากการปกป้องค่าเงินบาทนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐ

แล้วมาคราวนี้การปกป้องค่าเงินบาทก็เหมือนกับการปกป้องค่าเงินบาทในปี 2540 นั่นเอง ต่างกันตรงที่คราวนั้นเป็นการปกป้องค่าเงินบาทในขาลง แต่คราวนี้เป็นการปกป้องค่าเงินบาทในขาขึ้น

ขาขึ้นหรือขาลงไม่ใช่ประการสำคัญ ความสำคัญอยู่ตรงที่เอาเงินของชาติไปเก็งกำไรค่าเงินแล้วเกิดความเสียหายขึ้น ซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นเท่าใดก็ต้องเป็นไปตามแบบอย่างที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเคยฟ้องคดีเอาไว้

ตามแบบอย่างดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทยก็รู้ดีว่าการที่ไปเล่นค่าเงินบาทแบบนี้เป็นเรื่องที่เป็นความผิดและเป็นเรื่องที่ต้องชดใช้ความเสียหายหากว่าเกิดความเสียหายขึ้น

แล้วมันเป็นเรื่องน่าใจหายสักเพียงไหน ที่อยู่ ๆ คนไทยก็ได้ยินคำแถลงของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังว่าธนาคารแห่งประเทศไทยใช้เงินบาทไปเล่นค่าเงิน เป็นเงินถึง 1 ล้านล้านบาท

อำนาจของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะใช้เงินถึง 1 ล้านล้านบาทไปเล่นค่าเงินแบบนี้ มีความเป็นธรรมแก่ประชาชนทั้งประเทศแล้วหรือ?

เพราะถ้าหากเกิดความผิดพลาดเสียหายขึ้น ชาติก็จะต้องล่มจม ประชาชนก็จะต้องเดือดร้อน

การใช้เงินจำนวนนี้เกือบเท่ากับวงเงินงบประมาณแผ่นดินที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่มีอำนาจทำตามอำเภอใจ หากต้องขออนุมัติต่อสภาเสียก่อน และต้องตราเป็นกฎหมายคือกฎหมายงบประมาณประจำปี

แต่คราวนี้ทำไมธนาคารแห่งประเทศไทยจึงกล้าหาญชาญชัยใช้เงินของชาติไปเล่นค่าเงินถึง 1 ล้านล้านบาท

และเกิดความเสียหายขึ้นแล้ว แต่ยังคงปกปิดเป็นเงื่อนงำกันอยู่ว่าเสียหายเท่าใดกันแน่

เพราะเท่าที่ผู้คนรู้เห็นจากรายงานการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2549 ก็ปรากฏว่ามีผลขาดทุนถึง 170,000 ล้านบาทแล้ว และมาถึงวันนี้ผลขาดทุนจะไม่ปาเข้าไปถึง 3 หรือ 4 แสนล้านบาทแล้วหรือ?

นี่เกี่ยวพันกับอนาคตของชาติ และเกี่ยวพันกับชีวิตคนไทย 63 ล้านคน ซึ่งคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ามีการทำให้บ้านเมืองเสียหายเท่าใดกันแน่

รัฐบาลจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นคงจะไม่ได้อีกแล้ว จะต้องรีบชี้แจงให้ประชาชนรับทราบว่าการเล่นค่าเงินคราวนี้ ณ เวลานี้มีผลขาดทุนเท่าใดกันแน่ กี่แสนล้านกันแน่ แล้วใครจะต้องรับผิดชอบ

แต่รัฐบาลกลับไม่ทำอะไรเลย มิหนำซ้ำยังมีทีท่าว่าจะปล่อยปละละเลยหรือรู้เห็นเป็นใจให้ธนาคารแห่งประเทศไทยออกพันธบัตร ซึ่งก็คือการกู้เงินเพิ่มอีก 400,000 ล้านบาท

กู้เอาไปไหน? ก็กู้เอาไปเล่นค่าเงินอีกนั่นแหละ ที่เล่นไปแล้ว 1 ล้านล้านบาทยังฉิบหายไม่พออีกหรือ จึงกู้เงินไปเล่นซ้ำอีก 400,000 ล้านบาท?

เรื่องนี้ออกจะซับซ้อนสักหน่อยหนึ่ง พี่น้องประชาชนทั่วไปอาจจะเข้าใจยาก แต่หากจะกล่าวให้เข้าใจได้โดยง่ายก็กล่าวได้ว่าที่ผ่านมาได้ควักเงินจากกระเป๋าถึง 1 ล้านล้านบาทไปแทงหวยจนหมดเกลี้ยง

แทงหวยหมดไป 1 ล้านล้านบาทแล้ว ไม่ยอมบอกว่าถูกหวยได้เงินคืนมาเท่าใด คงเหลือเงินอยู่เท่าใด และมีผลขาดทุนเท่าใด

ไม่บอกแล้วไม่พอ เงินหมดกระเป๋าแล้วไม่พอ ยังคิดจะไปกู้เงินชาวบ้านอีก 400,000 ล้านบาทเพื่อเอาไปเล่นหวยซ้ำเข้าไปอีก

อย่างนี้จะไหวหรือพระคุณท่านทั้งหลาย ! บ้านเมืองไม่ใช่ของรัฐบาลหรือธนาคารแห่งประเทศไทย หากเป็นของคนไทยทุกคน

ผลขาดทุนเท่าใดก็ตาม ย่อมเกี่ยวพันกับชะตากรรมของชาติและประชาชนทั้งสิ้น แต่ประชาชนกลับไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้ใด ๆ เลย

รัฐบาลมีหน้าที่ต้องรับรู้ ต้องเกี่ยวข้อง ต้องดูแล แต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เล่นหวยจนหมดไป 1 ล้านล้านบาทแล้ว ยังจะปล่อยให้ไปกู้เงินเพิ่มอีก 400,000 ล้านบาทมาเล่นหวยซ้ำอีกหรือ?

เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งพี่น้องร่วมชาติทั้งประเทศจะต้องติดตามด้วยความเข้าใจ และต้องปรึกษาหารือกันว่ารัฐบาลที่ทำกับบ้านเมืองแบบนี้ จะมีประโยชน์อันใดที่จะให้บริหารบ้านเมืองต่อไปอีก.

นางสาวเปนิมา พระสุรัตน์ 51127312029 เอกการเงินการธนาคาร ปี2

การเริ่มต้นธุรกิจSMEs

สำหรับผู้สนใจที่อยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง เชื่อว่าคำถามในใจคำถามแรกที่เกิดขึ้น คงไม่พ้น “เราจะเริ่มต้นธุรกิจ SMEs อย่างไรดี” คำตอบที่ได้คือ การอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง ซึ่งหมายความถึง การที่ผู้ประกอบการจะต้องเลือกทำธุรกิจที่เหมาะสมกับความถนัดและความชอบของตนให้มากที่สุด โดยต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลักอื่นๆที่สำคัญร่วมด้วย อันได้แก่ ภาวะการแข่งขันภายในของธุรกิจนั้นๆ ความยากง่ายในการเข้าสู่ธุรกิจ คู่แข่งในตลาดมีมากน้อยเพียงใด ความเสี่ยงอันเกิดจากภาวะความผันผวนของวัตถุดิบ และความผันผวนของตลาด ว่า ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจหรือไม่อย่างไร ประกอบกับการพิจารณาความพร้อมทางด้านเงินทุน ตลอดจนการประเมินทักษะความรู้ความสามารถของตนเอง แล้วจึงเริ่มเขียนแผนธุรกิจอย่างจริงจังเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ในระหว่างการดำเนินธุรกิจผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการประเมินธุรกิจอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสามารถวางแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที สามารถพัฒนาต่อยอดธุรกิจให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืนต่อไป การมีแผนธุรกิจ จะทำให้ผู้ประกอบการมีการเตรียมการที่ดี เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่า ธุรกิจที่ดำเนินอยู่นั้น อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยบางอย่างในระบบเศรษฐกิจทั้งที่เกิดจากภายในประเทศ หรืออาจเกิดจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ส่งผลโดยตรงต่อธุรกิจ แผนธุรกิจจึงเป็นแผนรองรับ หรือแผนเชิงรุกที่ช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับสภาวะแวดล้อมต่างๆที่แปรเปลี่ยนไป การจะเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs แบบมืออาชีพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการองค์กรโดยเฉพาะทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของธุรกิจ คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า บุคลากรมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาและการเติบโตขององค์กร การบริหารและจัดการองค์กรแปรผันโดยตรงกับวิสัยทัศน์ของผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรหรือธุรกิจนั้นๆ หากผู้นำมีวิสัยทัศน์ที่ดี องค์กรก็จะมีการบริหารจัดการปัจจัยในด้านต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพตามไปด้วย เมื่อผู้ประกอบการมีแผนธุรกิจเป็นของตนเองแล้ว และพร้อมลงมือดำเนินธุรกิจ กระบวนการหรือขั้นตอนต่อไปที่ผู้ประกอบการใหม่ต้องดำเนินการ ประกอบด้วย ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทหรือกิจการโดยแยกตามประเภทนิติบุคคล การจดทะเบียนโรงงาน การดำเนินการเสียภาษีนิติบุคคล การดำเนินการด้านกฎหมายแรงงาน ประกันสังคม การขออนุญาตสิ่งอำนวยความสะดวก คลังสินค้า การรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมตามประเภทของสินค้า การจดทะเบียนกิจการเฉพาะ การขออนุญาตก่อสร้าง และการจดทะเบียนเครื่องจักรอุปกรณ์ต่างๆ เป็นต้น ผู้ประกอบการต้องมีความเข้าใจกระบวนการต่างๆเหล่านี้อย่างละเอียด เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในระยะเริ่มแรกมีความผิดพลาดน้อยที่สุดค่ะ

โทร 083-3672409

นางสาวอภิรนันท์ สุขนา รหัส 51127312033 การเงินการธนาคารปี2

กดดันแบงก์ใช้ดอกเบี้ยไทยคิดต้นทุน

ธปท.แนะธนาคาร-ผู้ที่ไม่มีธุรกรรมเกี่ยวข้องอัตราแลกเปลี่ยนใช้ดอกเบี้ยไบบอร์ (Bibor)

อ้างอิงแทนเพื่อลดผันผวน เร่งสร้างปัจจัยหนุน

นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายความเสี่ยง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.จะ เดินหน้าผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์มีการกู้ยืมระหว่างกัน ด้วยการ ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารของตลาดกรุงเทพ (Bibor) ให้มากขึ้นกว่าเดิม

ขณะนี้ปริมาณธุรกรรมที่อ้างอิงดอกเบี้ยไบบอร์ยังต่ำอยู่ เนื่องจาก มีผลิตภัณฑ์อ้างอิงจำนวนน้อย ขาดความคล่องตัว ทำให้ธนาคารพาณิชย์ ยังนิยมกู้ยืมใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้รายใหญ่ชั้นดีแบบมีระยะเวลา (MLR) แม้จะมีความผันผวนมากก็ตาม

อย่างไรก็ตาม ธปท.จะพยายามผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์และตลาดการเงินให้ใช้ไบบอร์มากขึ้นเนื่องจากผันผวนน้อยกว่า

นางผ่องเพ็ญ กล่าวว่า ในช่วงภาวะเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน และการเคลื่อนไหวค่าเงินเหรียญสหรัฐมีความผันผวน นักลงทุน สถาบันการเงินควรปรับรูปแบบการทำธุรกรรมในตลาดเงินระยะสั้น ไม่เกิน 1 ปี โดยไม่ควรกำหนดอัตราดอกเบี้ยการกู้ยืมด้วยการอ้างอิงจากอัตราอ้างอิงการกู้ยืมเงินบาท หรือ THBFIX (Thai Baht Interest Rate Fixing) เพราะดอกเบี้ยปรับขึ้นลงตามภาวะตลาดผันผวนเคลื่อนไหวไปตามเหตุการณ์ต่างๆ ไม่สะท้อนภาวะตลาดเงินในประเทศที่แท้จริง

“ฉะนั้นถ้านักลงทุนรายใดที่ ไม่มีธุรกรรมเกี่ยวข้องในต่างประเทศ และไม่เกี่ยวข้องอัตราแลกเปลี่ยนก็ควรทำธุรกรรมที่อิงกับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (Bibor) ดีกว่า เพราะสะท้อนตลาดเงินในประเทศได้ดีกว่า แต่ปัจจุบันการอิงไบบอร์มีน้อย การซื้อขายเงินตราต่างประเทศที่มีกำหนดส่งมอบคนละวัน (Fx Swap) ซึ่งในแต่ละวันมีมูลค่าสูงมากก็ยังอ้างอิง THBFIX อยู่” นางผ่องเพ็ญ กล่าว

ด้านน.ส.สุภารัตน์ เตชะเกษม เจ้าหน้าที่ลงทุนอาวุโส ฝ่ายตลาดเงินและบริหารเงินสำรอง ธปท. กล่าวว่า ธปท.พยายามสร้างปัจจัยเพื่อเอื้อให้ตลาดเงินหันมาใช้ไบบอร์ให้มากขึ้นใน 3 วิธีคือ 1.ส่งเสริมการออกพันธบัตรอัตราดอกเบี้ย ลอยตัว (FRN) ที่คิดผลตอบแทน อิงกับไบบอร์

2.ขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ให้กำหนดราคาดอกเบี้ยให้ลูกค้าด้วยการอิงไบบอร์ให้มากขึ้น และ 3.ส่งเสริมให้อิงมากขึ้นในช่วงที่ภาวะตลาดเงินต่างประเทศผันผวนมาก แต่ไบบอร์นิ่งและมีการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะถ้าธุรกรรมไม่เกี่ยวกับต่างประเทศก็ควรใช้ไบบอร์

แหล่งข่าวธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า การที่ธปท. หันมากดดันให้ ธนาคารใช้ไบบอร์อ้างอิง เพราะที่ผ่านมาสถาบันการเงินไม่ตอบสนองนโยบายการลดดอกเบี้ยของทางการ ทำให้เงินกู้กับเงินฝากห่าง กันมาก

เรืองวิทย์ อุปชัย

สิ่งที่ต้องในความเห็นของผมนะ ช่วงนี้ควรถือเงินในมือก่อนอย่างพึ่งไปลุงทุนอะไรเลยโอกาศเสี่ยงสูงนะเอาฝากธนาคารกินดอกเล็กน้อยๆดีกว่ารอให้เศรฐกิจขึ้นก่อนค่อยหาทางลงทุน และอยู่แบบพอเพียงอะมีเท่าไหรใช้เท่านั้นอิอิ ไม่ต้องไปเครียสมากกับเรื่องพวกนี้เชื่อว่ามานต้องดีขึ้นแน่ๆ เพราะจีนยังไม่ล้มผมประเทศจีนมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกไม่ใช้อเทริกาแล้วต่อไปนี้เป็นได้ก็อยากไปทำงานที่จีนฮ่าๆๆ

0854467564

มีข่าวมาฝากจร้าๆๆๆๆ

นักบริหารเงิน ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดวันนี้ที่ระดับ 33.35/37 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าต่อเนื่องจากช่วงเช้าอยุ่ที่อยู่ระดับ 33.43/46 บาท/ดอลลาร์ เป็นการแข็งค่าตามค่าเงินในภูมิภาค โดยเงินดอลลาร์ปรับตัวอ่อนค่าลง ขณะที่ยังมีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง

วันนี้เงินบาทค่อนข้างแข็งค่าขึ้นมาก ปัจจัยหลักน่าจะมาจากยังมีเงินไหลเข้ามาตลาดหุ้นต่อเนื่อง และค่าเงินในภูมิภาคก็ปรับตัวแข็งค่าเช่นกัน โดยที่แบงก์ชาติช่วงนี้ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงค่าเงินแล้ว ซึ่งแนวโน้มเงินบาทตอนนี้มองแนวรับอยู่ที่ 33.10 บาท/ดอลลาร์" นักบริหารเงิน กล่าว

ส่วนค่าเงินสกุลต่างประเทศช่วงเย็นวันนี้ เงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ที่ 89.00 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าอยู่ที่ 88.99/89.05 เยน/ดอลลาร์ เงินยูโร อยู่ที่ 1.4730 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าอยู่ที่ 1.4688/92 ดอลลาร์/ยูโร

(credit โดย http://www.ryt9.com/s/iq03/720708/ )

เอามาฝากๆๆเพื่อมีประโยชน์กับคัยที่อยากค้ากำไรเงินบาทน๊าๆๆๆๆ คงเซงน่าดูเลยอ๊าเงินบาทแข็งตัวอีกแล้วๆอิอิ ขอให้ธุรกิจส่งออกสู้ๆๆน่ะ

เรืองวิทย์ อุปชัย

0854467564

มีข่าวเกี่ยวกับราคาทองคำมาฝากอ่ะ

ทองค่อยๆขึ้น บาทค่อยๆแข็ง

รายงานสภาพตลาดทองคำ ประจำสัปดาห์วันที่ 28–2 ต.ค. 2552

ราคาทองคำเคลื่อนไหวไปในทิศทาง Side Way Up

โดยที่ราคาทองคำเคลื่อนตัวอยู่ในช่วง 985-1,010 เหรียญสหรัฐ โดยราคาทองคำแท่งบ้านเราเคลื่อนตัวอยู่ในระดับประมาณ 1.581.59 หมื่นบาท ส่วนปริมาณการซื้อขายภาพรวมของทองคำแท่งลดลงไปประมาณ 50% ค่อนข้างเงียบเหงา ในขณะที่ตลาด Gold Futures มีความคึกคักเป็นบ้างวันในวันที่ราคาทองต่างประเทศเคลื่อนไหวรุนแรง ปริมาณการซื้อขาย Gold Futures โดยเฉลี่ยรายวันในสัปดาห์ที่ผ่านมาประมาณ 800 คู่สัญญาต่อวัน ซึ่งกล่าวได้ว่ามีปริมาณการซื้อขายสูงกว่าทองคำแท่งแล้ว คาดว่าปริมาณทองคำแท่งในตลาดต่อวันน่าจะอยู่ในเกณฑ์เฉลี่ยที่ 400-500 กิโลกรัม เท่านั้นของทั้งตลาด โดยที่ราคาทองคำยังเกาะติดอยู่กับค่าเงินเหรียญสหรัฐตราบใดที่เหรียญสหรัฐมีความอ่อนตัวลงทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น โดยภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐออกมาดีสลับกับร้ายยังไม่ค่อยแน่นอน สรุปการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังไม่แน่นอนในสหรัฐ

วิเคราะห์ทางเทคนิค

ราคาทองคำในระหว่างสัปดาห์ผันผวนอย่างมากมีการปรับฐานลงมา 2-3 วัน และบ้างวันแกว่งตัวกว่า 15-18 เหรียญสหรัฐ โดยที่ในคืนวันศุกร์แกว่งตัวรุนแรงและสามารถกลับมาปิดเหนือ 1,000 เหรียญสหรัฐอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ภาพรวมการวิเคราะห์ในสัปดาห์หน้ายังคงเป็น Side Way Up ซึ่งคาดว่าจะซื้อขายอยู่ในช่วง 995-1,020 เหรียญสหรัฐ สัญญาณทางเทคนิคโดยทั่วไปไม่ได้บ่งบอกอะไรเนื่องจากเป็นการขึ้นสลับกับลงรายวัน แต่สัญญาณ Oscillators ในระยะสั้นเป็นทิศทางบวกสำหรับทองคำ หมายความว่าทองคำมีโอกาสทดสอบระดับแนวสูงที่ 1,020 เหรียญสหรัฐ ในสัปดาห์นี้ โดยที่ภาพรวมเงินเหรียญสหรัฐเองในท้ายสัปดาห์เริ่มกลับมาอ่อนค่า ดังนั้นโดยรวมจึงเป็นภาพของการค่อยๆ ซื้อสะสมตามจังหวะของการอ่อนตัวของราคา

กลยุทธ์การลงทุนในสัปดาห์นี้

นักลงทุนที่ดีจะต้องกระจายความเสี่ยงในส่วนของการซื้อหรือขายสลับกันตามทิศทางของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเห็นได้ว่าราคาทองคำ ณ ขณะนี้ผันผวนเป็นรายวันแล้วสิ้นสุดสัปดาห์ก็เหมือนกลับมาที่เก่า ดังนั้นการใช้กลยุทธ์ Joint เป็นส่วนย่อย 1 ใน 10 ของพอร์ต ทยอยเข้าซื้อสลับกันกับขายทำกำไรตามโอกาส ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมมากในปัจจุบัน นักลงทุนที่ดีไม่จำเป็นที่จะต้องลงทุนหมดทั้งพอร์ตเข้าหมดหรือออกหมด เพราะว่า ณ ขณะนี้ทิศทางเป็นลักษณะ Side Way Up การจะใช้กลยุทธ์เข้าหมดหรือออกหมด ทิศทางจะต้องมีความชัดเจนเป็นลักษณะขึ้นอย่างเดียวคือแนวโน้มขาขึ้นหรือลงอย่างเดียว ดังนั้นการเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับภาวะตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ศิริวรรณ ยอดธรรม 51127312008

0847076005

ดีจร้าเพื่อนๆๆ มีข่าวดีมาฝาก สำหรับคนที่ต้องการความก้าวหน้าน่ะจ๊ะ

แบบว่าเราก็เรียนการเงินการธนาคารใช่ป่ะ มันจะดีมากถ้าเรารู้และเข้าใจ

เรื่อง เกี่ยวกับธนาคารให้มากกว่าในห้องเรียน

พอดีเราเข้าเว็ปไชต์ธนาคารกรุงเทพ เค้ามีการเปิดอบรมในหัวข้อต่างๆๆ ที่น่าสนใจ

คือเขามีหัวข้อให้นักศึกษาโดยเฉพาะเลยจร้า

(รายละเอียดคร่าวๆๆน่ะค่ะ)

โครงการธนาคารคู่บ้านคู่เมือง (Student Internship Program - SIP)

ธนาคารกรุงเทพเปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาผู้ต้องการเตรียมความพร้อมทางอาชีพ ได้มีประสบการณ์จริงด้วยตนเอง

โดยที่ไม่อาจจะสัมผัสได้ในห้องเรียน ผู้เข้ารับการฝึกอบรมกับธนาคารจะได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาและร่วมบริหารโครงการ

ซึ่งจะทำให้ผู้เข้าร่วมได้พัฒนาทักษะต่างๆ ในสถานการณ์จริงที่หลากหลาย

โครงการฝึกงานหลักสูตรหนึ่งเดือน เปิดรับนิสิตนักศึกษาในระดับชั้นปีที่สามและสี่จากมหาวิทยาลัยทั้งในและต่างประเทศ

โดยไม่จำกัดสาขาวิชาที่เรียนและสถาบันการศึกษา หลักสูตรดังกล่าวช่วยให้ผู้เข้ารับการฝึกงานได้สัมผัสลึก

ถึงอุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร โครงการนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง

ดังจะเห็นได้จากการที่นิสิตนักศึกษาผู้เข้าร่วมโครงการธนาคารคู่บ้านคู่เมืองหลายคน

ได้เข้าร่วมทำงานกับธนาคารกรุงเทพภายหลังสำเร็จการศึกษา

โครงการฝึกอบรม

ผู้เข้าร่วมโครงการจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ การเมือง

และสังคมในประเทศไทย รวมทั้งบทบาทของธนาคารพาณิชย์และธุรกิจในประเทศ

ความสัมพันธ์ภาครัฐและภาคเอกชนต่างๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ

ศักยภาพการส่งออกของไทย และกฎหมายการค้าต่างๆ

รายละเอียดของโครงการฝึกอบรมแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ

1. ภาคฟังบรรยาย / การศึกษาดูงาน มีการบรรยายและอภิปรายในหัวข้อต่างๆ

โดยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐบาลและ รัฐวิสาหกิจ เอกชนและธนาคารกรุงเทพ

2. ภาคการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกลุ่มผู้อบรม

นักศึกษาจะมีโอกาสฝึกสภาวะความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดีตลอดจนการพัฒนาการทำงานร่วมกันเป็นทีม

โครงการนี้สนับสนุนโดย ธนาคารกรุงเทพ

ขอรับใบสมัครและระเบียบการได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

โครงการธนาคารคู่บ้านคู่เมือง แบ่งเป็น 2 ช่วง

ช่วงที่ 1 (เมษายน-พฤษภาคม) สำหรับนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ ณ สถานศึกษาในประเทศไทย

ช่วงที่ 2 (กรกฎาคม-สิงหาคม) สำหรับนักศึกษาที่กำลังศึกษา ณ สถานศึกษาในต่างประเทศหรือศึกษาหลักสูตรภาษาอังกฤษในประเทศไทย

หรือเพื่อนๆๆเข้าไปดูในเว็บนี้น่ะค่ะ

http://www.bangkokbank.com/Bangkok%20Bank%20Thai/About%20Bangkok%20Bank/About%

20Us/Careers/Student%20Internship/Pages/default.aspx

สนใจกันมั่ยค่ะ ถ้าจะไปกันเมื่อไหร่ก็บอกกันน่ะ จะได้ก้าวหน้าด้วยกัน..555555

นางสาวอ้อยใจ ใหม่เต็ม 51127312025 โทร 0877251586....

ขอบใจจ้า ออยที่เอาข่าวมาบอก ขอสริมอีกนิดหน่อยน๊า พอได้ได้ข่าวจากพวกรุ้นพี่ปี4นะเขาว่า การเงินธนาคารของพวกเราทาง

ไทยออย เขาให้โควต้าไปฝึกงานด้วย แถมยังให้เงินเดือนอีกนะ คัยสนจัย ลองไปได้น่า แต่พึ่งปีสอง2เอง คงต้องรอก่อนน่ะเพือนๆๆ

เรืองวิทย์ อุปชัย

สัญญาณ Oscillators คือมันเป็นลักษณะไงหว่า พอดีเหนเม้มไว้อยากรู้นะลัษณะมันเปนยังไง ละใช้ยังไง ถ้าว่างก็บอกหน่อยน๊าอยากรู้เครื่องในตลาดทองนะว่ามีอะไรมั้ง ใครรู้ช่วยบอกหน่อยน๊า

เรืองวิทย์ อุปชัย

51127312032

การเพิ่มปริมาณเงินบาทที่อยู่ในตลาด ด้วยวิธีกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ทำให้มีเงินบาทหมุนเวียนอยู่ในตลาดเพิ่มขึ้น แทนที่ต่างคนต่างเก็บเงินบาทไว้อยู่กับบ้านหรือในธนาคาร โดยที่ไม่เกิดการเปลี่ยนมือ การกระตุ้นให้ใช้จ่ายมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกัน คือ การใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ซึ่งต้องมีความระมัดระวัง เพราะจะสัมพันธ์กับภาวะการมีภูมิคุ้มกันของประชาชนในทางเศรษฐกิจยามที่ประสบปัญหา กับการใช้จ่ายเพื่อการสร้างและพัฒนาอาชีพของตัว หรือเพื่อการลงทุน ซึ่งประเภทหลังนี้ จะเป็นการใช้จ่ายเพื่อศักยภาพในการสร้างรายได้ในอนาคต

วิธีนี้เราเห้นด้วยนะเพราะเป็นการกระจายรายได้ให้กับคนภายในประเทศและถือเปนรายได้ที่แท้จริงด้วยยิงถ้ามีการนำเงินมาลงทุนเช่นการสร้างสะพาน หรือโครงการต่างๆ ก็ยิงทำให้มีกานกระจายรายได้เยอะ คนมีเงินก็มีการซื้อขายกัน เศรษบกิจคงกลับมาดีในอีกไม่นานนี้แน่ๆ

ณัฏฐพา ผึ่งผาย

เรืองวิทย์ อุปชัย

อ่ะไหนๆพูดถึงเรื่องโครงการของภาครัฐแล้ว มีข่าวมาอัพเดทการอีกแล้วครับท่าน~~~~~~

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า 76 โครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดต้องรอฟังคำสั่งศาลปกครองสูงสุด หลังจากที่หน่วยงานภาครัฐได้ยื่นคำร้องขออุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครองกลางที่ให้ชะลอการก่อสร้างไว้ก่อนที่จะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยเชื่อว่าศาลจะมีการพิจารณาคดีค่อนข้างเร็ว

"เรายังประเมินได้ยาก ต้องรอคำวินิจฉัย เข้าใจว่าจะพิจารณาค่อนข้างเร็ว...โครงการที่ถูกร้องต้องขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาล ส่วนอื่นๆ ก็ทำความเข้าใจกับภาคเอกชนไป" นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกกรณีดังกล่าว

ขณะเดียวกัน รัฐบาลเตรียมผลักดันการแก้ไข พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ)โดยเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ในสัปดาห์หน้า หลังจากนั้นจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรให้ทันสมัยประชุมนี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติใช้ช่องทางตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวใน มาตรา 46 ที่สามารถดำเนินการได้ภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อบรรเทาผลกระทบการลงทุนของภาคเอกชน

"จะมีการแก้กฎหมายสิ่งแวดล้อม โดยจะนำเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ที่จะถึง และจะนำร่าง(กฎหมาย)เข้าสู่กระบวนการรัฐสภาต่อไป" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปจัดเตรียมแนวทางรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น โดยอาศัยช่องทางตาม พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อมฯ มาตรา 46 ที่ได้แก้ไขแล้ว เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้เป็นแนวทางปฎิบัติสำหรับการลงทุนในมาบตาพุด ไม่ให้การลงทุนชะลอตัว

ทั้งนี้ จะต้องมีการจัดตั้งองค์กรอิสระเข้ามาดูแลโครงการที่มีผลกระทบรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อม และต้องทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม(EIA)และรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ(HIA)ควบคู่กันไปด้วย รวมทั้งรับฟังความเห็นของประชาชนและองค์กรอิสระ ก่อนที่จะดำเนินโครงการลงทุนในมาบตาพุด

ส่วนการจัดตั้งกองทุนบรรเทาผลกระทบฯ วงเงิน 1 แสนล้านบาท นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมยังไม่ได้มีการหารือกัน โดยจะต้องรอฟังคำสั่งศาลก่อน ส่วนการประกาศรายชื่อโครงการที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ

นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ยังมีนักลงทุนที่มีความเข้าใจสับสน และรอดูความชัดเจนจากการแก้ปัญหาดังกล่าว ขณะที่มีบางส่วนเข้าใจดีว่าเป็นคำสั่งของฝ่ายตุลาการ และเป็นปัญหาของข้อกฎหมาย ไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล สำหรับโครงการที่ได้รับการอนุญาตให้ลงทุนไปแล้วนั้นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ได้ผ่านการทำอีไอเอแล้ว ก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อยในขั้นตอนการลงทุน

คัยอ่านแล้วมีความเห็นก็บอกกานหน่อยน๊าอิอิๆ

(credit โดย http://www.ryt9.com/s/iq03/722579/ )

นาย สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ

เห็นมีคนเอาข่าวของทองคำมาบอกเล่ากันเยอะเลยขอแสดงมุมมองอีกซักมุมให้หนึ่งให้ได้ดูกันคับ

เกี่ยวกับราคาทองของไทยที่ขึ้นเอาๆ กับ มีผลกับประเทศยักษ์ใหญ่ที่กำลังสั่นคลอนอย่างอเมริกายังไงบ้าง

ธปท. เผยพ่อค้าทองส่งทองไปขายต่างประเทศกดดันค่าเงินให้แข็งเพิ่มขึ้น

- ผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธปท. ได้เข้าไปดูแลค่าเงินอยู่ในขณะนี้เนื่องจากมีความเห็นว่ามีการแข็งค่าเร็วเกินไปและอาจส่งผลเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยซึ่งยังไม่เข้มแข็งมากนักเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งนี้สาเหตุที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่องมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ เงินทุนจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้มีเงินไหลเข้ามาแล้ว 6 หมื่นล้านบาท การที่ไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนค่า รวมถึงในช่วงที่ผ่านมามีการส่งออกทองคำรายย่อยไปขายเป็นจำนวนมากจากราคาทองในตลาดโลกที่พุ่งทำสถิติสูงสุด ก็ทำให้ความต้องการเงินบาทมีมากขึ้นและส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยเช่นกัน

- สศค. วิเคราะห์ว่า ในระยะต่อไปนั้นค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งขึ้นอีก เนื่องจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง จากการที่นักลงทุนเริ่มมั่นใจต่อเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้มีความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น (Risk Appetite) และความเสี่ยงเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มที่อาจจะสูงขึ้นในอนาคตจากการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบของทางการสหรัฐในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมา เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะส่งผลต่อเนื่องให้ประเทศต่าง ๆ ที่เป็นผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมีแนวโน้มที่จะขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและเปลี่ยนไปถือสินทรัพย์ในสกุลเงินอื่นมากขึ้น เนื่องจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐจะส่งผลให้กำไรจากการเปลี่ยนจากดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินท้องถิ่นลดลง การกระทำดังกล่าวก็จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอีก และทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าเพิ่มมากขึ้น

ถ้าลองวิเคราะห์ดูแล้วก็คิดว่าการที่ราคาทองเพิ่มขึ้นเร็วเกินนั้นไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ดีเสมอไปนะคับ

ยังมีมุมที่อาจทำให้เกิดผลเสียได้ด้วย เพื่อนๆอ่านแล้วคิดว่ายังไงกันบ้าง

สิทธิชัย วงค์เต้จ๊ะ 087-109-5412

กุสุมา คำคล้าย 51127312035

สวัสดีค่ะอาจารย์

มาทักทายไม่รุว่าตอนนี้อาจารออกเกรดยัง

แต่ตอนนี้หนูมาททำงานได้นำคำสอนมาใช้และได้ผลดีมากค่ะ ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆค่ะ

นางสาวอภิรนันท์ สุขนา รหัส51127312033

สวัสดีค่ะ วันนี้มีข่าวเกี่ยวกับทองคำมาฝากค่ะ

ทองคำปิดบวกต่อ $7.50

สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้น จากปัจจัยหลักเงินดอลล่าร์ที่อ่อนตัวลง

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 1,065.00 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 7.50 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,052.20-1,069.70 ดอลลาร์

ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดที่ 17.840 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 2.00 เซนต์

ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.ปิดที่ 1,360.70 ดอลลาร์/ออนซ์ พุ่งขึ้น 13.40 ดอลลาร์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.ปิดทรงตัวที่ 329.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ปีเตอร์ เฟอร์ติก นักวิเคราะห์จากบริษัท Quantitative Commodity Research กล่าวว่า "ความวิตกกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของค่าเงินดอลลาร์ทำให้นักลงทุนแห่เข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยจนถึงขณะนี้ดอลลาร์ดิ่งลงไปแล้ว 6.8% เมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักๆ"

สภาทองคำโลกเปิดเผยว่า ในระหว่างปี 2546-2552 จีนเข้าซื้อทองคำทั้งสิ้น 454 เมตริกตัน โดยจีนเป็นผู้ถือครองทองคำรายใหญ่อันดับ 6 ของโลก รองจากสหรัฐและเยอรมนี

โทร 085-9884691

ดีจร้า

เพื่อนๆๆๆมีข่าวมาอัพเดต

ตอนนี้เวลาเราโอนเงิน - ถอนเงิน ต่างจังหวัด ต่างธนาคารไม่เสียค่าธรรมเนียมจร้า

ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TMB สร้างความฮือฮา แบบไม่เหมือนใคร

สร้างมิติใหม่ในการกดเอทีเอ็ม รายแรกและรายเดียวที่ให้ลูกค้าเบิกถอนเงินสดผ่านเครื่องเอทีเอ็มได้อย่างอิสระ

และฟรีค่าธรรมเนียม ทุกเครื่อง ทุกธนาคาร ทั่วประเทศ แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยไม่มีเงื่อนไขอื่นๆ

ตอกย้ำกลยุทธ์หลักของธนาคารที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

เปิดตัวบัตรเดบิต “TMB NO LIMIT” จร้าเพื่อนๆๆน่าใช้มาก

“สาเหตุที่ TMB ได้พัฒนาบัตรเดบิต TMB No Limit ขึ้นมา เนื่องจากเห็นว่า

ลูกค้าผู้ถือบัตรเดบิตปัจจุบันมีข้อจำกัดและรู้สึกขาดอิสระ ในการทำธุรกรรม

เพราะมักจะรู้สึกว่าต้องถอนเงินหรือสอบถามยอดเงินที่เครื่อง ATM ของธนาคารผู้ออกบัตร

และในเขตของสาขาธนาคารเจ้าของบัญชีเท่านั้น เพราะอยากจะหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าธรรมเนียม

ซึ่งในความรู้สึกของลูกค้า เงินที่ถอน ก็เป็นเงินของลูกค้าเอง แต่ทำไม เขาต้องเสียค่าธรรมเนียมการถอนเงินตนเอง

และด้วยความเข้าใจถึงความต้องการนี้ ทำให้ TMB เชื่อมั่นว่า บัตรเดบิต TMB No Limit

จะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินยุคใหม่ที่ลูกค้ารอคอย และคาดว่าภายในสิ้นปี 2552 นี้

ธนาคารจะมีฐานลูกค้าบัตรเดบิตรวมไม่ต่ำกว่า 2,500,000 ใบ”

โอ่โห้ เค้าคาดไว้เยอะมากเนอะแต่เราว่าคงเป็นไปได้ น่าใช้จริงๆๆ คิดได้ไงสร้างสรรค์มาก

เหมาะสมกับเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ดี ใครอยากทราบรายละเอียด หรือว่าอยากใช้ก็มาที่นี่เลยจร้า

ผู้สนใจผลิตภัณฑ์บัตรเดบิต TMB No Limit สามารถสมัครใช้บัตรเดบิตได้ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 เป็นต้นไป

หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ TMB ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ TMB Phone Banking 1558 หรือ www.tmbbank.com

อืม

ลืมบอกไป เค้ามีโฆษณา บัตรเดบิต “TMB NO LIMIT” ออกมาด้วย

ดูแล้วเข้าใจง่ายมากคร้า ที่พรีเซนเตอร์เป็น คุณ หนุ่ม สัญญาคุนากร

ค่อยดูละกันจร้า.....

อ้อยใจ ใหม่เต็ม 0877251586

น.ส อัจจิมา เรณูรัตน์ 51127312007 การเงินปี2

แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างไร

ถ้าจะสรุปสั้นๆ แนวโน้มการฟื้นตัวของไทยไม่ต่างจากเศรษฐกิจโลก ก็คือ “ฟื้นแต่เปราะบาง” แม้จะไม่เปราะบางเท่ากับเศรษฐกิจของสหรัฐ และยุโรป ที่มีปัญหา หนี้เสีย สถาบันการเงินล้ม การว่างงานในระดับที่สูง แต่ก็เปราะบางพอที่จะทำให้การฟื้นตัวเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

เดือนนี้ ขอเริ่มจากข้อมูลที่เป็นข่าวร้ายก่อน

ถ้าลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นปี การฟื้นตัวของไทยจะมีดัชนีที่วิ่งนำหรือคอยผลักดันอยู่ 2 ตัว คือ (1) ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรรม และ (2) ดัชนีการบริโภคภาคเอกชน ที่ทุกเดือนจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจจะมีหยุด มีตกบ้าง เช่นเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว แต่โดยรวมปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ทำให้หลายๆ คน มีความมั่นใจในเรื่องแนวโน้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวม ในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจก็คือ ในเดือนล่าสุด ตัวเลขทั้งสอง ก็เริ่มแผ่วลงอีกรอบ สะท้อนถึงความเปราะบางที่ได้พูดไป ตรงนี้ถ้าเราดูดัชนีทั้ง 2 จะพบว่า

หนึ่ง – ระดับของดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้หักหัวลงอีกครั้ง ทำให้แนวโน้มของการฟื้นตัวในช่วง 2 เดือนสุดท้าย แผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับการฟื้นตัวในช่วง 3-4 เดือนแรกๆ หลังจากออกจากจุดต่ำสุดของวิกฤตครั้งนี้

ซึ่งถ้าไปดูในรายละเอียด แยกเป็นกลุ่มๆ แล้วก็จะพบว่า ภาคส่งออกที่ปรับตัวดีจนเกือบจะกลับมาที่ระดับการผลิตในช่วงก่อนเกิดวิกฤตแล้ว แต่การฟื้นตัวตอนนี้เริ่มแผ่วลงอย่างเห็นได้ชัด

ตรงนี้ หลายคนพูดกันถึงเรื่องว่าที่ฟื้นขึ้นมาได้ในช่วงแรกๆ เป็นเพราะมีการ Restocking สินค้าและวัตถุดิบ และจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งตัวเลขล่าสุดทำให้ทุกคนเริ่มต้องกลับมาคิดว่า แรงกระตุ้นทั้งสองอาจจะหมดแรงลง และถ้าการกำลังซื้อในเศรษฐกิจโลกที่เราได้พูดไปเมื่อครั้งที่แล้วไม่เข้มแข็ง ระดับการผลิตของสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เราส่งออกเป็นหลัก อาจจะออกไปข้างๆ ไม่เป็นแรงขับเคลื่อนเรื่องของการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมเช่นในช่วงแรกๆ อีกแล้ว

ตรงนี้ก็ต้องกลับไปดูกลุ่มอุตสาหกรรมที่เหลืออีก 2 กลุ่ม ที่เป็นกลุ่มประเทศ และส่งออกและในประเทศเท่าๆ กัน ซึ่งรวมกันแล้วใหญ่ถึง 2/3 ของภาคอุตสาหกรรมไทย ให้สามารถพลิกฟื้นขึ้นมา

สอง – ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนเองก็เริ่มแผ่วลงในช่วงเดือนล่าสุด ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เริ่มชะลอลง

อย่างที่พูดไปแล้ว เนื่องจากดัชนีทั้ง 2 เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของการฟื้นตัวครั้งนี้ การที่ทั้ง 2 ตัวแผ่วลงมากเดือนนี้ ย้ำให้เห็นถึงประเด็นที่หลายๆ คนพูดกันว่า การฟื้นตัวมีความเปราะบาง และจะฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ตรงนี้ก็ต้องรอดูอีกสัก 1-2 เดือน จึงจะมั่นใจได้มากขึ้นว่าที่แผ่วลงนั้นจะเป็นปัญหาต่อเนื่องแค่ไหน

แล้วข่าวดีมีอะไรบ้าง ในเดือนนี้

ข่าวดีในเดือนนี้ ก็คงต้องบอกว่า กระบวนการฟื้นตัวในด้านอื่นๆ ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น

ภาคท่องเที่ยว ที่อัตราการหดตัวของนักท่องเที่ยวเริ่มปรับลดลงจากที่เคยติดลบถึง -16% ในเดือนล่าสุดปรากฏว่า อัตราการหดตัวของนักท่องเที่ยวได้ปรับลดลงเหลือเพียง -5.3% เท่านั้น และถ้าดูถึงจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาที่ไทย ก็จะพบว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก

เดือนก่อนหน้า ตรงนี้บวกกับที่ไปได้ยินมาว่ายอดจองห้องเริ่มฟื้นแล้ว ก็ทำให้สบายใจมากขึ้นว่าอีกภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่สำคัญ ก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว

ภาคเกษตร ที่รายได้เกษตรกรตกอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจากราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำลง 2-3 เดือนที่ผ่านมารายได้เกษตรกรก็ปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าบ้าง ตรงนี้ก็ทำให้สบายใจมากขึ้นอีกเล็กน้อย ว่าการตกลงของรายได้เกษตรกรเริ่มถึงจุดต่ำสุดแล้ว

นอกจากนั้น ตัวเลขปริมาณการส่งออกนำเข้าสินค้าก็ยังปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ว่าการส่งออกจะดีขึ้นอย่างช้าๆ แต่การนำเข้าดีขึ้นต่อเนื่องในอัตราที่เร็วกว่าโดยเฉพาะการนำเข้าวัตถุดิบ

ท้ายสุด ตัวเลขการลงทุนภาคเอกชน ก็ยังอยู่ในช่วงที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ต่อเนื่องจากช่วงก่อนหน้าก็ทำให้เกิดความมั่นใจมากขึ้นว่าการลงทุนภาคเอกชนก็เริ่มค่อยๆ ฟื้น แม้ว่าจะยังต่ำกว่าช่วงก่อนวิกฤตก็ตาม

เมื่อรวมกับตัวเลขของการปรับตัวดีขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นของนักธุรกิจในช่วง 3 เดือนข้างหน้าที่ปรับตัวดีขึ้น ก็ทำให้สบายใจมากขึ้น

ตรงนี้ รวมๆ แล้วก็ต้องบอกว่า ในด้านอื่นๆ การฟื้นตัวก็กำลังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เร็ว ก็ยังเกิดขึ้นอย่างค่อยเห็นค่อยไป ค่อยๆ ไต่เหวกลับไปสู่จุดเดิมก่อนวิกฤตอีกครั้ง

ความเสี่ยงและนัยต่อการลงทุนคืออะไร

ประเด็นความเสี่ยงช่วงนี้ของไทย หลายอย่างก็ไม่แตกต่างกับ ประเทศอื่นๆ ในเศรษฐกิจโลก

หนึ่ง – จะประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงต่อไปอย่างไร บทบาทที่เหมาะสมของภาครัฐคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าแรงส่งของเศรษฐกิจเริ่มแผ่วลงบ้างเช่นนี้

สอง – จะส่งต่อจากการใช้จ่ายของภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนอย่างไร เพราะหัวใจของการฟื้นตัวในช่วงต่อไป ต้องมาจากการใช้จ่ายในภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น แต่ต้องไม่ใช่มาจากเงินโอนหรือมาตรการของรัฐ หรือจากความโล่งใจว่าไม่แย่แล้ว ตรงนี้ การใช้จ่ายต้องมาจากความเชื่อมั่น และจากรายได้เงินเดือนของแต่ละคนที่เพิ่มขึ้น

สาม – แต่ในการส่งต่อการฟื้นตัวจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนในไทยนั้น เรามีความเสี่ยงเพิ่มเติมจากประเทศอื่นๆ ในส่วนของการเมืองที่หลายคนพูดไปแล้ว ตรงนี้เป็นปัญหาที่คุกรุ่นอยู่ลึกๆ แต่จะมีนัยต่อความต่อเนื่องของโครงการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยเฉพาะ ประสิทธิภาพของการใช้จ่ายของรัฐในโครงการลงทุนตามแผนไทยเข้มแข็งในช่วงต่อไป

และที่ทุกคนกังวลใจที่สุดช่วงนี้ก็คือ ปัญหามาบตาพุดที่จะทำให้เงินลงทุนจำนวนมากของภาคเอกชน ถึง 4 แสนล้านบาท ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ตรงนี้สำคัญมาก เพราะว่า การฟื้นตัวที่แท้จริงจะต้องมาจากภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงทุนขยายกิจการที่จะทำให้เกิดการจ้างงานโดยตรงในอุตสาหกรรมนั้นๆ และโดยอ้อมในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ถ้าการลงทุนภาคเอกชนไม่ฟื้น ก็ยากที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ในช่วงต่อไป

ทั้งหมดจึงมีนัยต่อการลงทุนของไทย ก็ต้องระวัง เพราะไทยเองข้อมูลก็จะยังเป็นเช่นนี้ไปอีกระยะ คือดีร้ายสลับกันไป กว่าเศรษฐกิจจะฟื้นอย่างเต็มที่ก็ต้องอีกระยะหนึ่ง และถ้าไทยยังตอบโจทย์เรื่องภายในประเทศไม่ได้ ความน่าสนใจของไทยในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ก็จะยังเป็นเครื่องหมายคำถามอีกระยะหนึ่ง ก็ต้องเร่งแก้ไขครับ และตอนนี้ทุกคนก็ขอให้ลงทุนอย่างระมัดระวัง ไม่ประมาท

น.ส อัจจิมา เรณูรัตน์ 51127312007 การเงินปี2

นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)ที่จะประชุมวันที่ 8 เม.ย.นี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25-0.50% ซึ่งสอดรับกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์อื่นๆ เนื่องจากมองว่าขณะนี้อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ ยังเอื้อต่อการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย เพื่อเข้ามาช่วยดูแลเศรษฐกิจ ในช่วงที่นโยบายการคลัง ยังมีข้อจำกัด

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง. อาจไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก แต่ถือว่าขณะนี้นโยบายการเงินมีบทบาทสำคัญต่อการดูแลเศรษฐกิจในช่วงรอยต่อของการดำเนินนโยบายการคลังที่ต้องรอเวลาการการใช้มาตรการต่างๆ และการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ซึ่งหลังจากนั้นแล้วนโยบายการเงินจะเริ่มลดบทบาทลง

"เป็นไปได้ที่ กนง.อาจลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% คงต้องขึ้นอยู่กับการประเมินการปรับตัวเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ว่าจะถดถอยอีกหรือไม่ ซึ่งทุกคนก็หวังให้เศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวได้ในปีหน้า" นางสาวเกวลิน กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

ทั้งนี้ คาดว่าจนถึงสิ้นปี 52 ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับลดลงสู่ระดับ 0.75-1.0% แต่คงไม่ปรับลดลงจนใกล้ระดับ 0% เหมือนดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ขณะที่ในระยะถัดไปช่วงปลายปี 52 ถึงต้นปี 53 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น แม้ไม่ได้เป็นระดับที่รุนแรง แต่จะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายไม่สามารถปรับลดลงต่ำมากได้อีก

นางสาวเกวลิน กล่าวอีกว่า การลดดอกเบี้ยของ กนง.ครั้งนี้ อาจทำให้ในระบบธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยลงตาม แต่คงไม่มาก เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขณะนี้อยู่ในระดับที่ต่ำมากแล้ว อาจเป็น Flat Rate สำหรับเงินฝากหลายประเภท และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ ยังมีโอกาสปรับลดลงจาก 0.50% เหลือ 0.25% ได้ในอนาคต แต่คงไม่ลงสู่ระดับ 0%

"ยอมรับว่าครั้งนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดอาจจะอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งก่อนนี้ปี 2547 ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ อยู่ที่ 1% แต่เป็น Flat Rate แต่ดอกเบี้ยออมทรัพย์ อยู่ที่ 0.75% " นางสาวเกวลิน กล่าว

ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)เชื่อว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ และคาดว่าภายในสิ้นปี 52 ดอกเบี้ยนโยบายอาจจะลดลงมาอยู่ในระดับ 0.50-1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%

ส่วนในการประชุมครั้งนี้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในอัตราใดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ กนง.แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าหากจะให้การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมีประสิทธิภาพก็ควรจะลดลงมากกว่าทื่ตลาดคาดการณ์ไว้ และเห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อดูแลเศรษฐกิจยังมีความจำเป็น ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการคลัง เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะหดตัว

"ในความเห็นส่วนตัวมองว่าหากต้องการให้การลดดอกเบี้ยนโยบายมีประสิทธิภาพ ควรจะมีการปรับลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่มีการรับรู้กันล่วงหน้าไปแล้ว ซึ่งจะมีผลต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์"นายเอกนิติ กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"

นายเอกนิติ กล่าวยอมรับว่า การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ กนง.อาจไม่ได้มีผลให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก เนื่องจากการบริโภคและการลงทุนยังมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง การลดดอกเบี้ยจึงอาจไม่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายมาก แต่จะเป็นการช่วยลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยของประชาชนและภาคเอกชน ขณะเดียวกันเห็นว่าธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ควรต้องเข้ามาดูแลกลไกดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งด้านเงินกู้และเงินฝากให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น

ทั้งนี้ จากทิศทางดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำใกล้ 0% โดยที่ประเทศต่างๆ ยังคงใช้นโยบายการเงินในการดูแลวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น ในส่วนของไทยจากสมมติฐานของ สศค.คาดว่าภายในสิ้นปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะลดลงอยู่ระดับ 0.50-1% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.5%

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการใช้นโยบายดอกเบี้ยเพื่อดูแลเศรษฐกิจในอนาคตอาจมีข้อจำกัดมากขึ้น เนื่องจากดอกเบี้ยลดลงอยู่ในระดับต่ำมากแล้ว ดังนั้น ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจการดำเนินนโยบายการเงินยังมีอีกหลายด้านที่สามารถนำมาใช้ได้ ทั้งการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนให้ค่าเงินอ่อนลง หรือนโยบายการซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชน

"นโยบายการเงินทั่วโลกคงเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งถ้าดอกเบี้ยนโยบายใกล้ 0% ก็ยังมีเครื่องมืออื่นที่จะใช้ เช่น ญี่ปุ่น ที่มีนโยบายซื้อพันธบัตรรัฐบาลหรือตราสารหนี้เอกชน หรือเกาหลีเอง ก็ใช้นโยบายดอกเบี้ยควบคู่กับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนของไทยนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ ธปท.และ กนง.ตัดสินใจ"นายเอกนิติ กล่าว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท