เล่าสู่กันฟัง
การประยุกต์ใช้แนวคิด หลักการ
เครื่องมือ การจัดการความรู้
ในการพัฒนาคนและส่งเสริมการเรียนรู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคกลาง
สถาบันเสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชุมชนเป็นสุข (สรส.)
เป็นหน่วยงานภาคประชาชน ภายใต้มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา (Local
Development Foundation)
ซึ่งสนใจเรื่องส่งเสริมการเรียนรู้ของชุมชนท้องถิ่นโดยเฉพาะในระดับตำบลซึ่งมีองค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาลเป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของประชาชน
เปรียบเสมือนเป็น “รัฐบาลท้องถิ่น”
ในระยะปี 2548-2549 นี้ สรส.
ได้เข้าไปส่งเสริมให้อบต.และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ต่างๆในพื้นที่เป้าหมายภาคกลาง 6 จังหวัดคือ สุพรรณบุรี อ่างทอง
พระนครศรีอยุธยา สิงห์บุรี ชัยนาท และอุทัยธานี
ให้มีขีดความสามารถที่จะ
“บรรลุเป้าหมายการทำงานของตนเองในด้านต่างๆโดยใช้ความรู้”
ประเด็นที่อปท.ต่างๆสนใจก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง การพัฒนาคนของอปท.
การจัดการศึกษาระดับปฐมวัย (การพัฒนาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก)
ซึ่งโยงถึงครอบครัวและผู้ปกครอง
การกินอยู่ของพี่น้องประชาชนในตำบล (การพัฒนากลุ่มเกษตรกร
กลุ่มอาชีพต่างๆ)
และเรื่องสุขภาพในมิติทั้งของร่างกายและจิตใจของคนในชุมชน
โดยสรส.ทำหน้าที่เสมือนเป็น “เพื่อนคู่คิด” ของอบต.
มีนักจัดการความรู้ท้องถิ่น (นจท.) และทีมงานสรส.เป็นผู้ประสานงาน
เชื่อมโยง เป็นเพื่อนร่วมเรียนรู้ไปด้วยกัน
การประยุกต์ใช้แนวคิด หลักการ
และเครื่องมือในการจัดการความรู้
เพื่อส่งเสริมความสามารถในการเรียนรู้ของชุมชน สรส. ทำอยู่ 3
ระดับคือ ระดับบุคคล ระดับกลุ่มหรือองค์กร และระดับเครือข่าย
ในระดับบุคคล
สรส.เข้าไปหนุนเสริมแกนนำในตำบลที่สนใจและรับผิดชอบประเด็นต่างๆ เช่น
การพัฒนาสมาชิกอบต.และผู้นำในตำบล การพัฒนาศูนย์เด็กเล็ก
กลุ่มอาชีพต่างๆ ให้มาร่วมเรียนรู้กับสรส. แล้วกลับไปทำงานในพื้นที่
โดยแกนนำเหล่านี้ นอกจากจะ “เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง”
แล้ว ยังทำหน้าที่ “พากลุ่มเรียนรู้” ด้วย
ในระดับกลุ่ม
มีประเด็นที่กลุ่มต่างๆ สนใจ ยกตัวอย่าง เช่น กลุ่มแม่บ้านตำบลวัดดาว
อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
สนใจทบทวนการทำงานของตัวเองที่ผ่านมาเพื่อมองต่อไปข้างหน้า
กลุ่มครูศูนย์เด็กเล็กอบต.ประดู่ยืน ต.ลานสัก จ.อุทัยธานี
สนใจที่จะพัฒนาศูนย์เด็กเล็กให้ดีขึ้นทุกๆปี
ในระดับองค์กร
มีภาพความก้าวหน้าที่น่าสนใจของ อบต.วัดดาว
จ.สุพรรณบุรี ที่พยายามสร้าง “ทีมตำบล” ซึ่งประกอบด้วยอบต. กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน และผู้นำทางธรรมชาติในชุมชน (ประธานกลุ่มอาชีพ
ประธานกองทุน ฯลฯ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “โรงเรียนผู้นำ”
นอกจากนี้ก็พยายามสร้างแกนนำและทีมงานเพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้ในประเด็นอื่นๆ
เช่น “โรงเรียนกลุ่มอาชีพสตรี” ที่หันกลับมามองเศรษฐกิจ การตลาด
และการผลิตเพื่อรับใช้ชุมชนของตัวเอง “โรงเรียนพ่อแม่”
ที่ผู้ปกครองจะร่วมกันสร้างสมอง
สู่โอกาสทองของชีวิตบุตรหลานตัวเองได้อย่างไร
การทำงานทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย
ถ้าการจัดการในระดับองค์กรของอบต.ที่จะผสานความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆทั้งภายในและภายนอกอบต.
เช่นเดียวกันกับอบต.วัดดาว
อบต.ประดู่ยืน อ. ลานสัก จ.
อุทัยธานี ซึ่งมีแกนนำโรงเรียนพ่อแม่
โรงเรียนเกษตรกร และโรงเรียนผู้นำที่ชัดเจน
กำลังวางแผนการทำงานให้บรรลุความฝันภายใต้กรอบระยะเวลา 1 ปี
โดยเฉพาะโรงเรียนพ่อแม่ (ศูนย์เด็กเล็กและผู้ปกครองเด็ก) มีแกนนำคือ
อ.ธานี สุขสุวรรณ ซึ่งเป็นผู้บริหารโรงเรียนเข้ามาเป็นทีมระดับตำบล
พาครูและผู้ปกครองเรียนรู้วิธีเลี้ยงดูพัฒนาบุตรหลานทั้งที่บ้านและที่ศูนย์เด็กเล็ก
อบต.หัวไผ่
จ.สิงห์บุรี อาศัยนายกฯทวีป จูมั่น
เป็นหัวขบวนสำคัญ ได้จัดอบรมปฏิบัติการ
“การเรียนการสอนเด็กเล็กตามแนวทางของ Brain Based Learning”
ไปโดยมีเพื่อนอบต.อื่นๆร่วมเรียนรู้รวมทั้งสิ้นนับ 10 แห่ง
งานนี้ได้จุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจ
และให้แนวทางแก่ครูผู้ดูแลเด็กในการนำไป
“พัฒนาสมองให้สอดคล้องกับวัยของเด็ก” ได้เป็นอย่างดี
ถ้ามีโอกาสคงได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันให้มากยิ่งขึ้นในเวทีนี้
อบต.น้องใหม่ไฟแรงอย่าง
ตำบลลานสัก อ.ลานสัก
จ.อุทัยธานี
ถึงแม้จะเพิ่งร่วมขบวนพันธมิตรการเรียนรู้
แต่ก็มีอะไรดีๆที่พวกเราสามารถเรียนรู้ได้อย่างเรื่อง “กลุ่มเกษตรกร”
ที่ทำมานานหลายปีและมีความเข้มแข็ง
หรือการวิจัยท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนคนร่องตาที
ที่เป็นตัวอย่างของการเริ่มต้น “ทำอะไรดีๆ” เพื่อพัฒนาคนในชุมชน
นอกจากนี้ อบต.ที่ “มีใจและมีไฟ”
อย่างหนองโพธิ์ จ.สุพรรณบุรี ดอนหญ้านาง จ.พระนครศรีอยุธยา
หรือกลุ่มอบต.จากอ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ซึ่งคราวมาพบกันเมื่อ
“นัดครั้งแรก” วันที่ 24 กันยายน 2548 ได้แสดงให้เห็นว่า “มีดี”
ที่น่าจะเอามา “ซื้อขายแลกเปลี่ยน” กัน
ตลอดถึงอบต.ทุกแห่งที่ไม่ได้เอ่ยถึง ก็ล้วน “มีดี” ด้วยกันทั้งสิ้น
เราชื่อว่ว่าการพูดถึงสิ่งดีๆที่เราไปทำกันมาจะช่วยสร้างพลัง
เติมไฟให้คนทำงานชุมชน
มากกว่าการพูดถึงปัญหาและอุปสรรคซึ่งมีมากมายนับไม่ถ้วน
ในระดับเครือข่าย
เราได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซื้อขายความรู้ซึ่งกันและกัน
ซึ่งเราเรียกภาษาง่ายๆว่า “ตลาดนัดความรู้”
ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคกลาง 5 จังหวัด คือ
จังหวัดสุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาทและอุทัยธานี
ซึ่งเป็นจังหวัดที่เราได้ไปส่งเสริมนักจัดการความรู้ท้องถิ่นในระยะแรกที่เราได้ทำไปแล้ว
2 ปี ตรงนี้เราก็ขยายผล
เราให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพราะว่าขณะนี้ไม่ว่าจะเป็น
อบต. เทศบาล อบจ. ถูกคาดหวังจากสังคมค่อนข้างมาก
ในการที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องแสดงบทบาทเป็นรัฐบาลท้องถิ่น
ดูแลคุณภาพชีวิตของประชากรในพื้นที่ตัวเอง
แต่เราก็ทราบดีว่าในขณะที่สังคมคาดหวังพร้อมทั้งมีการถ่ายโอนภารกิจไปให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องของการเตรียมคนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
เราอาจจะคาดหวังให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำงานมากมาย
แต่การที่จะเตรียมคน
เตรียมความรู้ที่จะไปเสริมขีดความสามารถของบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบริหาร ฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการประจำ ปลัด
เจ้าหน้าที่ประจำหรือสมาชิกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเหล่านี้
เรามักจะพบว่ากระบวนการติดอาวุธทางปัญญาที่จะให้เค้าได้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นยังทำกันน้อย
โดยเฉพาะการเรียนรู้ที่เอาไปใช้ในชีวิตและงานได้อย่างแท้จริง
เราได้จัดตลาดนัดความรู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภาคกลางขึ้นมาครั้งแรก
เมื่อวันที่ 24
กันยายน 2548 ณ วังยางริเวอร์ปาร์ครีสอร์ท ต.วังยาง อ.ศรีประจันต์
จ.สุพรรณบุรี
กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการที่เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาศักยภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยการที่จะไปส่งเสริมให้แกนนำ
อบต.และผู้นำชุมชนได้มีการเรียนรู้บนฐานงานจริงของเค้า หรือเรียกง่ายๆ
ว่าให้เค้าเรียนรู้บนงานของเค้า บนชีวิตจริงของเค้า
ซึ่งตรงนี้เป็นหลักที่เราใช้บนฐานการเรียนรู้ของนักจัดการความรู้ท้องถิ่นในเฟสแรกไปแล้ว
และเราก็พบว่าการเรียนรู้ที่ไปต่อยอดจากงานของเค้าเป็นเรื่องที่สำคัญ
การเรียนรู้ทั่วไปมักจะเป็นรูปแบบที่ดึงเค้าออกมาจากเงื่อนไขของเค้า
ชีวิตของเค้า จากพื้นที่ของเค้า และเราพบว่าการเรียนรู้แบบนั้น
โอกาสที่เค้าจะเอาไปใช้จริงมันน้อยมาก
เพราะฉะนั้นถ้าเราสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่จะไปทำให้เค้าเรียนรู้บนงานของเค้าได้
บนชีวิตของเค้าได้ ตรงนี้น่าจะเป็นการเติมเต็มที่ดี
อันนี้เป็นวัตถุประสงค์ที่เราอยากจะไปส่งเสริมการเรียนรู้
กระบวนการที่เราลงไป
เราได้ใช้แนวคิดและเครื่องมือของการจัดการความรู้
ซึ่งขณะนี้เรื่องของการจัดการความรู้เป็นเรื่องที่กำลังแพร่หลายอยู่ในวงการทั้งภาคธุรกิจและของรัฐบาล
หน่วยงานราชการทั้งหลายในขณะนี้
การจัดการความรู้ได้ถูกกำหนดเป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่หน่วยงานราชการจำเป็นที่จะต้องเอาไปเป็นเครื่องมือในการพัฒนางานของตัวเอง
แนวคิดเรื่องของการจัดการความรู้เชื่อว่าความรู้อยู่ในตัวของบุคคลทั้งหลายอยู่แล้ว
โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวของชีวิตมา
ประสบการณ์ของแต่ละคนได้สะสมความรู้ไว้เยอะมาก
เป็นความรู้ที่เราเรียกว่าเป็นความรู้ฝังลึก
ซึ่งในการจัดการความรู้เราเรียกว่า Tacit Knowledge
ความรู้แบบนี้เราจะมีวิธีการสกัดและใช้กระบวนการอย่างไรที่จะดึงออกมาและให้เป็นประโยชน์กับผู้คนที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งเราก็มีเครื่องมือของการจัดการความรู้ที่จะเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายระดับ
ตั้งแต่ระดับของเครือข่ายการเรียนรู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายๆ
พื้นที่ หลายๆ องค์กรและก็มาเรียนรู้ร่วมกัน
หรือว่าเราจะประยุกต์ใช้ในตัวขององค์กรเอง
คือในตัวขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ อบต. เทศบาลหรือว่า อบจ.
หรือว่าเราจะเอาไปประยุกต์ใช้ในการทำโครงการหรือการพัฒนางานในพื้นที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยใช้แนวคิดและเครื่องมือการจัดการความรู้เข้าไปช่วย
เพราะว่าในเรื่องของการจัดการความรู้นั้น
สิ่งที่สำคัญที่สุดอันแรกก็คือ
ต้องมีเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เราจะปักธงอะไร
เราจะกำหนดหัวปลาอะไร ถ้าเปรียบเสมือนปลาทั้งตัว
วิสัยทัศน์ของการเปลี่ยนแปลง
เป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงเราต้องมีความชัดเจน
ประการที่สองก็คือ
เพื่อที่จะไปสู่เป้าหมายหรือการเปลี่ยนแปลงนั้น
เราจะต้องรู้ว่าเราจะต้องใช้ความรู้อะไรบ้าง เราจะต้องมีทักษะอะไร
และความรู้นั้นเรามีแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีเราจะไปหาจากที่ไหน
และเราจะจัดการความรู้เหล่านั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์
เกิดการเปลี่ยนแปลงไปตามเป้าหมายที่เรากำหนดได้อย่างไร
ในระดับเครือข่าย
เราได้จัดตลาดนัดความรู้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยในครั้งแรกได้เชิญเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน 5
จังหวัดที่เราเคยทำงานร่วมกันมาก่อนหน้านั้น
เราก็ทดลองใช้แนวคิดและเครื่องมือของการจัดการความรู้ในการที่เปิดเวทีนี้ขึ้นมา
ที่เราเรียกตลาดนัดความรู้นั้น
ความจริงก็คือเครือข่ายการเรียนรู้นั่นเองที่เราเคยมาแลกเปลี่ยนกัน
แต่ว่าเรามีเครื่องมือที่ชัดเจนขึ้น
ที่เข้มข้นขึ้นในการที่จะสกัดความรู้ฝังลึกที่อยู่ประสบการณ์ของคนทั้งหลาย
และเครื่องมืออันนั้นก็คือ
พลังของเรื่องเล่า
เป็นการเล่าจากผู้ที่ประสบผลสำเร็จ ผู้ที่มีความก้าวหน้า
และมีการซัก การถาม การตีความ จากผู้เข้าร่วมประชุมกลุ่ม
ภายใต้การอำนวยการพูดคุยของ”คุณอำนวย”
ซึ่งต้องผ่านการฝึกฝนทักษะมาอย่างดี
เพื่อให้เห็นรายละเอียดของเหตุปัจจัยต่างๆที่ทำให้เค้าทำงานสำเร็จ
สิ่งที่สำคัญอยู่ตรงนี้ คือ การหาความรู้แบบ “ทำได้อย่างไร (How
to)”
ความรู้ที่สามารถให้ผู้เข้าร่วมเวทีสามารถรู้ได้ได้ว่าความสำเร็จเหล่านั้นประกอบด้วยเงื่อนไข
ปัจจัยอะไร
และคนที่ทำเรื่องเดียวกันอยู่ก็ได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้ว่ามีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จอยู่
และความสำเร็จนั้นเค้าสามารถทำได้อย่างไร
มีอะไรที่เป็นปัจจัยและเป็นเงื่อนไขที่ทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จ
ในการประยุกต์ใช้แนวคิดและเครื่องมือในการจัดการความรู้ของเครือข่าย
เราจะต้องทำอย่างต่อเนื่องและต้องทำให้เชื่อมโยงระหว่างการจัดการความรู้ในเวทีประชุมแลกเปลี่ยน
และการจัดการความรู้ในงานจริงชีวิตจรอง
ไม่ใช่เป็นการจัดเวทีครั้งเดียวแล้วเลิกไป ต้องจัดเป็นระยะๆ
ซึ่งเราเรียกว่า เป็นชุมชนแห่งการปฏิบัติการเรียนรู้ หรือ COP
(community of Practice) ซึ่งในหลักการจัดการความรู้ก็อยู่ที่ว่า
ทำอย่างไรให้เวทีการเรียนรู้เหล่านี้มันถูกจัดการ
หมุนเกลียวความรู้ให้ยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่ใช่อยู่กับที่
ไม่ใช่มาคุยแล้วครั้งหน้าก็ไม่มาเจอกัน ขยับไม่ได้แล้ว
เพราะฉะนั้นในกระบวนการของตลาดนัดความรู้เอง
นอกจากพลังของเรื่องเล่า การตีความ
การหาเงื่อนไขปัจจัยแห่งความสำเร็จแล้ว
เราก็จะทำออกมาเป็นตัวชี้วัดด้วย
เป็นตัวชี้วัดของความสามารถที่จำเป็นที่จะทำให้งานสำเร็จว่ามันขึ้นอยู่กับอะไร
และตัวชี้วัดจะต้องมีเงื่อนไขอย่างไร
โดยเรียนรู้จากกรณีที่คนเค้าทำสำเร็จแล้วจริงๆ
ไม่ใช่เป็นเป็นตัวชี้วัดทางทฤษฎี
เป็นตัวชี้วัดที่ได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันจนตกผลึกแล้ว
แล้วกำหนดกันขึ้นมาใช้ในเครือข่ายของเรากันเอง
ใช้ในการประเมินตนเองในแต่ละช่วงเวลา
คนที่มาในเวทีตลาดนัดความรู้นี้
จะพบว่ามีใครเก่งเรื่องอะไร อย่างไร
และก็จากการพูดคุยในเวทีเค้าก็สามารถตามไปเรียนรู้ต่อได้ในเบื้องต้น
แต่หัวใจสำคัญคือ ทำให้เค้ารู้
ประเมินตัวเองว่าเค้ามีความรู้แค่ไหนต่อการที่เค้าจะทำงานที่ตัวเองตั้งเป้าไว้เองให้สำเร็จ
ถ้าไม่พอเค้าจะไปหาที่ไหน อันนี้เป็นหัวใจสำคัญ
แล้วประเมินตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าตัวเองมีความสามารถเหล่านั้นแค่ไหนแล้ว
พอเราจัดตลาดนัดความรู้เสร็จแล้ว และก่อนที่เค้าจะกลับมาอีกครั้ง
เค้าต้องเอาแนวคิด เอาความรู้เหล่านี้ไปปฏิบัติซักระยะหนึ่ง
และก็กลับมาแล้วก็มาเล่าประสบการณ์แลกเปลี่ยนความคืบหน้ากันอีก
เพราะฉะนั้นแนวคิดและเครื่องมือการจัดการความรู้เราจะให้ความสำคัญในเรื่องของความรู้ที่อยู่ในตัวคน
ความรู้ที่อยู่ในประสบการณ์ของทุกคน ซึ่งทุกคนมีอยู่แล้ว
ซึ่งบางคนอาจจะเล่าไม่เก่ง
แต่ในกระบวนการที่เราใช้เครื่องมือสกัดความรู้นี้จะมีคนคอยซักถาม
ซึ่งจะทำให้เรื่องเล่านั้นออกมาได้ ความรู้นั้นออกมาได้
เครื่องมือของการจัดการความรู้จะทำให้เจ้าของตลาดนัดความรู้มีความชัดเจนว่าในแต่ละเรื่องแต่ละประเด็นนั้น
ใครคือผู้รู้และใครคือผู้ที่ต้องการเรียนรู้
เพราะตลาดนัดความรู้ก็คือ
การทำให้ผู้อยากซื้อกับผู้อยากขายมาเจอกันและมีการซื้อขายกันใหมากที่สุด
เพราะฉะนั้นเจ้าของตลาดนัดจำเป็นต้องมีข้อมูลทีสมบูรณ์พอสมควร
ที่จะสามารถจับคู่ได้ที่จะระบุได้ว่าคนนี้ควรที่จะอยู่กลุ่มไหน
กลุ่มนั้นก็จะเป็นการผสมผสานอย่างดีและเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้นและมีพลัง
อันนี้เป็นการเอาการจัดการความรู้ (Knowledge Management)
มาใส่ไว้ในเครือข่ายการเรียนรู้
แต่ที่เราเคยทำกันมาเราก็เป็นเครือข่ายการเรียนรู้กันตลอดเวลาอยู่แล้วแต่ไม่เกิดความเข้มแข็ง
ไม่เด่นชัด
แต่เครื่องมือของการจัดการความรู้ตัวนี้จะมีความต่างอยู่ก็คือ
ทำให้การจัดการมีความชัดขึ้น
ทำให้การเกิดมรรคผลของการเรียนรู้มีความชัดเจนขึ้นและสามารถยกระดับอยู่ตลอดเวลา
โดยสรุปแล้วการจัดตลาดนัดความรู้โดยใช้แนวคิดและหลักการของการจัดการความรู้นั้น
1. จะให้ความสำคัญกับเจ้าของความรู้ ตัวจริง
เสียงจริง ที่มีประสบการณ์ตรง
ทำงานเรื่องนั้นจนมีความก้าวหน้า
มีความสำเร็จที่น่าภูมิใจในระดับหนึ่ง
2. มีกระบวนการสกัดเรื่องเล่าออกมาเป็นความรู้
3. มีความต่อเนื่องของเวที ที่เรียกว่า COP
เวทีต่อเนื่องเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะว่าความต่อเนื่องจะทำให้เกิดการยกระดับ
ในการจัดตลาดนัดความรู้ที่ได้จัดไปแล้วยังไม่ครบขั้นตอนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ที่ทางเราอยากให้มีโอกาสให้เค้ามาพบปะกัน
แล้วเค้าได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานที่คล้ายๆ กัน
ความรับผิดชอบที่คล้ายๆ กัน ซึ่งวัตถุประสงค์ก็คือ
เราต้องการให้เค้าได้เห็นรูปแบบที่แตกต่างกัน จากการที่เคยไปฝึกอบรม
จากการที่เค้าเคยไปประชุมที่อื่น และทำให้เค้าได้รู้จักเพื่อน
ว่าใครทำเรื่องนี้อยู่และเค้าให้ความสนใจ ในการจัดการเรื่องนี้
เราได้เตรียมการระดับหนึ่ง คือ ได้เตรียมคนซัก เรียกว่า
คุณอำนวย และคนที่คอยจดบันทึกเวลาที่เราแลกเปลี่ยน
หรือพอเล่ามาในที่ประชุมจะมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนมีการตีความ
เราก็มีคุณบันทึกหรือคุณลิขิต แล้วแต่จะเรียกกัน
ซึ่งเป็นคนที่จดบันทึกระหว่างการพูดคุย
ความรู้เหล่านี้เราถือว่าเป็นขุมความรู้ที่สำคัญของผู้ที่มีประสบการณ์ตรง
และขุมความรู้เหล่านี้มีอยู่เยอะมาก เมื่อเรานำมาพิจารณาให้ดี
เราก็สามารถที่จะสกัดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเป็นแก่นความรู้ไว้เป็นประเด็นที่สำคัญๆ
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องของความสำเร็จอะไรซักอย่างหนึ่ง
พอเราซักถามไปก็จะมีรายละเอียดเยอะมาก ซึ่งเป็นความรู้ทั้งนั้น
ซึ่งเราจะถามว่าเรื่องหลักๆ ที่ทำให้เค้าสำเร็จคืออะไร
เราก็สามารถที่จะดูประเด็นหลักๆ ขึ้นมาได้ ตรงนี้คล้ายๆ กับเราสกัด
“หัวกะทิ” ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ที่เราเรียกว่าเป็น
“แก่นความรู้”
การจัดการความรู้ที่จะสำเร็จได้ในลักษณะนี้
จะต้องมีองค์ประกอบ คือ ต้องมีคุณอำนวย มีคุณบันทึก
มีการซักถามและมีการนำขุมความรู้ที่ได้มาทำเป็นแก่นความรู้ไปบันทึกไว้
เก็บไว้อย่าเป็นระบบที่เราจะจัดการต่อและนำมาใช้ประโยชน์ต่อ
ถามว่าใครมีส่วนที่จะทำให้กระบวนการนี้เคลื่อนไปได้และเป็นการหมุนเกลียวความรู้
เบื้องต้นก็คงเป็นโครงการฯ
ซึ่งเป็นผู้จัดตลาดนัดความรู้และเป็นผู้ที่เฟ้นหาคุณอำนวยและคุณลิขิตเข้ามาทำหน้าที่
จริงๆ แล้วคุณอำนวยและคุณลิขิตนั้น ทางโครงการฯ
ก็อยากจะให้เป็นคนในเครือข่าย เป็นกระบวนการที่จะพัฒนาคนของเค้า
ที่สามารถทำหน้าที่เป็นคุณอำนวยและคุณลิขิตได้
และสามารถเป็นผู้ที่จะไปจัดตลาดนัดความรู้เองได้ในพื้นที่ของเค้า
ซึ่งคิดว่าวิธีการและกระบวนการเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการขยายผล
และในเบื้องต้นเข้าใจว่าทางโครงการฯ
เองจะต้องเป็นผู้ที่ดูแลและก็พยายามคัดสรรจากนักจัดการความรู้ท้องถิ่นในเฟสแรก
และภาคีทั้งหลายในพื้นที่ ที่เค้ามีความสามารถที่จะทำบทบาทนี้ได้
เราก็ดึงเค้าเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกฝนไปในตัว
โครงการฯ
เองก็มีเป้าหมายส่วนหนึ่งในการสร้างคุณอำนวยและคุณบันทึกอยู่แล้ว
ให้แพร่หลายไปทั่วทุกพื้นที่
เพราะว่าคุณอำนวยและคุณบันทึกจะเป็นกลไกสำคัญในการที่เอาแนวคิดและเครื่องมือการจัดการความรู้ไปใช้ให้ได้ผล
ถ้าจะใช้ให้ได้ผลจริง คุณอำนวยกับคุณบันทึกจะต้องเข้าใจ
มีความรู้ว่าตัวเองมีบทบาทอะไรและจะต้องรู้ว่าตนเองจะต้องมีทักษะอะไรบ้างในการทำหน้าที่คุณอำนวยและคุณบันทึกเป็นต้น
คุณสมบัติของคุณอำนวยและคุณบันทึก
บทบาทของคุณอำนวยในหน้าที่ของเค้าก็คือ
ทำหน้าที่ในการบริหารความรู้สึก
บริหารอารมณ์ของทุกคนในกลุ่มให้แลกเปลี่ยนกันอย่างมีความสุขและทำให้ทุกคนได้ประโยชน์จากการพูดคุยแลกเปลี่ยน
ทุกคนได้ความรู้ใหม่กลับไปอย่างมีความสุข นั่นคือ
เป้าหมายของการจัดการกลุ่มเรียนรู้
คุณอำนวยจะต้องมีบทบาทในการกระตุ้นการมีส่วนร่วมของผู้คนที่พูดคุยกันอยู่ในกลุ่ม
เริ่มต้นจากคนเล่าที่มีความสามารถที่จะทำให้ผู้เล่าสามารถเล่าออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด
และเล่าออกมาได้อย่างมีความสุข และเล่าในลักษณะที่ได้เนื้อได้หนัง
เพราะฉะนั้นคนที่ซักหรือคุณอำนวยจะต้องคอยฟังอย่างมีสมาธิ
ฟังอย่างคอยจับประเด็นและคอยกระตุ้นให้ผู้เล่าสามารถเล่าออกมาได้
ขณะเดียวกันต้องกระตุ้นให้ผู้ฟังทั้งหลายสามารถรับฟังได้อย่างลึกซึ้ง
ฟังอย่างใคร่ครวญ
ฟังแล้วทำให้อยากแลกเปลี่ยนโดยการตีความหมายเรื่องเล่าเหล่านั้นออกมาในมุมมองหรือประสบการณ์ที่แตกต่างกัน
เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จไม่ได้เกิดขึ้นบนเส้นทางเดียวแต่มาจากหลายเส้นทาง
เพราะฉะนั้นประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนมีประโยชน์อย่างยิ่ง
ทำอย่างไรที่คุณอำนวยจะทำให้เค้าเกิดการกระตือรือร้นในการที่จะแสดงความคิดเห็นออกมาและมีส่วนร่วมกันทุกคน
เพราะฉะนั้นคุณอำนวยจะต้องมีความสามารถในการฟัง ในการจับประเด็น
ในการซักประเด็น ในการโยนประเด็น ในการเชื่อมประเด็น
และในการที่ดึงประเด็นหรือเบี่ยงประเด็นต่างๆ เหล่านี้
เพราะบางครั้งเมื่อคุยไปแล้วจะไปหยุดอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป
และในระยะเวลาที่จำกัดเพราะฉะนั้นคุณอำนวยต้องมีความสามารถที่จะดึงประเด็นได้
เบี่ยงประเด็นได้และการสรุปประเด็น แต่การสรุปประเด็นนั้นต้องระวัง
เพราะเราต้องมีส่วนช่วยให้กลุ่มได้ตีความและช่วยกันสรุปให้มาก
ในส่วนของคุณลิขิตเอง
ที่สำคัญก็คือ การฟัง การจับประเด็นและก็เขียนขึ้นบนกระดาษฟลิปชาร์ท
สามารถจับคำสำคัญๆ ของเรื่องเล่าได้
เพราะว่าถ้าคุณบันทึกหรือคุณลิขิตทำงานได้ดี
กลุ่มก็จะตามบรรยากาศของการพูดคุยได้อย่างต่อเนื่อง
เพราะว่าคุณบันทึกที่เขียนขึ้นกระดาษนั้น
จะช่วยให้ในที่ประชุมจะเสียสมาธิจากการฟัง
แต่ก็สามารถเห็นข้อความที่บันทึกได้อยู่ว่ากลุ่มกำลังคุยอยู่จากเรื่องไหนไปเรื่องไหน
และคุณอำนวยกับคุณบันทึกจะต้องทำงานเป็นทีม
ถ้าคุณอำนวยเดินเรื่องดี ซักถามดี คุณบันทึกก็จะสามารถบันทึกได้ง่าย
เพราะฉะนั้นในระหว่างที่ดำเนินการอยู่คุณอำนวยและคุณบันทึกจะต้องช่วยกัน
ตัวอย่าง :
บรรยากาศของกลุ่มปลัด
ในวันนั้นที่ได้ไปเป็นคุณอำนวยในกลุ่มของปลัด
เราแบ่งกลุ่มโดยยึดเอาตำแหน่งเป็นตัวตั้ง ซึ่งประกอบด้วยตำแหน่งนายก
รองนายก ประธานสภา สมาชิก เลขานุการนายกและปลัด
เพราะเราคิดว่าการรวมกลุ่มโดยใช้ตำแหน่งนี้จะทำให้เราได้คนที่อยู่ในกลุ่มที่ทำงานร่วมกันและมีความสนใจคล้ายๆ
กันมาแลกเปลี่ยนกัน
ในส่วนของกลุ่มปลัดเองเราได้เริ่มกระบวนการด้วยการให้ได้ทำความคุ้นเคย
เกิดความไว้วางใจ มีความรู้สึกเป็นกันเอง
เราก็พยายามสร้างบรรยากาศโดยไม่ให้เป็นเรื่องวิชาการเกินไป
1. โดยให้แต่ละคนในกลุ่มได้แนะนำตัวอีกครั้งหนึ่ง
เพราะในเวทีใหญ่ไม่มีการแนะนำตัว
เราจึงได้ให้แนะนำตัวกันอีกครั้งในกลุ่มย่อย บอกชื่อ
ที่มาของแต่ละคนว่ามาจากตำบลไหน จังหวัดไหน
2. ต่อมาเราให้เวลาแต่ละคนนึกย้อนไปถึงความสำเร็จของงานที่เค้าในฐานะปลัดได้ทำไป
ความก้าวหน้าของงาน สิ่งที่เค้าภาคภูมิใจ “หนึ่งเรื่อง”
3. ให้เล่าเรื่องราวของตนเอง คนละประมาณ 5-10 นาที
4. เมื่อเล่าครบทุกคนก็ให้ในกลุ่มช่วยกันเลือกว่าจะเอาของใครมาเป็นเรื่องที่จะลงลึก
สาวลึกลงไป
กลุ่มได้เลือกเอาเรื่องความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาความยากจนของปลัด
อบต.ที่จังหวัดชัยนาท
เค้าบอกว่ามีความภาคภูมิใจที่สามารถช่วยเหลือชาวบ้าน
เอาโครงการนี้ไปทำจนเกิดผล
ทำให้ชาวบ้านสามารถเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายได้
แต่ในเนื้อหาที่เค้าเล่าจะมีรายละเอียดเยอะ
เราก็ต้องคอยซักคอยถามว่าเค้าเป็นอย่างไร ทำอย่างไร
ทำไมถึงทำได้สำเร็จ เงื่อนไขปัจจัยอยู่ตรงไหน
และเราก็คุยกันมาถึงเรื่องของบทบาท ปลัดของ อบต. ที่มีความสำคัญ
เปรียบเสมือนเป็นแม่บ้านของ อบต. และเป็นกำลังสำคัญด้วย
ซึ่งตรงนี้ในรายละเอียดจะมีเยอะมาก และมีเรื่องอื่น เช่น การจัดการขยะ
ความคาดหวังที่ต้องการให้สมาชิก อบต.
เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและเรื่องของการที่จะนำเครื่องมือการจัดการความรู้เข้าไปใช้ในการพัฒนาของสมาชิก
อบต.
และน่าจะดีที่แต่ละท้องถิ่นจะมีนักจัดการความรู้ท้องถิ่นที่โครงการฯ
ได้ดำเนินงานมาในเฟสแรกอันนี้เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นและให้ความสนใจกันมาก
และเมื่อเราได้นำเรื่องใกล้ตัวของเค้า เป็นเรื่องความสำเร็จ
ความภาคภูมิใจ ทุกคนสนใจและตั้งใจฟังแลกเปลี่ยนได้
และทำให้เกิดการเติมเต็มต่อยอด แล้วทำให้บางคนเกิดประเด็นใหม่
เกิดความคิดใหม่ในการที่จะกลับไปทำงาน สังเกตได้จากสีหน้า
แววตาจากการพูดคุย
เพราะเห็นความตั้งใจและทุกคนรู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์
อย่างน้อยได้เรียนรู้จากเพื่อน อบต. ซึ่งอยู่ในตำแหน่งเดียวกัน
แต่อาจจะมีประสบการณ์ทำงานที่แตกต่างกัน
กลับมาพบกันในครั้งต่อไป
วัตถุประสงค์ในครั้งต่อไป
เราคาดหวังว่าเค้าได้รับรู้และได้ทดลองใช้เครื่องมือการจัดการความรู้
ซึ่งคิดว่าการที่เค้าได้มาเจอกัน ได้มาพบเพื่อน
ได้แลกเปลี่ยนความรู้ที่ใกล้ตัวเค้า
อย่างน้อยที่สุดเค้าจะรู้สึกว่ามาแล้วไม่เสียเวลา ไม่เสียเที่ยว
ซึ่งเราได้ปูพื้นที่ฐานที่จะให้เค้าได้กลับมาอีกในครั้งที่ 2
และเมื่อเค้ากลับมาในครั้งที่ 2 และ 3 แล้ว เราจะจัดการให้เข้มข้นขึ้น
เราจะต้องมีการทำการบ้านก่อนล่วงหน้า
หาข้อมูลก่อนว่าเรื่องที่เราจะจัดเป็นเรื่องอะไร
อาจจะเป็นเรื่องที่เค้ามีความสนใจร่วม อาจจะเป็นเรื่องของการจัดการขยะ
อาจจะเป็นเรื่องการทำอย่างไรให้สมาชิก อบต. มีส่วนร่วมในการพัฒนา
อย่างนี้เป็นต้น
และอีกอย่างหนึ่งที่เราจัดครั้งนี้เป็นการจัดครั้งแรก
ตอนที่ออกแบบนั้น
ได้พยายามผสมผสานความคุ้นชินเดิมที่เค้าได้เคยพบมาจากการสัมมนา
ฝึกอบรมหรือประชุม
ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาฟังแต่การที่จะมาพูดมาคุยกันมันมีน้อยและไม่คุ้นเคยเท่าไหร่
เราก็ได้คิดว่าน่าจะดีที่เราได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ
หรือหน่วยงานที่มีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาเป็นองค์ปาฐกหรือมาพูดคุยให้เค้าได้รับฟังด้วย
ซึ่งทางเราได้เชิญศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก
ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมาเป็นองค์ปาฐก
ซึ่งทางคณะกรรมการสิทธิฯ ก็มีความสนใจในการผลักดันตามรัฐธรรมนูญ
ซึ่งในมาตราของการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่น
ซึ่งสิทธิชุมชนท้องถิ่นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสร้างการมีส่วนร่วมของชาวบ้าน
ซึ่งมันถูกตราอยู่ในรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายลูกที่ยังไม่มี
เพราะฉะนั้นในส่วนนี้จึงเป็นความสนใจของท่าน อ.เสน่ห์ จามริก
ที่จะทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เมื่อเราเชิญท่านมาเป็นองค์ปาฐกทางท่านก็ยินดี
และเราก็พบว่าหัวข้อสิทธิชุมชนกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความน่าสนใจ
และเมื่อได้ตามประเมินในภายหลังก็พบว่าประเด็นที่
อ.เสน่ห์นำมาพูดคุยผู้นำท้องถิ่นหลายท่านมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก
ด้านท่าน
อ.เสน่ห์เองเมื่อกลับไปแล้วได้ติดต่อกลับมาว่าคณะกรรมการสิทธิฯ
เองอยากจะทำงานร่วมกับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการผลักดันเรื่องการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการพัฒนาชุมชนของตนเอง
ประเมินเป้าหมายที่กำหนดและความคาดหวังต่อไป
หลักการอีกประการหนึ่งของการจัดการความรู้ก็คือ
การทบทวนบทเรียนทันทีหลังการจัดกิจกรรมเสร็จ (After Action
Review) เพื่อจะได้ “เอาอดีตมาเป็นครู”
วิธีการถอดบทเรียนจะมีคำถามหลักๆให้เราได้ทบทวนตัวเอง
เช่น เมื่อเราได้จัดไปแล้ว เราได้อะไรบ้าง
และเราพอใจแค่ไหน อะไรที่เราทำได้ดี
เพราะอะไร อะไรที่เราทำได้ไม่ดี
เพราะอะไร ถ้ามีโอกาสทำใหม่
จะทำเหมือนเดิมหรือไม่ ถ้าทำไม่เหมือนเดิม
รู้แล้วหรือยังว่าจะทำอย่างไร ฯ ล ฯ
เราคิดว่าที่จัดไปแล้วนั้นมีความสำเร็จในเชิงของผู้เข้าร่วม
และปริมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เข้าร่วมถึง 22 องค์กร
ซึ่งเดิมทีเดียวก็ไม่คิดว่าจะมาเข้าร่วมกันมาก ซึ่งทางโครงการฯ
ได้เคยเชิญมาก่อนหน้านี้แล้วแต่มีผู้เข้าร่วมน้อย
ตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเป็นช่วงของก่อนการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
จึงยังไม่รู้ว่าจะมีใครสามารถเข้าร่วมได้บ้าง
ทีนี้พอผ่านไปแล้วและโครงการฯ
ได้เชิญมาใหม่ก็พบว่ามาเข้าร่วมกันมาก
ประเด็นที่สอง
ในส่วนของการพูดคุย ทางโครงการฯ คิดว่าผู้เข้าร่วมได้ประโยชน์
สังเกตได้จากที่เราได้มีกา