ปัจจุบันประเทศไทยเราให้ความสำคัญกันมากในเรื่องเกษตรปลอดสารพิษ แต่ในความเป็นจริงข้อมูลและกระแสยังอยู่ในสังคมเมืองเป็นส่วนใหญ่และผู้ที่รับข้อมูลก็จะเป็นผู้บริโภคเสียมากกว่า การปลูกฝังทางด้านความคิดการปฏิบัติยังไปไม่ถึงเกษตรกรตัวจริงที่เป็นผู้ผลิตโดยตรง เพราะเท่าที่สัมผัสเพียงแต่เคยเห็นหน่วยงานรัฐมีการจัดรถไปตรวจหาสารพิษในตลาดสดตามที่สถานที่ต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ แต่ในภาคของการผลิตหรือหน่วยผลิตที่ต้นน้ำ ส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดนั้นยังไม่มีหน่วยงานใดที่เข้าไปส่งเสริมอย่างชัดเจนจริงจังหรืออาจจะมีบ้างแต่ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพียงพอ เกษตรกรจึงยังคงใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงอยู่ต่อไป ในระยะเวลา 6 - 7 ปีที่ผ่านมาข้อมูลจากองค์กรการอาหารและการเกษตรสหประชาชาติได้เคยแจ้งไว้ว่า ประเทศไทยเราอยู่อันดับที่ 48 จากประเทศที่ทำการเกษตรทั้งโลก แต่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า รวมทั้งฮอร์โมน อยู่ในดันดับที่ 4 - 5 ของโลก นี่เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ! มากนะครับ เพราะอยู่เราในอันดับต้น ๆ ที่ใช้สารเคมีที่เป็นอันตราย จนนำมาซึ่งปัญหาทางสาธารณสุขอย่างมากมาย... หรือนี่อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประเทศของเรามีสถิติการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคตับ ติดหนึ่งในห้าโดยรองจากการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้เสียงบประมาณทางการแพทย์และการรักษาตามมาอีกมากมาย กระบวนการผลิตการเกษตรที่ยังคงใช้ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าเชื้อราหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จะทำให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และโครงสร้างดินเสียหายด้วย ทำให้ต้องใช้ปุ๋ยเพิ่มขึ้นแต่ได้ผลผลิตเท่าเดิม และจะต้องใช้ยาฆ่าแมลงหรือสารพิษเหล่านั้นต่อไปเรื่อย ๆ เพราะการที่ระบบนิเวศน์พังทลายลงไปทำให้ขาดภูมิคุ้มกันในการระวังรักษาซึ่งกันและกันเหมือนอย่างเช่นในป่าเขาลำเนาไพร ซึ่งไม่เคยมีใครไปพ่นยา ใส่ปุ๋ย แต่เขาก็สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้ตราบนานเท่านาน เพราะมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น! คิดว่าเราน่าจะหันมาทำให้ระบบนิเวศน์ในสวนของเรามีความสมบูรณ์โดยใช้กลุ่มของจุลินทรีย์ที่ควบคุมเชื้อราโรคพืช และใช้วิธีทำให้พืชสร้างภูมิคุ้มกันและแข็งแรงโดยใช้กลุ่มของหินแร่ภูเขาไฟ มาช่วยน่าจะดีไม่น้อย มนตรี บุญจรัส ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ www.thaigreenagro.com
ไม่มีความเห็น