ที่มาของบันทึกนี้เนื่องจากผมได้อ่านคอลัมน์กาแฟดำในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่เขียนโดยคุณสุทธิชัย หยุ่น หัวข้อ "เราตื่นหรือยัง? เวียดนามมาแรง แซงไทยแล้ว..."
ผมเลยคิดถึงเรื่องที่เราจะเอาลำใย (กี่หมื่นตันก็ไม่ทราบจำไม่ได้แล้ว) ไปแลกกับหัวรถจักรรถไฟ 7 หัว จากประเทศจีน ต่อมาก็ว่าจะไม่เอาลำใยแล้ว เปลี่ยนเป็นข้าวดีกว่าไปแลกหัวรถจักรรถไฟจากจีนเจ้าเก่า ต่อมาไม่นานก็บอกว่าไม่เอาข้าวแล้ว เปลี่ยนเป็นมันสำปะหลังดีกว่า ต่อไปก็ผมเดาไม่ถูกว่าจะเปลี่ยนจากมันสำปะหลังไปเป็นอะไรดี
นี่เป็นความคิดแบบไทยๆ (หรือปล่าว ?) ที่คิดจะซื้อทุกลูก (ไม่ใช่ซื้อลูกเดียว)
ในขณะที่ผมก็พูดบ่อยๆ ตามเว็บบอร์ดและที่ต่างๆ เพราะหาเวทีไม่ได้จนมาถึงที่นี่ ว่าทำไมเราถึงไม่สร้างโรงงานผลิตหัวรถจักรรถไฟ และตู้โดยสารรถไฟเองเสียที ผมมองว่าไม่น่าจะยากเย็นอะไร ทีอาจารย์อาจอง ยังทำเครื่องช่วยลงจอดบนดาวอังคารได้ตั้งหลายปีมาแล้ว
หัวรถจักรรถไฟนี่จะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีเทคโนโลยีที่สลับซับซ้อนอะไร เมื่อเทียบกับเครื่องช่วยลงจอดบนดาวอังคาร ทำไมเรื่องแค่นี้เราจะทำไม่ได้ เรามีสถาบันการศึกษาทางวิศวกรรมชั้นนำมากมาย ที่ต่างก็มี Vision และ Mission สวยหรูว่าจะเป็นที่หนึ่ง ในระดับชาติบ้าง นานาชาติบ้าง
แต่ทำไมเราไม่ทำ (สร้างรถไฟเองทั้งรถดีเซลและรถไฟฟ้า)
มีคำกล่าวของชาวตะวันตกหนึ่งที่ว่า "Ability without opportunity mean nothing" ส่วนชาวตะวันออกนั้นกล่าวว่า "การเดินทางหมื่นลี้ เริ่มจากก้าวแรก" แต่ ณ วันนี้เราก็เสมือนแต่ถอยหลังลงคลอง เพราะเพื่อนๆ ต่างเดินไปข้างหน้ากันหมดแล้ว
ถ้าไม่มีเอกชนใดกล้าลงทุน ทำไมรัฐไม่ลงทุนเสียเอง แล้วเอารถไฟนี้มาใช้กับระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนทั้งหลายของ กทม แล้วก็รถไฟ ของ รฟท
อาจเริ่มจากร่วมทุนกับเจ้าของเทคโนโลยี ในอัตราส่วน 51:49 หรืออัตราส่วนอื่นๆ แล้วระบุ (ใน TOR) เลยว่า รถไฟ (หรือไฟฟ้า) ที่จะใช้ในประเทศไทยต้องใช้ของโรงงานนี้ หรือถ้ามั่นใจก็ลงทุนเอง 100 เปอร์เซ็นต์ก็ยังได้ เหมือนกับมาเลย์เซียที่ผลิตรถโมโนเรลใช้เอง
พูดไปพูดมาชักจะยาวเลยเรื่องเวียตนามไป เรื่องของเรื่องคือว่า เวียตนามมีโรงงานผลิตรถไฟตั้ง 2 โรง
สุดท้ายนี้ ในเมื่อเรายังไม่ได้หัวรถจักรใหม่มา ก็ช่วยกันอย่าให้หัวรถจักรที่มีอยู่พังไปเสียหมด ปัจจุบันมีข่าวรถไฟชนรถบ้างรถชนรถไฟบ้าง เฉลี่ยแล้วประมาณเดือนละครั้ง ถ้าชนในอัตรานี้ต่อไปเรื่อยๆ อีกไม่นานประเทศไทยจะไม่มีรถไฟไว้รับส่งผู้โดยสารหรือสินค้าอีกต่อไป เพราะว่าหัวรถจักรพังหมดแล้ว ฝันที่จะเป็น Hub Logistics ก็จะสลายไป
ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
ขอบคุณที่อ่านครับ
-----------------------------------------------------------------------------
เราตื่นหรือยัง? เวียดนามมาแรง แซงไทยแล้ว...
11 พฤษภาคม 2549 18:25
น.
ผมมีกำหนดจะแวะเวียนไปเมืองจีนกับเวียดนามในเร็ววันนี้
กำลังเก็บข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับสองประเทศเพื่อนบ้านที่น่าติดตามยิ่งอยู่ก็มีข่าวคราวเรื่องเวียดนาม
กลายเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในหลายๆ ด้านขึ้นมา จึงต้องนำมาปูทางเอาไว้ก่อน ก่อนที่จะเจาะลึกลงไปถึงการเมืองและเศรษฐกิจของเวียดนามวันนี้
เวียดนามมาแรงนั้นไม่ใช่ประเด็นใหม่ มีสัญญาณบอกกล่าวมาหลายปีแล้ว เพียงแค่คนไทยไม่ได้ใส่ใจเพียงพอ และผู้นำไทยที่กำลังต้องการจะสร้างภาพว่าเป็น "ผู้นำแห่งภูมิภาค" ด้วยกิจกรรมโฉ่งฉ่างทั้งหลายก็กลบ "ของจริง" ไปหลายเรื่อง
ข่าวจากกระทรวงพาณิชย์บอกว่า การส่งออกของเวียดนามไม่ว่าจะเป็นข้าว, สิ่งทอ, เสื้อผ้าสำเร็จรูป, อาหารทะเล, หรือแม้สินค้าที่ไทยคุยว่าแข็งแกร่งเป็นพิเศษ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ กำลังตามไล่หลังไทยเรามาติดๆ และบางเรื่องก็แซงหน้าไทยไปแล้ว
วันนี้ เขาอาจจะขยับไม่แซง แต่ถ้าดูจากอัตราโตอย่างต่อเนื่องและสภาพ "นิ่ง" ของไทยเราทางด้านนี้, ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปเวียดนามจะกลายเป็นประเทศที่ส่งสินค้าออกได้มากกว่าไทย และเพราะตลาดเกือบจะเหมือนกับไทย, เวียดนามจึงเป็นคู่แข่งที่น่ากลัว
ไม่เพียงแต่เรื่องส่งออกเท่านั้น, การลงทุนจากต่างประเทศก็เป็นอีกด้านหนึ่งที่เวียดนามแข่งกับเรา ล่าสุด ผลการสำรวจประจำปีของ "JETRO" หรือองค์การการค้าต่างประเทศญี่ปุ่นถามความเห็นของนักลงทุนญี่ปุ่นประจำภูมิภาคเอเชียสำหรับปีที่แล้ว ได้ผลออกมาว่าพวกเขาเห็นพ้องว่าเวียดนามเป็นประเทศน่าลงทุนที่กำลังดีวันดีคืน และกำลังจะเทียบได้กับประเทศไทย
ที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งคือนักลงทุนญี่ปุ่นไม่น้อยมองว่าเวียดนามอาจจะเป็น "ทางเลือก" ใหม่สำหรับทดแทนตลาดจีนหากจำเป็นต้อง "กระจายความเสี่ยง"
ขณะที่ไทยอาจจะไม่ถูกจัดอยู่ในหมวดของการที่จะเป็น "แหล่งลงทุนทางเลือก" เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในจีน
ผลสำรวจของเจโทรครั้งนี้น่าสนใจตรงที่ว่านักลงทุนญี่ปุ่น บอกว่า ในบรรดา 6 ประเทศอาเซียน (อินโด, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, ไทย, เวียดนาม) บวกกับอินเดีย นั้น ในระยะยาวแล้ว ไทยกับเวียดนาม จุดหมายปลายทางที่พึงปรารถนาที่สุด
เดิมไทยอยู่เหนือชั้นเวียดนามเพราะความสะดวกหลายด้าน และที่สำคัญประการหนึ่งคือบรรยากาศแห่งเสรีภาพและคล่องแคล่วของสังคมไทย แต่วันนี้ เมื่อการไหลเทของข่าวสารและเสรีภาพของการแสดงความคิดเห็นถูกจำกัดลง จุดแข็งด้านนี้ของไทยก็กลายเป็นเรื่องที่ไม่ได้โดดเด่นกว่าเวียดนามที่ยังปกครองด้วยระบอบการเมืองแบบรวมศูนย์
น่าสนใจว่าในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ก็มีข่าวว่าไทยกับเวียดนามต่างก็เข้าไปแข่งขันในตลาดกัมพูชาอย่างเข้มข้น และสินค้าบริโภคหลายยี่ห้อของเวียดนามนั้น ก็อ้างว่า คุณภาพดีกว่า และที่สำคัญ คือ ถูกกว่า ของไทยอีกด้วย
ประเด็นการแข่งขันระหว่างสินค้าไทยกับเวียดนามในเขมรและลาวนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เพราะการแข่งขันดุเดือดมากยิ่งขึ้น และเพราะเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศรัดตัวมากขึ้น ต้องแย่งตลาดกันในทุกๆ ด้าน, เรื่องของคุณภาพกับราคาระหว่างของไทยกับของเวียดนาม จึงกลายเป็นเรื่องที่เป็นหนามยอกอกไทยเราตลอดมา
ต้องไม่ลืมว่าสินค้าบริโภคไทยเราไม่ได้แข่งแต่เฉพาะกับเวียดนามเท่านั้น แต่เงาทะมึนของสินค้าบริโภคจากประเทศจีน ก็กำลังเป็นภัยคุกคามต่อเราอย่างน่าหวาดหวั่นอีกเช่นกัน
รัฐบาลนี้พูดเรื่อง "ความสามารถในการแข่งขัน" มาหนักหนาแล้ว ถึงกับตั้งคณะกรรมการระดับชาติมีนายกฯ เป็นประธาน...แต่วันนี้ใครต่อใครต่างก็พุ่งแรงแซงหน้าเราไปเสียแล้ว
วันหน้า ยังมีข้อมูลและแนวทางวิเคราะห์ "ความสามารถในการแข่งขัน" ของไทยเรากับเพื่อนบ้านอีกหลายด้านที่จะมาเล่าสู่กันฟังในคอลัมน์นี้
ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/2006/05/17/u001_103092.php?news_id=103092
งานใหญ่แบบนี้ ผมคงต้องทำเป็นนโยบายของประเทศเกี่ยวกับการพัฒนาด้านต่างๆ นะครับ
ผมว่า ที่ผ่านมา ทางคณะผู้บริหารหรือคณะที่เกี่ยวข้องกับการวางนโยบายด้านนี้ ยังไม่เห็นความสำคัญในการมีเทคโนโลยีการผลิตยานยนต์เป็นของตัวเอง
เรื่องเทคโนโลยีในการผลิตยานยนต์ ถ้าเราคิดจะทำเอง
คงจำเป็นต้องลงทุนซื้อเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ แล้วคงต้องศึกษารายละเอียดของชิ้นส่วนทุกชิ้นซะก่อน ไม่ใช่แม้กระทั่งแท่นเครื่อง (Chasis) เท่านั้น แม้แต่การผลิตน๊อต ตัวเล็กๆ ซักตัว ก็ต้องมีเทคโนโลยีของมัน.
ผมว่า ถ้าลงทุนซื้อเทคโนโลยีของเขาไปก่อน แล้วมาพัฒนาไปเป็นของตัวเองทีหลัง อาจจะทำให้สามารถย่นระยะช่องว่าง จากเทคโนโลยีของเขาได้มากขึ้นดีกว่าไปเริ่มต้นจากศูนย์
เมื่อเราซื้อเทคโนโลยีของเขามาแล้ว เขาก็จะต้องถ่ายทอดความรู้ของเขาในส่วนที่เราซื้อ มาให้เราทั้งหมด ไม่ปิดบัง มีการส่งทีมงานมาฝึกบุคลากรให้เราอย่างมีประสิทธิภาพ เราจะรู้ความลับของการผลิตทุกชิ้นส่วน หลังจากนั้นเราสามารถพัฒนามาเป็นเทคโนโลยีของตัวเองได้ครับ
เรื่องแบบนี้ต้องใช้งบประมาณมาก แต่ผมเห็นด้วยว่าควรจะต้องเร่งลงมือทำครับ
----------------------------------------------------------------
ที่ชั้นเรียนผม มีเพื่อนเวียดนามสี่ห้าคนครับ ทุกคนขยัน ในใจลึกๆ ผมถือว่าพวกเขาว่าเป็นมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพมาก...... หันมามองเด็กไทยแล้วรู้สึกหดหู่มากเลยครับ
บางประเทศที่เรามักจะคิดกันว่า พวกเขาล้าหลังประเทศของเรา
แต่ความเป็นจริงจะไม่ปรากฎ ถ้าเรายังไม่ออกนอกกะลา เราก็จะไม่ทราบความจริง ที่มักชอบดูถูกเพื่อนบ้าน
จากประสบการณ์ที่ผม เรียนที่ อินโดนีเซีย มาสองปี ผมพบว่ากิจการรถไฟสายหลักในประเทศอินโดนีเซีย พัฒนาไปมากกว่าบ้านเรามากนัก
กิจการของเขาอยู่ในรูปแบบที่ หลายบริษัทที่มาลงทุนหรือเป็นเจ้าของขบวนรถไฟ และระบบรถไฟของเขาก็มีหลายแบบมากกว่าที่เมืองไทย
เมื่อตัวรถไฟเข้าสู่เขตของนคร Jakarta ระบบรางสายหลักจะยกขึ้นเหนือพื้นดิน ไม่มีการตัดผ่านกับถนน ซึ่งเขาสร้างแบบนี้มาเป็นสิบปีแล้ว
เรื่องระบบรางลอยไฟของรถไฟ คงอีกหลายปีจะเกิดในเมืองไทย
และผังเมืองของนคร Jakarta ดีกว่า Bangkok มากมายนักครับ
เป็น KM แบบ บ่น ๆ ที่ได้เรื่องได้ราวเลยครับ มันส์...ครับ
เรียนคุณเปมิช
บ่นดังๆ...และลงมือทำ
ร่วมด้วยช่วยกัน..
กอบกู้...ไทยเรา...
เป็นแนวร่วมอีกคนคะ...
ขอบคุณครับ
ผมก็ไม่รู้จะไปบ่นที่เวทีไหนครับ เคยไปเสนอไอเดียบางอย่างที่ศาลากลางจังหวัด ในคราวประชุมทำแผนพัฒนาจังหวัด เมื่อประมาณปีที่แล้ว แต่ไม่มีใครสนใจเลยครับ โบ้ยให้ไปกลุ่มโน้นกลุ่มนี้ ทำไปทำมาผม Present ไปแทบทุก Focus Group แต่ก็ไม่มีใครสนใจ
ผู้เข้าร่วมทำแผนพัฒนาจังหวัดเป็นตัวแทนจากทุกกระทรวงที่มีเจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดเลยครับ เช่นงานที่เกี่ยวกับถนน ภาษี ฯลฯ
ที่จริงเรื่องที่ผมเสนออยู่ในวิสัยที่ผู้ว่า CEO จะสั่งการหรือผลักดันได้ แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายครับไม่มีใครสนใจเลย
ประสบการณ์คร้งนั้นทำให้ผมพบเลยว่าเจ้าหน้าที่บ้านเราจำนวนมาก
นี่น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งในจำนวนหลายสาเหตุที่ทำให้บ้านเราแทบไม่มีการพัฒนาอะไรขึ้นมาเลย อยู่ไปวันวันเท่านั้นเอง
ศีลธรรมกลับมา โลกาสงบเย็น (พระท่านพูดบ่อยๆ ตอนผมเป็นเด็ก)
เรามาช่วยสวดมนต์ และแผ่เมตตา เพื่อชาติกันเถอะครับ ชวนลูก หลาน เด็กๆ มาร่วมด้วยก็จะดีมาก เพราะผมเองก็ไม่รู้จะช่วยชาติด้วยวิธีไหนอีกแล้ว
แต่ผลกรรมก็ตกกะนักเรียน
พอนักเรียนชุดนี้ออกมาสู่ตลาดแรงงาน
ก็เป็นแรงงานด้อยคุณภาพ
คงไม่แปลกใจหรอครับ
ว่าทำไมเวียดนามถึงแซงบ้านเราเรื่องคนในตอนนี้
ยิ่งการปฎิรูปการศึกษาตั้งแต่การล้มมาจากวิกฤติต้มยำกุ้ง
และต้นทุนการศึกษาที่ทำไม ต้องจ่ายมากกว่าเดิม
ส่วนอื่นๆ ที่ว่า ทำไมบ้านเราอุตสาหกรรมต้นน้ำเกิดแบบพิกล ๆ
ที่มีมาอย่างไรว่างๆ คงจะมาร่ายต่อ
พร้อมกับเรื่องการศึกษา แล้วก็รถไฟ ในลำดับต่อไป นะครับ
ป๋าเปมิช
ณัฐ
ผมมีความคิดเห็นคล้ายๆ กับคุณ natt เรื่อง ปฎิรูปการศึกษาในเมืองไทย หัวข้อแบบนี้ ช่วยร่ายกันยาวๆ หน่อยนะครับ (ตั้งแต่ระดับหัวถึงหาง บนลงล่าง ทั้งนอกและใน ที่ลับและที่แจ้ง; แต่อย่าเลยครับ ผมพูดเล่นน่ะ เดี๋ยวจะกระทบกระทั่งคนอื่นครับ อิอิ)
ทั้งๆ ที่ผมทำงานด้านการสอนอยู่ แต่จนทุกวันตอนนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ เรื่องปฎิรูปการศึกษาในเมืองไทย ซะเท่าไหร่เลยครับ เพราะมันซับซ้อนเกินความสามารถของผมที่จะเข้าใจ และก็เนื้อหาที่แท้จริงคงรู้กันอยู่ในเฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น
ผมเข้าใจอย่างเดียวว่า รู้สึกเป็นห่วงเหลือเกินที่มีคนในแวดวงการศึกษาพูดคำว่า ตลาดวิชา หรือคำอื่นๆ ที่พยายามเชื่อมโยงการบริหารการศึกษาให้เป็นไปในเชิงพาณิชย์
ผมคาดว่าอีกไม่นานหรอกครับวัฒนาธรรมขององค์กรด้านการศึกษา กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกถึงหน้าที่การงานของคนในองค์กรการศึกษาก็จะเปลียนไปด้วยเช่นกัน
ใช่หรือเปล่าครับ ? ผมคงต้องถามผู้บริหารกันมั๊งครับว่า กำลังคิดอะไรกันอยู่เอ่ย
ห่วงจังเลยว่าต่อไปลูกๆ ของผม (แต่ตอนนี้ยังโสดอยู่ครับ) คงต้องเสียค่าเทอมเพิ่มมากขึ้น โดยที่ไม่คุ้มค่ากับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับมาแน่เลย สงสารคุณคุณผู้น้อยบ้างเถอะครับ
อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจวันนี้ได้ความว่า
โครงการ Barter Trade ล่าสุด 3 โครงการได้แก่
1 โรงงานยาสูบครบวงจร 15,000 ล้านบาท (จีน)
2 หัวรถจักรรถไฟ 700 ล้านบาท (จีน)
3 ปืนใหญ่ 800 ล้านบาท (ฝรั่งเศส)
ทั้ง 3 โครงการข้างต้นจะใช้ข้าวไปแลก
ผู้มีอำนาจวาสนาบารมีทั้งหลายในประเทศสาระขันเขาคิดว่าบุหรี่จำเป็นต่อประชาชนมากกว่าการคมนาคมขนส่งผู้โดยสาร การขนส่งสินค้า การประหยัดพลังงาน ปัญหามลภาวะ คุณภาพชีวิตและความปลอดภัยในการใช้ถนน
จากป๋า เปมิศ
พูดว่า “สุดท้ายนี้
ใครพอจะทราบบ้างว่ารัฐบาลจะเอายังไงกับ หัวรถจักรรถไฟทั้ง 7
คัน”
เรื่องนี้ยังคาราคาซัง ที่ กระทรวงเกษตร
เพราะรอเอาข้าวไปแลกอยู่
ป๊หน้าโน้นมั้ง เพราะ ท่าน รมต .ตอนนี้ ไม่ว่าง ลานหมด
เลยหยุดไข
และเรื่องโควต้าข้าวเนี่ย ใครได้ ใครเสีย งดออกความเห็น
กัวสมอง มีตะกั่วเป็นก้อนวิ่งผ่าน หรือฝังใน
เรื่องงบ ในกระทรวง คมนาคม ป๋า กรุณาไปหาที่นี่เ้ด้อคับ
http://portal.mot.go.th/
หลังจากอ่านแล้ว ระบบ ราง ได้งบแค่ 1 ในสิบส่วน ของกรมทาง
แต่หนี้ที่เกิดจากการให้บริการสาธาราณะ
และงบผูกพันที่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จ บำนาญ
ของข้าราชกากรการรถไฟ ปีนึงเกือบ 2000 ล้านอีกต่างหาก
(ค่าบริการสาธาราณะ คือค่่าน้ำมันเนี่ย
กับการปรับค่าโดยสารที่ดองเค็มจนหาทางออกแบบศรีธนชัย
คือหารายได้จากค่าธรรมเนียมรถโดยสาร สาเหตุที่ทำอะไร
ไม่ได้ด้วยตัวเอง
ต้องไปอ่านที่ พรบ.การรถไฟ ที่ออกมาตั้งแต่ก่อน ปี2500 กะหลัง 2500
นิดหน่อย
ผู้มีอำนาจเสนอคือบอรด์ เสอนผ่าน รมต คมนาคม
และครมต้องอนุมัติจึงจะได้ขึ้นราคาค่าโดยสาร
ส่วนค่าธรรมเนียม เป็นเรื่องแค่ระดับบอรด์ เสนอ รมต.)
ครานี้ต้นทุนรายได้มันเพี้ยน
เลยผลกระทบในเรื่องที่ต้องจ่ายตรงตามระเบียบราชการ
มันเลยเป็นเรื่อง งมหาทางออก มะล่าย
ส่วนเรื่องการจัดสร้างโรงงานผลิตรถไฟ ทางกระทรวงอุต ฯ
เคยหาวิธีเมื่อปี 2548
จะทำคัสเตอร์เมื่อโครงการโมเดิรน์ไนซ์ ไทยแลนด์ โดย เมกะโปรเจค
รถไฟฟ้า
เป็นโครงการนำร่อง
ทำไมไมนักลงทุนเรื่องรถไฟ หรือรถไฟฟ้า
มองแล้วจะลงทุนในบ้านเราหรือไม่
เพราะ ปัญหา ในเรื่องระบบราง ที่บ้านเราโตแบบเดี้ยงๆ
ตราบใดที่ไม่มีการผลักดันอย่างจริงๆ จังๆ
ถ้าเป็นพี่จะควักตัง มาลงเนี่ย คงไม่ลืมเรื่องชิวๆชิวๆแบบนี้ง่า
อย่างแรก มาตรการจูงใจที่จะมาลงทุน
อย่างที่สอง แหล่งวัตถุดิบ
อย่างที่สาม อุตสาหกรรมต่อเนื่อง
อย่างที่สี่
ระบบสาธรณูปโภคพื้นฐาน
อย่างที่ห้า การเติบโตทางการตลาด
อย่างที่หก คน
มองแล้วป๋าเปมิศ ว่ามันหมูไหม เนี่ย
ต่อให้มีหมื่นล้านก้อเหอะ
เพราะแค่โรงงานทำเครื่องยนต์อย่างน้อยต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 700-1000
ล้านแย้ว
ไม่รวมโรงงานประกอบขึ้นรูป ขึ้หมูขี้หมา ก้อใช้ตังราวๆ 1500-3000 ล้าน
ง่า
คราวนี้เอาเรื่องวัตถุดิบก่อน
โรงงานผลิตอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำในประเทศ เกิดมาจากช่วงปี
2532-2535
และเดี้ยงตามภาวะต้มยำกุ้งมะใช่หรือ ตอนนี้บางรายยังแก้ปัญหา
ตัดผม(Hair cut) หนี้เดิม
ยังบ่แล้วบ่สิ้นและนโยบายในการที่ผลิตเหล็กที่เกิดจากการหลอม
ที่ต้องใช้สินแร่และเศษเหล็ก
(บ้านเรามีแหล่งแร่พอไหมในที่มีระยะยืนได้ด้วยตัวเองไม่น้อยกว่า 50
ปี)
ถ้าเรื่มจะผลิตเหล็กที่ใช้ในงานที่เกี่ยวกับ รถไฟ
และเครื่องยนต์
ที่เป็นเหล็กชนิดพิเศษ พอทำได้ ณ เพลานี้
ยังมะมีโรงงานผลิตประกอบเครื่องยนต์ในบ้านเราเลย
พอมีการผลิตเหล็กชนิดที่ว่าเนี่ย เริ่มทำได้คือ 2550-2552
เป็นต้นไปหละป๋า
ถ้าเอาชิ้นส่วนมาประกอบ
การสร้างมูลค่าเพิ่มและเทคโนโลยี่ยังถึงจะเกิดมะใช่หรือ
อานิสงค์ มันถึงจะมาที่เรื่องการสร้างคนมารองรับและการเรียนรู้
อะ
ตอนต่อไปมาบ่นเรื่อง แหล่งวัตถุดิบ กะอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
ในทางดิ่งต่อ อะป๋า
วันนี้ขอปั่นการบ้านส่งเจ้านายก่อนคับ
natt