ปิดหู...ปิดตา...ปิดปาก...แล้วเปิดใจกันบ้างได้ไหม?


ควรฝึกความอดทน อดกลั้น ฝึกรอคอย ซึ่งข้อดีประการหนึ่งคือ ทำให้อารมณ์โกรธที่ครุกรุ่นเจือจางและเย็นลง ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ สว่างชัดขึ้น

การอยู่รวมกันในสังคม…”มนุษย์” ย่อมหลีกหนีไม่พ้นปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของการอยู่รวมกับผู้คนในชนหมู่มาก และเป็นเรื่องธรรมดาหากความขัดแย้งนั้นอยู่ในระดับที่สังคมรับได้ ความขัดแย้งมีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ทั้งในระดับน้อยไปจนถึงระดับมาก ความขัดแย้งในระดับน้อยอาจเริ่มจากการใช้คำพูดด่าทอต่อว่ากัน รุนแรงขึ้นก็ลงไม้ลงมือ ทำร้ายร่างกายกัน กระทั่งหันไปพึ่งเครื่องมืออาวุธเข้าต่อสู้ประหัดประหารกัน ความขัดแย้งไม่ว่าอยู่ในระดับใดย่อมมีที่มาหรือสาเหตุเสมอ

คุณเชื่อไหม?…ปัญหาความขัดแย้งส่วนใหญ่ เกิดจากประสาทสัมผัสของมนุษย์ กล่าวคือเมื่อหู ตา จมูก ปาก ลิ้น กาย และใจ ไปกระทบกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ไม่น่าภิรมย์-ยินดี ก็จะส่งผลให้มนุษย์แสดงปฏิกิริยาสนองตอบในทางลบหรือในความเสื่อมต่อตนเองและ ผู้อื่น เช่น แสดงอาการโกรธ เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวที่กระเทือนใจไม่ปราถนาที่จะรับรู้ แสดงอาการเกลียด เพราะเห็นภาพบาดตาบาดใจ แสดงอาการน้อยใจ เพราะเกิดมีปากเสียงกับเพื่อนรัก การแสดงปฏิกิริยาเหล่านี้มักทำให้ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความรู้สึกของเราเศร้าหมอง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ และหากปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับสมาชิกคนใดคนหนึ่งในครอบครัว ย่อมส่งผลกระทบต่อสมาชิกทั้งหมดในครอบครัว เพราะนี่คือ “ปัญหาครอบครัว”

“ครอบครัว”…เป็นสถาบันแรกในการพัฒนาบุคคลที่มีคุณภาพสู่ชุมชน และสังคม เมื่อนำครอบครัวมาเชื่อมโยงกับประสาทสัมผัส เราผู้เป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัว เมื่อได้เห็นหรือรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่ไม่ดีไม่งามหรือไม่เหมาะไม่ควรของสมาชิกครอบครัว ขั้นแรก ควรฝึกปิดหู ปิดตา และปิดปากให้เป็นก่อน ทำเสมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่รู้ ไม่เห็น และไม่พูด จากนั้น ค่อยเริ่มวิเคราะห์พิจารณาเรื่องราว แต่อย่าเพิ่งด่วนสรุปความตามความเชื่ออย่างงมงายของตน โดยที่ยังไม่ได้ใช้ปัญญาพิจารณาก่อน (กาลามสูตร) กระทั่งอย่าเพิ่งกล่าววาจาที่ไม่สุภาพมาทำร้ายจิตใจกัน เพราะเท่ากับเป็นการเริ่มต้นจุดฉนวนความขัดแย้งให้เพิ่มความรุนแรงขึ้น

เมื่อฝึกปิดหู ปิดตา ปิดปากได้แล้ว ทีนี้ก็เริ่ม “เปิดใจ” ควบคู่กับการรู้จักอดทน อดกลั้น รอคอย และแสวงหาโอกาสหรือจังหวะที่เหมาะสม กล่าวคือเมื่อปัญหาเกิดขึ้นในครอบครัว เราควรฝึกความอดทน อดกลั้น ฝึกรอคอย ซึ่งข้อดีประการหนึ่งคือ ทำให้อารมณ์โกรธที่ครุกรุ่นเจือจางและเย็นลง ทำให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ สว่างชัดขึ้น และเมื่อรู้ว่าตัวปัญหาคืออะไร และแนวโน้มจะพัฒนาไปในทิศทางใดแล้ว ขั้นต่อมาก็ควรเริ่มแสวงหาโอกาสหรือจังหวะที่เหมาะสม เพื่อ “เปิดใจ” พูดคุยกันอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา ไม่ปกปิดหรือซ่อนเร้น และที่สำคัญต้องมีความจริงใจต่อกัน เพราะแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์ทุกผู้ทุกนามล้วนนิยมชมชอบความจริงใจด้วยกันทั้งนั้น และความจริงใจนี่เองที่นำมาซึ่งความเข้าใจกันและกัน

ทั้งนี้ หากปัญหานั้นไม่ได้กระทบกระเทือนกาย-ใจ หรือเป็นปัญหาที่เรารับได้ในระดับหนึ่ง ก็ควรลืม ๆ และทิ้งมันไปเสียบ้าง และสิ่งสำคัญประการหนึ่งหากมีปัญหาใหม่เข้ามา อย่าพยายามนำปัญหาเดิมมาเชื่อมโยงกับปัญหาใหม่ ซึ่งเท่ากับเป็นการต่อยอดเพิ่มปัญหาให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น จึงมองว่าจะขาดทุนมากกว่าได้กำไร ฉะนั้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วก็ควรฝึกปิดหู ปิดตา ปิดปาก และฝึกเปิดใจ รู้จักอดทน รอคอยโอกาสหรือจังหวะที่เหมาะสม เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกัน ซึ่งถือเป็นแนวทางหนึ่งในการป้องกันและแก้ปัญหาความขัดแย้งในครอบครัวให้ทุเลาเบาบางลง

หมายเลขบันทึก: 289786เขียนเมื่อ 21 สิงหาคม 2009 17:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (39)

เปิดหู เปิดตา ก็ได้ แต่ปิดปาก และเปิดใจ

 

 

เป็นของฝากจากวัดแค สุพรรณบุรี ครับ

Img_4991

  • แต่ละภาพน่ารักมาก ๆ ค่ะ
  • อ่านแล้วใจเย็นเลยค่ะ
  • ให้ข้อคิดดีมาก ๆ
  • Thank you very much ka.

ขอบคุณ...คุณ "ครู ป.1" ค่ะ...ที่เข้ามาทักทาย

"เปิดหู เปิดตา ก็ได้ แต่ปิดปาก และเปิดใจ"

ขอบคุณ...ท่าน "ผอ.ประจักษ์" สำหรับขอบฝากจากวัดแค

เข้าไปอ่านบันทึกท่านและได้ทิ้งรอยไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ

วัดแค...อากาศร่มรื่นมาก...ชอบต้นมะขามใหญ่มากค่ะ

-------------

ขอบคุณค่ะ

ขอบคุณ..."ครูโต๊" ค่ะ

ดีใจค่ะที่ครูโต๊ใจเย็น...อย่าใจร้อนนะคะ...สงสารเด็ก (ยิ้มๆ)

-----------

รักษาสุขภาพนะคะ...เป็นกำลังใจให้ค่ะ

อยากจะเปิดใจอยู่เหมือนกัน แต่หาใจไม่เจอครับ

สวัสดีค่ะ...คุณ "small man"

อ้อ!! ท่าน "small man" ใจหาย...แต่ตอนนี้กำลังประชุมเพื่อ "ทัมใจ" กันอยู่

----------------

ขอบคุณมากค่ะ

คนเราชอบเอาเรื่องต่างที่ผ่านทาง ตาหูจมูกลิ้นกายมารวมไว้ที่ใจ

แต่ที่แปลกดันนับสิ่งไม่ดีมาเก็บไว้นี่สิมนุษย์หนอบอกว่าอยากมีสุข..

ไม่เข้าใจจิงๆ..

เจ็บหัวเหม็ดเหนาะอาจารย์...

นมัสการค่ะ...หลวงพี่

จริงค่ะ..ที่ว่ามนุษย์ชอบเก็บ ชอบจด ชอบจำแต่สิ่งไม่ดี...แต่บอกว่าอยากมีความสุข

ทั้ง ๆ ที่สิ่งไม่ดีเหล่านี้...ทำให้เราเป็นทุกข์...และก็รู้อีกว่าทำให้ทุกข์...แต่ก็ยังวิ่งเข้าหา

ไม่เข้าใจจิงๆ...เจ็บหัวเหม็ดแลว

--------------

ขอบพระคุณค่ะ...ธรรมะจรรโลงใจ

โอยให้คติเตือนใจดีมากเลยคะ คนเราถ้าเอาแต่ใจตนเอง ไม่ระวังคำพูดและการกระทำ ในขณะที่มีอารมณ์รุนแรงกัน ย่อมจะทำให้เกิดความเสียหาย และเมื่อหายโกรธแล้วก็มาเสียใจกันภายหลัง มองหน้ากันไม่ติด ประสานกันคืนไม่ได้

ฉะนั้นสิ่งใดถ้าพออภัยให้กันได้ ก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เห็น หรือไม่ก็เอาหูไปนา  เอาตาไปไร่  ทุกอย่างก็จะจบลงได้ด้วยดี

ฉะนั้น การใช้ชีวิต บางครั้งมันก็ไม่ได้ดั่งใจ  จึงต้องปิดหู ปิดตา ปิดปาก แต่ต้องเปิดใจ แล้วจะคบกันได้นาน เช่นเพื่อน หรือครอบครัว ไม่ว่า สามีหรือภรรยา แม้แต่ลูกๆ

ขอบคุณคะที่สรรหามาเตือนใจเตือนสติกัน

และขอขอบคุณที่เข้าไปเยี่ยม ฤดูกาลที่เปลี่ยนผันของสุคะ

                              บาย บายคะ

คนเราต้องนิ่งและอยู่กับปัจจุบันขณะ ตัดสิ่งที่จะกระทบกับประสาททั้ง5 ไว้อย่างมีสติ ระลึกพร้อม งามสงบ ใจ และกาย สาธุ สวัสดีครับ

สวัสดีครับคุณVij

  • ขอบคุณมากๆนะครับที่แวะ ไปเยี่ยม ไปทักทาย
  • การอยู่ร่วมกันด้วยเหตุผล  สามารถลดความขัดแย้งลงได้ครับ
  • โชคดีนะครับ

คุณ "สุ" ขา (ให้คุณ "สุ" อยู่ในเครื่องหมายคำพูดค่ะ...ไม่งั้นความหมายเปลี่ยนเลย)

ขอบคุณมากค่ะ สำหรับการเติมเต็ม...

เอาหูไปนาไม่เป็นไรค่ะ...แต่อย่าเอาตาไปไร่เลย...สงสารท่าน (อากาศร้อน)

เดี๋ยวจะเป็นลมแดด...ยิ้มๆ ค่ะ

----------------

ขอบคุณมากค่ะ

ขอบคุณ "อาจารย์กู้เกียรติ" ค่ะ

ข้อคิดดีจังค่ะ...

"ตัดสิ่งที่จะกระทบกับประสาททั้ง5 ไว้อย่างมีสติ ระลึกพร้อม งามสงบ ใจ และกาย"

--------------

สาธุ

ขออนุญาตต่อยอดนะคะ...

"อยู่อย่างมีเหตุผล"...เหตุผลของคน...มีร้อยแปดพันประการ ที่จะมาเอ่ยอ้าง...ให้ตัวเองดูดี

หากเป็นเช่นนั้น...เราจะอยู่อย่าง "เข้าใจกัน" ดีกว่าไหมค่ะ...เพราะอย่างไรก็เข้าใจ...อภัยให้เสมอ

---------------

ขอบคุณมากค่ะ...มิตรภาพค่ะ...(เีรียนรู้...ต่อยอด)

คนเรา เเท้จริงไม่มีอะไรเป็นของตนเองเลย แม้เเต่รางกาย ยึมและอาศัยเขาทั้งสิ้น

เหตุการณ์ต่างๆ ล้วนผ่านมาและผ่านไป

นิ่งและสงบให้ได้ แล้วสิ่งต่างๆก็จะผ่านไปค่ะ

หายใจลึกๆไว้ค่ะ

สุข ทุกข์ ล้วนอยู่ที่ใจ

จริงอย่างว่า่ค่ะ...สุดท้ายตายแล้วก็ลงดิน...ทุกคน

ขอบคุณมากค่ะ...อาจารย์กู้เกียรติ

ฮ้าย!! โล่งสบายบอดค่ะ...ขอบคุณค่ะ...คุณ "ใบบุญ" (ยิ้มๆๆ)

-----------------

ระลึกถึงเสมอค่ะ

มันทำใจได้ยากเหลือเกินครับ

สวัสดีค่ะ...คุณ "encore"

ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนฝึกปฏิบัติค่ะ...ไม่มีอะไรอยู่เหนือความพยายาม

บางคนเมื่อโกรธสามีหรือสมาชิกในบ้าน เขาจะใช้วิธีการ...ขีด ๆ เขียน ๆ ไว้ในสมุดบันทึก

เพื่อเป็นการระบายความโกรธแค้น...วิธีการเช่นนี้ก็ทำให้อารมณ์เย็นขึ้นได้ค่ะ...

-----------------

ขอบคุณนะคะ

สวัสดีค่ะ

  • ทุกคนไม่มีใครไม่ผ่านปัญหาอุปสรรค
  • แต่การบำบัดจิต..ขึ้อยู่กับจริตของแต่ละคนนะคะ
  • ขอขอบพระคุณสำหรับบันทึกนี้ค่ะ

ขอบคุณ..."ครูคิม" ค่ะ

"การบำบัดจิต...ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคน"

บางครั้ง...ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงแห่งทุกข์ มักมืดปอดค่ะ

หาทางออกแห่งชีวิตไม่เจอ...ก็แก้ไขปัญหากันไปตามจริตแห่งตน

------------------

หากแต่มีใครสักคนยามที่เรามืดบอด...ช่วยแนะแนวทาง คอยให้กำลังใจ

เราผู้มืดบอด...ก็คงไม่ต้องตกหลุมพรางแห่งความคิดตน...

------------------

แท้ที่จริงแล้ว ผู้ให้คำปรึกษาเป็นเพียงผู้แนะแนวทาง...เราเป็นเพียงมือหนึ่งที่คอยประคับประคองไม่ให้ล้ม ดึงเพื่อให้ลุกเดินไหว...ส่วนจะเดินไปทางไหนหรือไม่อย่างไรนั้น...

แล้วแต่จริตของแต่ละคนค่ะ

------------------

ขอบคุณ..."ครูคิม" สำหรับการเปิดประเด็นต่อยอดค่ะ

ขอบคุณกับข้อคิดดีๆ..ตามมาอ่านค่ะ..ยายธี...สวัสดี..(ขอให้โชคดีและอยู่เย็นเป็นสุข)

สวัสดีจ้าาาาา..."ยายธี" เข้ามาก็ไม่เคาะประตูก่อนยานนิ

มาอวยพรเสร็จแล้วก็หันกลับกลับทันที...หนูรึก็ไม่ทันได้หันมาดูหน้า

พอหันไปอีกที อ้าว!! ยายธี...หันหลังให้อีกแล้ว...เป็นอย่างนี้เรื่อยเลยนะยายนะ

ฝนตกอากาศเปลี่ยน...ใจไม่เปลี่ยนตามก็โอเช...ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ...

ผมว่า เราใช้หน้าต่างโจหน้าต่างโจฮารีก็ดีมากสำหรับการอยู่รวมกันทางสังคม

( Johari Window)

“หน้าต่างโจฮารี” ได้รับการขนานนามตามชื่อผู้คิดค้นทฤษฎี คือ โจเซฟ ลุฟท์ (Joseph Luft) และ แฮรี่ อินแกม (Harry Ingham) ทั้งสองได้จัดคุณลักษณะของแต่ละบุคคลออกเป็น 4 ส่วนหรือ หน้าต่าง 4 บานดังนี้

1.พื้นที่สาธารณะหรือเปิด

2.พื้นที่ลับหรือซ่อนเร้น

3.พื้นที่บอดหรืออึดอัด

4.พื้นที่มืดหรือไม่รู้

http://gotoknow.org/file/surutchai/1221552564.gif

•พื้นที่สาธารณะ : เป็นพื้นที่ที่ตนเองและผู้อื่นรู้ซึ่งจะเรียกว่าเป็น “พื้นที่เปิด” พฤติกรรมที่แสดงออกในพื้นที่นี้ไม่จำเป็นต้องมีการปกป้องตนเอง ซึ่งจะรู้จักคุ้นเคยทั้งตนเองและผู้อื่นรอบข้าง เช่น ความมีหน้ามีตาในสังคม เป็นต้น

•พื้นที่ลับ : ได้แก่ พื้นที่ที่คนนั้นรู้จักตนเอง แต่ผู้อื่นไม่รู้ ซึ่งจะเรียกว่า “พื้นที่ซ่อนเร้น” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทุกคนจะเก็บเป็นความลับเพราะกลัวว่าผู้อื่นจะทำการโต้ตอบ ความลับนี้มักเป็นเรื่องของความรู้สึก เจตคติ และพฤติกรรม

•พื้นที่บอด : ได้แก่พื้นที่ของคนๆ นั้น ที่คนอื่นรู้จักแต่ตนเองไม่รู้ ซึ่งเป็นพื้นที่บอดสำหรับตนเอง เพราะคนอื่นอาจจะไม่บอกกล่าวให้เจ้าตัวรู้ เพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจและเรียกพื้นที่นี้อีกอย่างหนึ่งว่า พื้นที่กลิ่นไม่สะอาด

•พื้นที่มืด : เป็นพื้นที่ที่ตนเองไม่รู้และผู้อื่นก็ไม่รู้ แต่เป็นที่บรรจุขีดความสามารถและความถนัดต่างๆ ที่ยังไม่ค้นพบ และยังไม่เป็นที่รู้จัก ซึ่งเรียกพื้นที่นี้ว่า “อนาคต” หรือ “ไม่ค้นพบ” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “พื้นที่ไม่ทราบ”

จะพบว่าถ้าคนในองค์กร หรือคนที่ท่านมีปฎิสัมพันธ์ด้วนมี จะทำให้ท่านรู้สึกไม่รู้จักเขาเลย หรือรู้จกก็เพียงนิดเดียว ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเขาไม่จริงใจ อึดอัด ไม่สบายใจ ไม่ทราบว่าเขาคิดหรือต้องการอะไร ทำให้ทำงานด้วยกันลำบาก โดยจะมีลักษณะของหน้าโจฮารี ที่มีพื้นที่สาธารณะเปิดเพียงเล็กน้อย มีแต่พื้นที่ลับ บอด และมืด

ซึ่งแตกต่างจากรูปที่ 3 จะเป็นคนที่เปิดเผย จริงใจ มีปฏิสัมพันธ์ด้วยจะรู้สึกสบายใจ น่าคบหา พูดคุย มีอะไรจะปรึกษาหารือกัน รู้ว่าต้องการอะไร คาดหวังอย่างไร หรือคิดอะไร แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปิดเผยทั้งหมด เพราะเขายังมีส่วนที่เป็นความลับที่ไม่ต้องการจะบอก และมีส่วนที่บอดและมีส่วนที่มืดเช่นกัน

นอกจากนั้นคนที่มีลักษณะของหน้าต่างโจฮารีดังรูปที่ 3 จะเป็นคนที่สามารถจะพัฒนาเองได้ดี รู้จักจุดแข็ง จุดอ่อนของตนเองได้จากการที่มีคนชี้แนะให้คำปรึกษาได้รับข้อมูลต่างๆ มากมาย ที่จะนำมาใช้ในการเข้าใจตนเอง และพัฒนาตนเองได้ในที่สุด

ในทำนองเดี่ยวกันนี้เราสามารถใช้หน้าต่างโจฮารีเป็นกลยุทธ์เพื่อการเจรจาต่อรอง ถ้าท่านรู้ข้อมูลของคู่แข่ง หรือรู้ความต้องการของคู่แข่งมากเท่าไร นั่นก็หมายความว่าท่านได้เปิดพื้นที่ซ่อนเร้นของคู่แข่งและอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการต่อรอง ซึ่งมีโอกาสที่จะชนะ

........................................................

ที่มา : Dr.Armulfo F Itao & Dr.Arzu Rana

ปรับปรุงโดย : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ อรพิณ สันติธีรากุล

                                          ขบวนแห่เทียนพรรษา ที่โคราชปี 2551

                                                                  นำมาฝากค่ะ

                                                

เปิดโลกกว้างไกล

เปิดใจใสสะอาด

เก็บน้ำค้างร้อยมาลัย

เรียงถ้อยคำเป็นบทกวี...อ.ยรรยง แก้วใหญ่ แต่งไว้จ้า..

ขอบพระคุณมากค่ะ...คุณ "สุรัตน์ชัย" Vij เคยบันทึกทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่ (The Johari’s Window) เพื่อให้ตนรู้จักตนมากยิ่งขึ้น ในบันทึกนี้ค่ะ "มาเปิดใจ...เพื่อให้รู้จักตน" ตอนนั้นบันทึกไว้ในปี 49 ค่ะ...ขอบคุณมากนะคะสำหรับรายละเีอียดในการเติมเต็ม...แลกเปลี่ยนเรียนรู้นะคะ...มิตรภาพค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ คุณ "NU 11"...มีลูกลิงปิดหู ปิดตา ปิดปากด้วย

อยากไปดูขบวนแห่งเทียนพรรษาค่ะ...ดูแต่ในทีวี เห็นเขาแกะสลักเทียนสวยงามมาก

คงคล้าย ๆ กับการชักพระที่สงขลา เรือพระสวย ๆ งามวิจิตรด้วยฝีมือคนไทยค่ะ

ขอบคุณจ้า...คุณแม่ "อ้อยเล็" คนสวย ลูกชายหล่อ อิๆๆๆ...การเปิดใจที่ใสสะอาดให้กันเป็นสิ่งที่ดีเนอะ...ไม่เอาอะไร ไม่หวังอะไร มีแต่ให้น้ำใจ...ให้แก่กัน

หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจไปสัมผัส          พาอึดอัดเกิดขัดใจไม่อยากเห็น

ไม่อยากพูดไม่อยากฟังตั้งประเด็น      ไม่อยากเป็นทาสใครให้ชักจูง

ขอบคุณมากค่ะ...ท่าน "วิโรจน์" ยินดีที่ท่านมาเยี่ยมเยียนค่ะ

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ขอบคุณคุณครู vij มากครับที่ช่วยเน้นย้ำเรื่องการจัดการความขัดแย้งในระดับครอบครัว ซึ่งผมก็ใช้บ่อยครับ

  • เวลามีความขุ่นมัวก็เลือกที่จะถอยออกไปดูอารมณ์ตนก่อน แล้วคอยให้เย็นลงจึงจะพูดกัน อันนี้กับภรรยา พอไหว
  • แต่กับลูกนี่ก็ต้องพัฒนาไปอีกระดับหนึ่ง คือ ด้วยความเป็นเด็ก เขาก็ต้องการ "เดี๋ยวนี้"
  • อธิบายให้ฟังก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสาเด็กน่ะครับ
  • อันนี้ พ่อกับแม่ต้องผลัดกันเย็นครับ คือพอคนหนึ่งเริ่มร้อนใส่ลูก อีกคนก็จะคอยเตือน หรือเปลี่ยนกัน เพื่อไม่ให้ลูกตกเป็นผู้รองรับอารมณ์ไม่ดีของเราครับ
  • ดีใจที่ได้มารู้จักนักจิตวิทยาอีกท่าน งานพัฒนาสังคมด้านเด็กและเยาวชนบ้านเรา ยังขาดความรู้เรื่องนี้อยู่มาก ต้องขอความรู้ด้วยนะครับ
  • อนึ่ง รูปลิงน่ารักมาก ผมขออนุญาตก๊อปไปทำสื่อบรรยายเวลามี workshop นะครับ

สวัสดีค่ะคุณ ยอดดอย...ยินดียิ่งค่ะที่ได้รู้จักมิตรใหม่ ดีจังค่ะที่คุณพ่อกับคุณแม่เข้าใจพัฒนาการของลูก การเลี้ยงลูกต้องใจเย็นค่ะ อดทน...นับถือพ่อแม่นะคะที่เลี้ยงเรามาได้จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่...งานที่ยิ่งใหญ่คือการอบรมเลี้ยงดูเด็กสักคนหนึ่งให้เติบโตเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์...ภาระหน้าที่ดังกล่าวคงผลักให้ใครไม่ได้...ผู้รับหน้าที่นี้เต็ม ๆ คงหนีไม่พ้นสถาบัน...พร้อมกันนั้นสถาบันทางสังคมก็ต้องคอยสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่ดี...เพื่อหล่อหลอมให้เด็กเป็นเยาวชนที่สมบูรณ์ต่อไป

ขอบพระคุณมากค่ะสำหรับการ ลปรร.

  • สวัสดีค่ะ น้องVij
  • มาเรียนรู้การปิดหู ปิดปาก  ปิดตา  แล้วเปิดใจ
    พระพุทธเจ้าสอนเรื่องของการสำรวมระวังอินทรีย์ทั้ง ๖
    อายตนะภายในและอายตนะภายนอก  เมื่อกระทบสัมผัส
    ย่อมเกิดเหตุปัจจัยให้ปรุงแต่ง...
  • จงระวังจิตระวังใจของตนให้ดี  ปัญหาจะได้ไม่เกิดนะคะ

ขอบพระคุณมากค่ะพี่ธรรมทิพย์...จดจำใส่ใจค่ะพี่สาว "จงระวังจิตระวังใจของตนให้ดี ปัญหาจะได้ไม่เกิดนะคะ" ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะที่เตือนสติยามเช้า...ใจสำคัญยิ่งค่ะ อะไรที่มากระทบใจมักเกิดปัญหารุนแรงเสมอค่ะ...

พยายามฝึกฝน แต่ก็ยังทำได้ยากอยู่ แต่ก็จะพยายามต่อค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท