เรื่องจากบันทึกที่แล้ว ผมได้เห็นชาวบ้านจำนวนมากนุ่งขาวห่มขาว นั่งสมาธิ เดินจงกรม ทำให้ต้องคิดถึงสิ่งที่เคยเรียนมาเกี่ยวกับ กรรมฐานศึกษา ศาลาพักใจ
กิริยาของการทำสมาธิมี ๔ คือ ยืน เดิน นั่ง และนอน แต่ทั้ง ๔ นั้น มีฐานอยู่อย่างเดียวคือ สติ ตามรู้ ไม่ใช่การควบคุม ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ และเราตามรู้ทุกอย่างที่เป็นไปตามธรรมชาติ
การยืน : มือทั้ง ๒ ปล่อยวางลงนาบลำตัวโดยไม่ต้องเกร็ง หรือถ้าไม่ถนัดก็แล้วแต่อยากจะกุมไว้ข้างหน้าหรือจับไว้ข้างหลัง สิ่งที่ต้องการคือ มีสติ ดู (ภายใน) ลมหายใจเข้าออก ดูกิริยาของธรรมชาติความพองขึ้นและยุบลงของท้อง พิจารณาความเป็นไปของสิ่งนั้น ให้ลึกลงไปอีก พิจารณาความรู้สึกที่กำลังพิจารณาธรรมชาติ : มีสติแบบเบาสบายอยู่เสมอ
การเดิน : คือการดูอาการของการก้าวเท้า แล้วแต่ถนัด ขณะใดยกเท้า ขณะใดกำลังย่าง ขณะใดกำลังแตะถึงพื้น ขณะใดกำลังเหยียบ ฯลฯ จิตใจต้องดูกิริยาอาการและความรู้สึกนั้นๆ
การนั่ง : จริงๆ แล้วจะนั่งแบบไหนก็ได้ ขอให้นั่งแล้วรู้สึกผ่อนคลาย แต่การนั่งที่เขาสอนกันคือ นั่งขัดสมาธิ รู้อาการพองขึ้นและยุบของท้อง
การนอน : นอนแบบไหนก็ได้ แต่ที่เป็นแบบจริงๆ คือตะแคงขวาอย่างมีสติ
แน่นอนที่สุด ช่วงปฏิบัติใหม่ๆ อะไรๆ ก็ติดขัดเสมอ ทำให้นึกถึงนิทานที่เพื่อนเล่าให้ฟัง ลิงตัวหนึ่ง อยู่บนต้นมะพร้าว กำลังฉกเอาลูกมะพร้าวอยู่ ขณะเดียวกันข้างเดินผ่านมและยืนอยู่ใต้โคนมะพร้าว ระหว่างนั้น ลิงคิดอะไรบางอย่างได้ จึงกระโดดลงไปที่หลังช้างและเดินโย่งๆ ไปทางก้นช้าง พร้อมกับข่มขืนกระทำชำเราช้าง ระหว่างที่กำลังทำอยู่นั้น ลูกมะพร้าวหล่นลงบนหัวช้าง ช้างเจ็บจึงร้องออกไปว่า โอ้ยยยยยยย ฝ่ายลิงนึกว่า ตนนั้นแน่นัก จึงบอกออกไปว่า แรกๆ ก็อย่างนี้แหละ.........
ความติดขัดเป็นเรื่องปกติ จริงๆแล้วเมื่อผ่านไปสักหนึ่งสัปดาห์ ผมก็รู้ว่า ผมไม่อยากออกไปจากป่า ผมอยากจะนั่งสมาธิอย่างนั้นตลอดไป แต่มาบัดนี้ เสียดายแท้.....