“ตัวจักรเล็กๆ ที่มีความสำคัญต่อฟันเฟืองทั้งระบบ” “การวิจัย” เป็นการสืบค้นหาความจริงของชุมชนหลายแง่มุมที่ถูกเก็บหมักหมมเอาไว้ ซึ่งในความจริงที่เคลือบแฝงอยู่ในตัวของชุมชนมีความคาดหวังไว้ว่า “วิจัยคือประโยชน์” ที่จะสามารถนำไปสู่การแก้ไขปัญหาและพัฒนาหมู่บ้านอย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้นการสะท้อนทุกถ้อยคำแถลงของชาวบ้าน คือ ว่าเป็น “องค์ความรู้” ที่จะสะท้อนไปให้กับองค์กรที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในเชิงที่ดีขึ้น และน่าจะเกิด “ภาพของความชัดเจน” ขึ้นมาได้
ในฐานะที่ได้สัมผัสและการนำไปสู่การทำวิจัยครั้งนี้ เริ่มต้นที่ไม่เคยที่จะรู้เลยว่า “วิจัยแบบมีส่วนร่วม” นั้นเป็นอย่างไร และเราจะทำงานวิจัยร่วมกับชาวบ้านได้ประสบผลสำเร็จหรือไม่ แต่เมื่อสัมผัสแล้วยิ่งทำให้เกิดความรู้สึก และความเข้าใจในธรรมชาติของชาวบ้านได้อย่างลึกซึ้ง เพราะ “เราได้ความร่วมมือเป็นอย่างดี” จากชุมชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ถ้าหากเราไม่ได้รับความร่วมมือที่ดีเราคงจะไม่สามารถทำงานชิ้นนี้ให้ “สำเร็จลุล่วงได้” จึงน่าขอบคุณในความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมกันทำงานในครั้งนี้
สิ่งที่จะลืมเสียมิได้ คือ “ผู้ประสาทวิชา” ครู อาจารย์ มีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะเป็นผู้เริ่มต้นให้คำแนะนำ คำชี้แนะ จนนำไปสู่ “ความสำเร็จ”
เพราะฉะนั้นทั้งตัว “นักวิจัย” “ครู อาจารย์” “องค์กรเอกชน” หน่วยงานราชการ” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชุมชน” จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำงานแบบประสานกันให้เป็นเหมือนคนคนเดียวกัน หาก “จุดหรือข้อต่อ” ตัวใดตัวหนึ่งหลุดออกจากกันก็จะทำให้ “เรือน้อยที่แล่นในนาวา” ขบวนนี้ล่มอย่างไม่เป็นท่าก็เป็นไปได้
สิ่งเหล่านี้เองทำให้ต้องย้อนกลับมานึกถึงตัวเองขึ้นมาทันทีว่าเราเองก็เหมือน “ตัวจักรน้อยๆ ที่มีความสำคัญต่อฟันเฟืองทั้งระบบ” ในกระบวนการผลิตที่สำคัญอันยิ่งยวดไม่แพ้ฟันเฟืองตัวอื่นๆ ซึ่งทำให้เรารู้ว่า “เรายังมีประโยชน์” ต่อชุมชนที่สามารถหยิบยกปัญหาของชาวบ้าน “ที่เปรียบเสมือนขยะที่ซุกซ่อนอยู่ใต้พรม” มาเผยแพร่ให้กับสังคมได้รับรู้ และในขณะเดียวกันประโยชน์อย่างมหาศาลก็ก่อเกิดกับตัวเอง เพราะได้รู้หลายสิ่งหลายอย่างที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน และทอดยาวไปถึงอนาคตได้เป็นอย่างดี
นางสาวศุภักษร กุดแก้ว
นักศึกษาโปรแกรมธุรกิจบริการ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ (ทีมวิจัย)