ในองค์กรบางครั้งเราก็ต้องมีคนที่ชอบพูด พูดมาก พูดมากเกิน พูดไม่รู้จักกาละเทศะ หรือบางครั้งเราอาจจะว่าเขา “บ้า” สิ่งเหล่านั้น ไร้สาระไหม?
คุณรู้จัก “คนบ้า” ไหม
“คนบ้า” เป็นคนอย่างไร
“ทำไมเรา จึงเรียกเขาว่า บ้า”
คงจะมีหลายร้อยเหตุผลที่จะทำให้คนเรา “บ้า” แต่สิ่งที่เราส่วนใหญ่คิดว่าคนคนนั้นเป็นคนบ้าก็คือ “เขาทำเขาคิดไม่เหมือนเรา ไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ในสังคม และเป็นสิ่งที่คนเขาไม่ทำกัน” นั่นแหละ “คนบ้า”
คนบ้า จะทำอะไรแปลก ๆ “แปลก” ก็คือ ไม่เหมือนเรา “เรา” นั่นคือ คนส่วนใหญ่ คิดไม่เหมือนเรา คนนั้นน่ะ “บ้า”
คุณเคยฟังคนบ้าพูดไหมล่ะ
ว่าง ๆ ลองฟังดูสิ แล้วก็จะรู้ว่า.......
คนพูดมาก บางคนอาจจะมองว่า เขาบ้า ในทางกลับกันในฐานะนักบริหาร เรามีหน้าที่บริหารจัดการสิ่งที่อยู่อย่างจำกัด ทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ธรรมชาติของคนไทยอันหนึ่งเมื่อตอนเข้าประชุม ก็คือ “บ้าเงียบ” ไม่พูด ไม่ถาม ไม่แสดงความคิดเห็น ไม่ตอบโต้ “ยิ้ม” อย่างเดียว เข้าใจไหม “ยิ้ม” ไม่เข้าใจอะไรหรือเปล่า “ยิ้ม” ตกลงครับ เป็นอันเข้าใจกันตามนี้ ผมขอปิดประชุม
สิ่งที่นักบริหารต้องการมากที่สุดอันหนึ่งนั่นก็คือ “ความคิด” คิดคนเดียวก็ได้ความคิดเห็นเดียว ประชุมกันจะได้หลาย ๆ ความคิดเห็น ต่างคนต่างคิด แต่คิดไปในเป้าเดียวกัน ได้หลายความคิด หลายเส้นทางเดิน ประชุมกันดีกว่า ประชุม ประชุม แล้วก็ประชุม
ผู้บริหารก็เปรียบเสมือนนักจัดการความรู้ มีเวทีให้ได้แสดงบทบาทเป็นวิทยากรกระบวนการมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ โจทย์ก็อยู่ที่ว่า เรามาประชุมกันเพื่ออะไร ไม่ว่าจะเป็นการระดมสมอง พูด การแสดงความคิดเห็น ถกเถียงปัญหา วางแผนกลยุทธ์ พัฒนาผลิตภัณฑ์ ทำอย่างไงล่ะถึงจะดึงความรู้ บางครั้งก็อาจจะเป็นความ “บ้า” ของผู้ที่อยู่ในห้องประชุมหรือที่เรียกว่าเวทีนั้นออกมาได้ให้มากที่สุด คุ้มค่ากับทุนทั้งหมดที่เสียไปกับการประชุมนั้น ไม่ว่าจะเป็น เวลา ค่าเดินทาง ค่าอาหารว่าง เอกสาร ต่าง ๆ นานาจิปาถะ
คนบ้าพูด พูดมาก พูดอยู่คนเดียว ถามอะไรตอบได้หมด ตอบได้ทุกเรื่อง ประเภทแรกนี้คุณคิดว่าเป็นอย่างไร
ครั้งหนึ่งเมื่อตอนใกล้สงกรานต์ ปี 49 ผมได้มีโอกาสไปงานบวชเพื่อนที่จังหวัดหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คราวนั้นไม่ได้ไปเป็นแขกรับเชิญ แต่ไปเพื่อช่วยงานเพื่อน เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม ในขณะที่ต่างคนต่างเตรียมงานกันนั้นเอง ก็ได้เจอคุณลงคนหนึ่ง เขามาช่วยงานเหมือนกัน มาถึงก็พูดโน่น พูดโน่น พูดนี่ พูดมากอีกต่างหาก แต่มาสะดุดอยู่สิ่งหนึ่งที่แกพูด
“เนี่ย ยังขาดหมากขาดพลู อยู่นะเนี่ย”
เราเตรียมงานกันมาตั้งแต่เช้า ไม่มีใครรู้เลยว่าจะต้องใช้หมากใช้พลู จากนั้นแกก็จัดการไปหาขอหมากขอพลูจากคุณยายแถว ๆ นั้นมาจัดการจนเรียบร้อย.......
ถ้าลุงไม่มาเราก็จะไม่มีหมากมีพลูในงานบวชนะเนี่ย
หมากพลู สำคัญใช่ไหม
อาจจะเล็กน้อย
แต่ถ้าเปรียบเทียบกับพระปรางค์ในมหาราชวัง ถ้าไม่มีเจดีย์เล็ก ๆ ไม่มีอิฐ ไม่มีซุ้มประตู พระปรางค์องค์นั้นคงจะไม่สง่างามถึงเพียงนี้
(วัดชัยพัฒนาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา)
คนพูดมาก “บ้าพูด” พูดออกมาตามสิ่งที่เขาอยากพูด บางครั้งก็อาจจะทำให้สิ่งที่ขาดเล็ก ๆ น้อย ๆ เสริมจุดใหญ่ให้ดีขึ้นได้
ลองคิดย้อนกลับไปให้ลึกถึงที่มาที่ไปของเหตุการณ์ข้างต้น (เห็นผลแล้ว ลองมาดูเหตุกันเถอะนะ)
ทำไมลุงคนนั้นถึงรู้ว่ายังขาดหมากขาดพลูล่ะ แล้วทำไมเขารู้ว่าต้องใช้หมากใช้พลูด้วย
“ลุง” ในความหมายของคนไทยที่เรารู้ ๆ อยู่ก็คือ พี่ชายของพ่อ คนที่แก่กว่าพ่อ แสดงว่าอย่างน้อยก็ต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้วกว่าสามสิบปี (สำหรับคนวัย Baby Boomer และ Generation X ที่จะแต่งงานมีครอบครัวกันตอนอายุมากหน่อย) ถ้าอย่างงั้นเขาก็ต้องเคยไปงานบวชมาแล้วสิ ยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะเคยบวชแล้ว ยิ่งกว่านั้นอีก เขาอาจจะมีลูกชาย และบวชลูกชายเขาไปแล้ว
คุณสมบัติหลักของคนพูดมากข้อหนึ่งก็คือ เป็นคนที่ชอบเข้าสังคม ชอบไปงานต่าง ๆ อยู่ไม่เป็นสุข อยู่เฉย ๆ ไม่เป็น มีสังคมเยอะ เพื่อนเยอะ ชอบช่วยงาน เมื่อทำสิ่งใดก็ตามก็จะเกิดการเรียนรู้ ปากพูด ตาดู มือทำ (มากกว่าเราอบอบรมกันอีก) เราอบรม เราฝึก แต่เขาทำจริง ถึงแม้ว่าเราจะอบรมเชิงปฏิบัติการ แต่ก็เรียนรู้เฉพาะสิ่งที่ผู้จัดกำหนดและวางกรอบให้เรารู้ แต่การเข้าไปเรียนรู้ของเขา เขาจะได้เรียนรู้ในสิ่งที่เขาอยากรู้ อยากเรียน อยากทำ เรียนรู้อย่างไม่มีขีดจำกัด เรียนได้ตามใจนึก
ครั้งนี้ได้มางานบวชเพื่อนสนิทที่ภาคอีสาน ก็จะเป็นประเพณีที่จัดตามแบบอย่างของวัฒนธรรมอีกรูปแบบหนึ่ง บางครั้งถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศไทยเหมือนกัน บวชนาค บวชพระเหมือนกัน ก็จะมีสิ่งที่ต่างกันเล็ก ๆ น้อย ซึ่งสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางวัฒนธรรมของชนเผ่า การอพยพย้ายถิ่นฐานของคนที่มาจากตั้งพื้นถิ่นกัน คนที่มาก็จะนำเอาประเพณี ความเชื่อและวัฒนธรรมติดตัวมาด้วย เมื่อมารวมกับทุนชุมชนที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่ทำให้บริบทของชุมชน ข้าวปลาอาหาร เทคนิคการใช้ทรัพยากร รูปแบบการบริโภคมีการประยุกต์ให้เข้ากับสภาพของทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเกิดเป็นวัฒนธรรมที่ “เหมาะสม” กับทุนชุมชนนั้น ๆ
สำหรับผู้บริหารนั้น ไม่กลัวคนประเภทนี้ เพราะไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำให้เขาหยุดพูด แต่สิ่งที่ยากกว่า คือการทำให้คนไม่พูด พูดออกมาได้ และพูดออกมาในสิ่งที่เป็นประโยชน์ คนพูดมากพูดร้อย อาจจะใช้ได้ 1 ก็ยังดี แต่คนไม่พูด พูดน้อย พูดแค่ 1 มีหวังใช้ได้ไหมหนอ จะคุ้มค่ากับทุนที่ลงไปในการประชุมหรือไม่
แล้วทำไงล่ะ ที่จะทำให้คนพูดน้อย พูดได้ พูดดี พูดแล้วมีประโยชน์ คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้ลงทุนและคาดหวังจากการประชุมหรือทำงานในแต่ละครั้ง เราจะทำอย่างไร เราจัดการได้ เพราะเราเป็น “นักจัดการความรู้”
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ