การรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กร


การรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กร

 การรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กร

                                                   

           ความสัมพันธ์ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเริ่มต้นจาก “สัญญาจ้าง” ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนคือลูกจ้างตกลงทำงานให้นายจ้าง และนายจ้างตกลงที่จะตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนและสวัสดิการ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์แบบหลวมๆที่ต่างฝ่ายต่างพร้อมจะบอกเลิกสัญญาเมื่อไหร่ก็ได้ เช่น นายจ้างก็มีสิทธิเลิกจ้างลูกจ้าง ในขณะเดียวกันลูกจ้างก็มีสิทธิลาออกได้ทุกเมื่อเช่นกัน หลายองค์กรประสบปัญหาเหมือนๆกันคือ ไม่สามารถรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กรนานๆได้ เพราะเมื่อนายจ้างไม่สามารถจ่ายผลตอบแทนให้กับลูกจ้างตามที่ลูกจ้างต้องการแล้ว ลูกจ้างก็พร้อมที่จะออกไปอยู่ที่อื่นซึ่งให้ผลตอบแทนการทำงานที่สูงกว่าและสวัสดิการดีกว่า เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของลูกจ้างที่มีต่อนายจ้างคือ “ผลประโยชน์” ในเชิงวัตถุเท่านั้น ผลประโยชน์ในเชิงวัตถุเปรียบเสมือนน๊อตและสกรูที่ล๊อคแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าด้วยกัน นานวันเข้าน๊อตหรือสกรูอาจจะเป็นสนิมและทำให้แผ่นเหล็กแยกออกจากกันได้ ไม่เหมือนกับการยึดติดแผ่นเหล็กสองแผ่นเข้าด้วยกันโดยการเชื่อมที่สามารถทำให้แผ่นเหล็กยึดติดกันได้ดีกว่าและนานกว่า และถ้าฝีมือการเชื่อมดีๆก็อาจจะแยกไม่ออกว่าเป็นแผ่นเหล็กสองแผ่นนำมาเชื่อมติดกัน ดูแล้วเหมือนกับเป็นแผ่นเหล็กแผ่นเดียวกัน

             องค์กรที่ต้องการรักษาคนเก่งและคนดีให้อยู่กับองค์กรนานๆ ควรจะเปลี่ยนแนวคิดจาก “สัญญาจ้าง” มาเป็น “สัญญาใจ” เพราะสัญญาใจเป็นสัญญาที่อยู่ส่วนลึกของจิตใจคนเป็นสัญญาที่อยู่นานกว่าสัญญาจ้าง เหมือนกับการที่เราเคยตกทุกข์ได้ยากแล้วมีคนๆหนึ่งยื่นมือมาช่วยเหลือเรา เราจะจดจำบุญคุณของคนๆนั้นไปตลอดชีวิต สัญญาใจเป็นสัญญาที่เกิดขึ้นเองโดยไม่ต้องมีการลงชื่อในเอกสาร ไม่ต้องกลัวเอกสารสูญหาย ไม่ต้องกลัวว่าสัญญาเขียนไม่รัดกุม

           เนื่องจากคนไทยมีนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือ ไม่ลืมบุญคุณคน ดังนั้น การที่เราจะทำให้บุคลากรไม่ลืมบุญคุณองค์กร เราจะต้องทำให้คนๆนั้นรู้สึกเป็นหนี้ทางใจต่อองค์กร เพราะหนี้บุญคุณเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวให้คนเก่งและคนดีอยู่กับองค์กรได้นานกว่าสัญญาจ้างงานทั่วไป การสร้างหนี้บุญคุณคนให้ยึดหลัก “3 ให้” ดังต่อไปนี้

* ให้โอกาส
คนเกิดมาเพื่อแสวงหาโอกาส และโอกาสบางอย่างไม่สามารถใช้เงินทองซื้อหามาได้ ไม่มีตลาดไหนขายโอกาส โอกาสส่วนใหญ่เกิดจากการแสวงหาหรือมีคนหามาให้ ดังนั้น องค์กรควรเน้น “การบริหารโอกาส” ให้กับคนในองค์กร ซึ่งการบริหารโอกาสจะครอบคลุมในประเด็นดังต่อไปนี้


- การสรรหาโอกาส หมายถึงการมองหาโอกาสที่เกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอกองค์กรว่ามีโอกาสอะไรบ้างที่น่าจะมาเติมเต็มให้กับชีวิตของพนักงาน เช่น หาบัตรชมงานหรือนิทรรศการที่พนักงานบางคนไม่เคยได้ไปพร้อมจัดรถรับส่ง การเชิญบุคคลภายนอกมาบรรยายให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องการบริหารชีวิตส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาชีพเสริม การทำประกันชีวิต การดูแลสุขภาพ การดูแลบุตร ฯลฯ ซึ่งโอกาสที่มีอยู่มากมายจากภายนอกองค์กรไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรเลย เพียงแต่ต้องคอยติดตามและเสาะหามีภายนอกมีโอกาสอะไรเกิดขึ้นบ้าง และคอยคัดเลือกดูว่ามีโอกาสไหนบ้างที่น่าจะนำมาสร้างหนี้บุญคุณให้เกิดขึ้นกับจิตใจของพนักงาน


-
การจัดสรรและแบ่งปันโอกาส  หมายถึงการจัดสรร สับเปลี่ยน โยกย้ายโอกาส ให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละคน เนื่องจากโอกาสบางอย่างอยู่กับคนบางคนไม่มีคุณค่า แต่ถ้าโอกาสนั้นได้ถูกโยกย้ายไปให้กับคนบางกลุ่มบางคน โอกาสนั้นก็จะมีค่าขึ้นมาทันที เช่น คนที่เป็นพิธีกรจัดงานปีใหม่มาแล้ว 5 ปีที่เป็นพิธีกรเพราะหน้าที่(ทำงานฝ่ายทรัพยากรบุคคล) เขาจะไม่คิดว่านั่นคือโอกาส แต่เขาจะคิดว่าเป็นภาระหน้าที่ที่น่าเบื่อ แต่ถ้าเรานำโอกาสนี้ไปให้พนักงานที่เขาไม่มีโอกาสได้เป็นพิธีกรงานปีใหม่ รับรองได้ว่าองค์กรได้ใจของพนักงานคนนั้นอย่างแน่นอน  คนบางคนต้องพาลูกค้าไปเที่ยวต่างประเทศไปมาจนเบื่อแล้ว ถ้าเราสับเปลี่ยนให้คนที่ไม่เคยไปต่างประเทศไปบ้าง รับรองได้ว่าการไปเที่ยวต่างประเทศในครั้งแรกของเขาจะตราตรึงเป็นสัญญาใจอยู่กับเขาตลอดไป
* ให้อภัย
การให้โอกาสเป็นการสร้างสัญญาใจจาก “การเติมเต็มช่องว่างระหว่างความฝันกับความจริง” แต่ชีวิตคนนั้นยังมีอีกด้านหนึ่งที่องค์กรควรจะนำมาใช้สร้างสัญญาใจนั่นก็คือ “การเติมเต็มช่องว่างระหว่างสิ่งที่บกพร่องอยู่กับสิ่งที่ควรจะเป็น” เครื่องมือในการเติมสิ่งที่บกพร่องอยู่ในชีวิตคนคือ “การให้อภัย” ถือเป็นทั้งทานที่ยิ่งใหญ่และเป็นเครื่องมือสร้างสัญญาใจที่สำคัญมากเพราะคนที่เดินทางผิด ทำผิดทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ย่อมต้องการการให้อภัยจากสังคมและคนรอบข้าง เมื่อไหร่ที่บุคลากรที่เป็นคนเก่งคนดีทำอะไรผิดพลาด อย่าคิดเรื่องการลงโทษเป็นอันดับแรก แต่จงคิดเรื่อง “การให้อภัย” ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะการให้อภัยเปรียบเสมือนการฝังเข็มเข้าไปที่จิตใจของคนๆนั้นได้ดีกว่าและลึกกว่าการให้โอกาสเสียอีก ยิ่งความผิดพลาดนั้นเป็นความผิดพลาดที่ยากต่อการให้อภัย แต่องค์กรยังให้อภัยได้ รับรองได้ว่าคนๆนั้นจะจดจำไปตลอดชีวิต แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เรื่องการให้อภัยไปกระทบกระเทือนต่อความไม่เป็นธรรมในองค์กร เช่น บางองค์กรให้อภัยกับพนักงานที่เคยลาออกไปแล้ว เมื่อกลับเข้ามาทำงานใหม่ปรากฎว่าคนๆนั้นอยู่กับองค์กรนานและทำตัวทำงานดีกว่าเดิมมาก

* ให้กำลังใจ
ถึงแม้คนจะมีทั้งโอกาสและการให้อภัย แต่การให้กำลังก็ถือเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะคนไม่ใช่เครื่องจักรที่สมรรถนะจะคงที่สม่ำเสมอ คนมักจะมีปัญหาอุปสรรคมาขัดขวางทำให้หมดหวัง หมดกำลังใจ จนทำให้รู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่ายได้ตลอดเวลา ดังนั้น การที่องค์กรจะสร้างสัญญาใจให้บุคลากรที่ทั้งเก่งและดีอยู่กับองค์กรนาน องค์กรก็ต้องมีระบบการติดตามดูว่าบุคลากรคนไหนต้องการกำลังใจ เพราะกำลังใจก็หาซื้อที่ไหนไม่ได้เช่นกัน จะไปขอกำลังจากใครก็เป็นเรื่องยาก กำลังใจที่สำคัญต้องได้รับจากการให้ด้วยความเต็มใจเท่านั้น เช่น หัวหน้าทุกคนควรจะผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเทคนิคการสร้างแรงจูงใจให้ลูกน้อง องค์กรควรจะมีวัฒนธรรมองค์กรเรื่องการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ควรจะมีบุคคลที่คอยให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตของพนักงาน (Personal Counselor) เป็นต้น

                 .....บทความนี้ได้มาจาก  www.thaihrcenter.com ....ซึ่งเป็นบทความที่น่าสนใจมาก...การเปลี่ยนสัญญาจ้างเป็นสัญญาใจ น่าจะเป็นแนวทางใหม่   ที่จะช่วยให้องค์กรรับมือกับถูกดึงคนเก่งและคนดีไปอยู่ที่อื่น และรับมือกับค่านิยมของคนทำงานรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมมากกว่าการจงรักภักดีต่อองค์กร   เหมือนคนทำงานในรุ่นก่อนๆ  นี่เป็นเพียงแนวคิดอยากระตุ้นให้องค์กรต่างๆหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น   ส่วนกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเพื่อรองรับแนวคิดนี้  เชื่อมั่นว่าไม่มีใครคิดได้ดีไปกว่าคนในองค์กรนั้น ๆ อย่างแน่นอน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าองค์กรต่างๆ.....จะสามารถรักษาคนเก่งและคนดี....ให้อยู่กับองค์กรได้นานยิ่ง ๆ ขึ้น.....             

 

                           

       

หมายเลขบันทึก: 283156เขียนเมื่อ 4 สิงหาคม 2009 21:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)
  • แวะมาอ่านการเปลี่ยนสัญญาจ้างเป็นสัญญาใจ
  • และมาขอบคุณ ให้ความรู้เพิ่มเติมหน่อย
  • ขอให้มีความสุขกับการทำงาน

เป็นสัญญาที่ดี สามารถช่วยให้เรามีความมุ่งมั่น และทุ่มเทให้กับงานอย่างสุดความสามารถ

มารับโอกาส..ให้กำลังใจ ..ให้อภัย...ขอได้รับความขอบคุณ ที่นำสิ่งดีๆมาให้

การรับษาคนดีให้อยู่กับองค์กรเป็นเรื่องที่ยากมากแต่การเอาคนที่ไม่ดี และทำให้องค์กรเสียหายให้พ้นจากองค์กรเป็นเรื่องที่ยากกว่ามากครับ..ผลจะนำเอาวิธีที่พี่ว่ามาใปใช้ในโรงเรียนชำฆ้อพิทยาคม...ขอเป็นกำลังใจให้กับพี่นะครับเพราะเราต่างก็เป็นคนที่ลาบสูง(ราบสูง)ที่มาสร้างความสนุกสนานให้กับคนภาคตะวันออก..สู้สู้ๆๆ

ขยัน สรรหามาฝากนะครับ ขอบคุณมากสำหรับความรู้ดีๆ

แต่การรักษาคนดีและคนเก่งให้อยู่กับองค์กรของเราได้นั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ "ใจ" คะ ขอบคุณสำหรับสาระที่ดี ๆ ที่นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันคะ

ขอบคุณสำหรับความรู้ดี ๆ ที่นำมาฝากนะคะ

คำว่า ให้อภัย กับ ให้กำลังใจ ฟังแล้วมีกำลังใจค่ะ

ให้อภัย...ให้กำลังใจ...ให้โอกาส 3 คำนี้อยากได้จากผู้บริหารจัง

“3 ให้” * ให้โอกาส * ให้อภัย * ให้กำลังใจ

ขอบคุณค่ะ  สำหรับความรู้ที่มีสาระกินใจเหลือเกิน

เราอยากได้...โอกาส

เราอยากได้...การให้อภัย

เราอยากได้...กำลังใจ

เราก็ต้องรู้จักให้สิ่งนี้แก่ผู้อื่นก่อนด้วยเช่นกัน

 

                           

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท