บทหนึ่งของความพยายามตอนที่ 3


ที่สุดของความพยายาม
พอฉันผ่านการสอบข้อเขียนทุน AFS ฉันรู้สึกอยากได้ทุนนี้มากๆ พรที่ฉันขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกวันทุกคืน คือ ขอให้ฉันได้รับทุน AFS นอกจากขอพรจากพระแล้ว ฉันก็ไปพบอาจารย์ราตรีซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาด้านการสมัครทุน AFS ซึ่งฉันคงโชคดีมากที่ไม่มีใครไปหาอาจารย์เลย อาจารย์เลยมีฉันที่ต้องดูแลคนเดียว อาจารย์ดูน้อยใจว่าเพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้ไปหาอาจารย์เลยแม้แต่คนเดียว ส่วนฉันคิดว่าเพื่อนๆของฉันส่วนใหญ่ก็เก่งๆ ทั้งนั้น บางทีเพื่อนอาจจะคิดว่าสามารถดูแลตนเองได้
อาจารย์ก็เล่าถึงแนวคำถามต่างๆที่อาจถูกถามและต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษได้ ซึ่งก็มีทั้ง

  • การแนะนำตนเอง
  • การแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย
  • การแสดงความสามารถพิเศษ ซึ่งฉันเลือกที่จะเล่นขิม โดยฉันเตรียมเล่นขิมทั้งเพลงไทยเดิม และเพลงสากลยอดฮิต คือ Jingle Bell

 

ฉันมีสมุดโน้ตเล่มเล็กติดตัวฉันตลอดเวลาในช่วงนั้น เผื่อฉันคิดคำถามอะไรที่คิดว่าจะถูกถามออกฉันก็จะจดไว้ และกลับมาเตรียม รวมถึงจดศัพท์ต่างๆที่ฉันต้องรู้ รวมถึงเมนูการทำยำปลาหมึกที่ฉันเขียนขึ้นมาเองเป็นภาษาอังกฤษ เผื่อเวลาฉันถูกถามเรื่องการทำอาหารไทย ฉันบ้าเอาการทุกวันที่นั่งอยู่บนรถเมล์ ฉันก็จะนึกทบทวนทั้งคำถามและคำตอบที่ฉันเตรียมไว้หากฉันถูกถาม ฉันจึงมักกลับบ้านตามลำพัง เนื่องจากฉันอยากใช้เวลากับตนเองมากที่สุด ฉันไม่สามารถใช้เวลาทบทวนสิ่งต่างๆที่บ้านได้ เพราะฉันกลัวว่าจะทำให้ทุกคนเครียดไปกับฉันด้วย ฉันจึงขอบ้าตามลำพัง

ตลอดเวลาในหัวฉันมีแต่เรื่องคำถามและคำตอบที่ฉันคิดว่ากรรมการจะถามฉัน ฉันเตรียมแม้กระทั่งบทพูดก่อนที่ฉันจะแสดงขิม และรำไทย(ฉันคิดว่านอกจากการแสดงขิม ฉันควรมีการแสดงอื่นๆด้วยเพราะมีความสามารถพิเศษอย่างเดียวดูจะธรรมดาเกินไป) ที่ปรึกษาของฉันในตอนนั้นมีคนเดียวคือ อาจารย์ราตรี ฉันบอกอาจารย์ตามตรงว่า หากเป็นไปได้ฉันก็อยากได้ทุน AFS อาจารย์ดูจะทราบดี เพราะฉันไปพบอาจารย์สม่ำเสมอเกินกว่าที่อาจารย์คาดคิด ฉันไม่ลืมที่จะบอกอาจารย์ถึงจุดอ่อนของฉันสำหรับการเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ฉันบอกอาจารย์ตามตรงว่า ฉันไม่สามารถแม้แต่อ่านหนังสือภาษาอังกฤษที่เรียนอยู่ปัจจุบันอย่างคล่องแคล่ว ฉันมักสับสนในการอ่านทำให้ ออกเสียงผิด และมีสำเนียงที่เพี้ยนมากๆ จนอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษของฉันเอือมระอา และเป็นตัวตลกของอาจารย์และเพื่อนๆ อาจารย์ราตรีดูอึ้งๆไปในครั้งแรกที่อาจารย์ทราบ แต่อาจารย์ก็บอกฉันว่าอาจารย์ยินดีจะช่วยฉันเต็มที่ หากฉันมีอะไรที่ไม่เข้าใจ อ่านไม่ถูก พูดไม่ได้ก็ให้มาถามอาจารย์ อาจารย์ราตรีจึงเป็นที่พึ่งของฉันอย่างจริงจัง ฉันไปหาอาจารย์ทั้งเช้า กลางวัน และเย็น บางทีไม่เจออาจารย์ฉันก็จะนั่งอยู่หน้าห้องอาจารย์และทบทวนบทสนทนาต่างๆที่ฉันเตรียมไว้สำหรับการสอบสัมภาษณ์ ฉันเตรียมแม้กระทั่งบทพูดเก๋ๆ หากฉันฟังไม่ทันและต้องการให้กรรมการทวนคำถามให้ฉันอีกครั้ง

ฉันพบพาความพร้อมไปเต็มเปี่ยมในวันที่สอบสัมภาษณ์ ฉันรู้ว่าฉันไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย มีแต่ความพยายามและความบ้าเพราะอยากไปต่างประเทศมากๆ ฉันได้ใช้บทสนทนาทุกบทที่ฉันเตรียมตามแต่โอกาสจะอำนวย ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าฉันทำได้ดีกว่าตัวตนปกติของฉันที่แสนอ่อนด้านภาษา

ก่อนถึงวันที่ประกาศผลสอบอย่างเป็นทางการ อาจารย์ราตรีเรียกฉันไปพบในช่วงระหว่างที่ฉันกำลังเรียนอยู่ในห้อง ฉันใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก แอบคิดในใจว่าน่าจะเป็นข่าวดีนะ เมื่อฉันไปถึงอาจารย์ก็บอกฉันว่า ทาง AFS โทรมาแจ้งว่า ปีนี้ทาง ม.พ. ได้ 1 คนนะ ฉันหัวใจแทบหยุดเต้นเพราะกลัวว่าจะไม่ใช่ฉัน เพราะอาจารย์อาจจะอยากเรียกฉันมาเพื่อทำใจก่อนคนอื่นก็เป็นได้ แต่เมื่ออาจารย์พูดต่อว่า ทาง AFS บอกว่าแปลกดี ปีนี้คนที่ได้ก็ชื่อ "วิลาสินี" เหมือนปีที่แล้ว (ปีก่อนหน้าฉันพี่ที่ได้ทุน AFS ชื่อพี่วิลาสินี เหมือนกัน) เมื่ออาจารย์พูดจบฉันก็รีบยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณอาจารย์ และบอกอาจารย์ว่า ฉันได้ทุนเพราะอาจารย์ แต่อาจารย์ราตรีบอกฉันว่าอย่าคิดอย่างนั้น อาจารย์บอกฉันว่า "เป็นเพราะตัวหนูเองต่างหาก" ฉันรู้สึกขอบคุณอาจารย์อย่างที่สุด ฉันคงไม่เป็นฉันในวันนี้หากไม่มีอาจารย์ ขอบคุณค่ะ อาจารย์ราตรี

หมายเลขบันทึก: 281659เขียนเมื่อ 30 กรกฎาคม 2009 22:33 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 07:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท