ผมได้เคยเขียนเรื่อง
"ลิงเหมือนคน หรือคนเหมือนลิง" (http://www.tsrt.or.th/RT_News/RTnote7.htm)
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับgenetic coding หรือ
การทำตามๆกันมาโดยปราศจากการพัฒนา
ปราศจากการคิดวิเคราะห์ที่เกิดจากตัวเรา ถ้าพูดแรงๆก็คือคิดไม่เป็น
หรือไม่กล้าคิดแหวกแนว
ทำให้เราไม่กล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างเพราะกลัวผิด
ผมไม่ได้หมายความว่าทุกเรื่องนะครับ เรื่องไม่ดีเราจะทำไปทำไม
เราต้องกล้าทำเรื่องดีๆในสิ่งที่แตกต่าง เพื่อให้เกิดการพัฒนา
เพื่อให้มันดีขึ้น ไม่ใช่ให้มันแย่ลง หลายคนก็คิดไปว่า
ผมกำลังตั้งตัวเป็นผู้รู้มาเที่ยวสอนชาวเรา
หรือผมกำลังอวดศักดาอะไรประมาณนั้น จริงๆแล้ว
ผมไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก
อาจารย์ที่ผมเคารพนับถือท่านก็คอยเตือนเสมอๆว่า
อย่าอวดตนเองว่าดีว่าเก่งกว่าผู้อื่นเขาจะดูไม่เข้าทีหรือทุเรศ
ผมก็ระวังตัวและเตือนตัวเองอยู่เสมอ สิ่งที่เขียนแสดงออกไปนั้น
มันออกมาจากใจเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและกำลังจะเป็นไป
ก็เท่านั้นเองครับ
ชาวเราที่มีมุมมองในเชิงสร้างสรรเพื่อรังสีเทคนิคไทย
ก็สามารถแสดงออกได้ เวทีนี้เปิดกว้างครับ
วกมาที่รังสีเทคนิคไทยของชาวเรานี่แหละครับ
มีหลายคนที่มีความกล้าที่จะทำในสิ่งที่แตกต่างเพื่อรังสีเทคนิคไทยที่ดีขึ้น
คำว่ารังสีเทคนิคไทยผมหมายรวมถึง นักรังสีเทคนิค จิต วิญญาณ
เกียรติภูมิ ความเป็นนักรังสีเทคนิค
และทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับรังสีเทคนิคของประเทศไทย
แต่หลายคนเหล่านั้นอาจชอกช้ำเพราะมีชาวเราอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาเหล่านั้นได้ทำไป
โรคท้อก็ถามหา บางคนที่ทุ่มเทก็ฝ่อและเหี่ยวไปเลยอย่างน่าเสียดาย
การให้เกียรติกัน การให้กำลังใจกัน การเห็นคุณค่าของกันและกัน
ในยุคแห่งการเริ่มต้นบุกเบิก (โดยเฉพาะคนที่ใกล้ๆกัน ในชุมชนเดียวกัน)
น่าจะดีกว่าอย่างมากๆๆไหมครับ มันจะดีกว่าการที่เรา พูดถึง รู้สึก
แสดงออก
ในเชิงเห็นคุณค่าหรือยกย่องใครก็ไม่รู้ที่อยู่ไกลจากชุมชนเราเหลือเกิน
ว่าเก่ง ว่าดี ว่าเจ๋ง แม้ใครคนนั้นไม่ได้สนใจเรา
ไม่ได้ให้คุณอะไรกับชุมชนของเราเลยแม้แต่น้อย
ชาวเราหลายคนที่ทำงานในโรงพยาบาลชุมชน
ซึ่งมีแค่เครื่องเอกซเรย์ธรรมดา ไม่มีเครื่องมือรังสีที่ทันสมัย
ราคาแพง เรียกว่าอยู่ในที่แห้งแล้งกันดานทางเครื่องมือและเทคโนโลยีมาก
มาบ่นกับผมทำนองน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ต้องทำงานในสภาพนี้
ดูไม่ค่อยน่าตื่นเต้น และก็ไม่มีใครเหลียวแล
เรียนมาแทบเป็นแทบตาย แต่ให้ทำแค่นี้ ผมก็ให้กำลังใจไปว่า เราต้องมีศัทรา
เอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ทำงานให้เกิดความสนุกสนาน
ทำตรงนั้นให้ดีที่สุดจนสุดความสามารถของเรา
เสมือนว่าตรงนั้นคือบ้านของเรา ถ้าเราทำจนบ้านดีน่าอยู่อาศัย
เราก็อยู่ดีมีสุขไปด้วย
ถ้าเราหนีไปทำงานในที่ที่มันมีอะไรพร้อมหมดแล้ว
มองอีกด้านหนึ่งมันจะมันตรงไหน เพราะพร้อมหมดแล้ว เราจะไปทำอะไรได้
ก็มีชาวเราที่ทำงานในที่ที่อุดมสมบูรณ์เกือบจะทุกอย่าง
มาบ่นให้ผมฟังเหมือนกันว่าทำไมที่ที่ทำงานอยู่มันแห้งแล้งน้ำใจเหลือเกิน
ผมก็ได้แต่รำพึงในใจว่าโลกนี้หาความพอดียาก เลยคิดถึงคำพระที่ว่า
จงพอใจในสิ่งที่ตนมี วงเล็บอย่างถูกต้อง หมายความว่า
ไอ้ที่เราได้มาหรือมีนั้นจะต้องมีหรือได้มาอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
ไม่ทุจริต ฉ้อโกง หรือใช่เล่ห์กลเอามาเป็นของตนเอง
อาจารย์สุพจน์ อ่างแก้ว บิดารังสีเทคนิคไทย
ชื่อนี้ชาวเรารู้จักดี ที่เีรียกท่านว่าบิดารังสีเทคนิคไทย
เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดวิชาชีพนี้ครั้งแรกในประเทศไทย
ถ้าท่านอ่านบทความของอาจารย์สุพจน์ เรื่อง
ประวัติการสร้างวิชาชีพรังสีเทคนิคครั้งแรกในประเทศไทย (http://www.tsrt.or.th/his_p1.htm )ท่านจะทราบว่า
อาจารย์สุพจน์ต้องลำบากและขมขื่นขนาดไหน
กว่าวิชาชีพนี้จะเป็นตัวตนได้อย่างปัจจุบันนี้
ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับอาจารย์สุพจน์ค่อนข้างบ่อยมากในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาและหลังจากที่อาจารย์เกษียณแล้ว
ทุกครั้งที่คุยกัน อาจารย์จะมีเรื่องดีๆ ข้อคิดดีๆ มาให้ผมได้ขบคิด
บางเรื่องก็นำไปปฏิบัติในชีวิตจริง
หลังเกษียณอาจารย์สุพจน์ท่านจะมาที่คณะฯที่ที่ท่านเคยทำงานอยู่ที่เดียวกับผม
เพื่อสอนนักศึกษา และอ่านฟิล์มเอกซเรย์ที่ออกบริการชุมชนทุกอาทิตย์
ท่านมักจะแวะเข้ามาหาผมที่ห้องทำงานและพูดคุยกัน
อาจารย์สุพจน์สามารถคุยได้ทุกเรื่อง และเป็นเรื่องที่มีสาระเสมอ
และผมจะรู้สึกเหมือนว่าอาจารย์มาช่วยเคาะสนิมในตัวผม
ทำให้ผมโล่งและตาสว่างหลายเรื่อง
วันหนึ่งได้คุยกับท่านและผมถามท่านว่า
สมัยที่ท่านไปดูงานรังสีเทคนิคในต่างประเทศ
ท่านมีโอกาสที่จะอยู่อาศัยและทำงานในต่างประเทศได้เลย
เพียงแค่ใช้ทุนรัฐบาล และเงินเดือนที่ต่างประเทศก็สูงมากด้วย
ทำงานไม่นานก็คุ้มกับเงินที่ชดใช้รัฐบาลแล้ว
ท่านฟังจบแล้วก็ยิ้มพร้อมกับตอบว่า "ถ้าจะบีบคั้นหาความสามารถและความดีในตัวผม
คงได้เป็นน้ำสักหยดหนึ่งเห็นจะได้ น้ำหยดนี้
ถ้าเราไปหยดในที่ที่ชุ่มชื้นอยู่แล้ว
มันคงไม่มีค่าหรือมีความหมายสักเท่าไร เพราะมันชื้นแฉะอยู่แล้ว
เหมือนในต่างประเทศที่เข้าพร้อมอยู่แล้ว
ตัวผมคงไม่สามารถทำอะไรให้เขาได้มากเท่าไร
แต่ถ้าเราเอาหยดน้ำนี้ไปหยดในที่ที่แห้งแล้ง
แม้เพียงหยดเดียวก็ดูมีค่ายิ่ง เหมือนประเทศไทยของเรา
ที่แห้งแล้งและขาดแคลนอย่างมากในเรื่องรังสี
ถ้าผมมาอยู่ตรงนี้ที่ประเทศไทย ผมก็จะช่วยทำประโยชน์ได้มาก"
ผมฟังอาจารย์สุพจน์พูดจบแล้ว
มีความรู้สึกซาบซึ้งจับใจมากอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว
อาจารย์สุพจน์เปรียบเทียบชนิดเห็นภาพทะลุทะลวงโปร่งตลอดไม่มีอะไรติดขัด
และผมก็ไม่อยากจะเก็บความรู้สึกนี้ไว้คนเดียว
เรียนอาจารย์สุพจน์ว่าผมขออนุญาตเอาคำพูดที่อาจารย์คุยกับผม
มาเขียนในบันทึกจากประกายรังสีเพื่อให้ชาวเราได้รับทราบด้วย
โดยเฉพาะชาวเราในที่แห้งแล้งที่กำลังคิดว่าเรียนมาแทบตายแล้วให้ทำแค่นี้
ซึ่งท่านก็อนุญาต แต่ท่านเตือนว่า
ระวังเขาจะหาว่าเรายกตัวเองสูงกว่าผู้อื่น อาจหาญไปสอนเขา
ผมหวังว่าชาวเราคงไม่คิดเช่นนั้นนะครับ
เพราะเจตนาผมไม่ต้องการเช่นนั้นเลย เพียงแค่พบอะไรดีๆก็เอามาฝากครับ
เป็นกำลังใจเล็กๆกับชาวเราที่กำลังหดหู่อยู่ในเวลานี้ครับ
มานัส มงคลสุข
พฤษภาคม 2547