ดิฉันเคยอ่านเรื่องเล่าสอนใจเกี่ยวกับการมองต่างมุม และการแก้ปัญหาในการทำงาน มีอยู่เรื่องหนึ่งได้เปรียบเทียบความคิด และการกระทำที่แตกต่างกันไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้
มีครอบครัวหนึ่งมีลูกสาววัยกำลังซน 3 คน ชื่อ นุ่ม,นิ่ม และนวล คราวหนึ่งแม่กำลังทำครัวอยู่ จึงให้นุ่มไปซื้อน้ำปลามา 1 ขวด นุ่มรีบวิ่งไปซื้อทันที ขากลับเดินสะดุดหลุมหกล้ม ขวดน้ำปลาหลุดมือ นุ่มหยิบขวดน้ำปลาเดินกลับบ้าน สีหน้าเศร้าสร้อย บอกแม่ว่า “แย่จัง หนูทำน้ำปลาหกไปตั้งครึ่งขวด”
อาทิตย์ต่อมาแม่ให้นิ่มไปซื้อน้ำมันมา 1 ขวด นิ่มซื้อเสร็จ ขากลับเดินสะดุดหิน น้ำมันหกไปครึ่งขวด แต่เธอกลับไปเล่าให้แม่ฟังอย่างยิ้มแย้มว่า “เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำมันเหลือตั้งครึ่งขวดแน่ะ”
ประมาณสอง ถึงสามอาทิตย์ต่อมา ถึงเวรของนวลบ้าง เธอไปซื้อน้ำส้มสายชูกลับมาก็บอกแม่ว่า “เมื่อกี้หนูหกล้ม แต่ยังดีที่คว้าเอาไว้ได้ทัน มีน้ำส้มเหลืออยู่ตั้งครึ่งขวด แต่หนูรับปากว่าต่อไปจะไม่เผลออีก” ว่าแล้วเธอก็กลับไปขุดเอาหินที่โผล่ตามทางเดินออกจนหมด รวมทั้งกลบหลุมที่อาจทำให้ใครต่อใครเดินสะดุดด้วย
จากเรื่องเล่าเรื่องนี้ดิฉันเกิดแนวคิดว่า คนเราถึงแม้จะพบเจอปัญหาที่เหมือนกันแต่มุมมองและวิธีการแก้ไขปัญหาย่อมแตกต่างกันไป นอกจากนี้การมองปัญหาต่างกันยังส่งผลให้อารมณ์และความรู้สึกต่างกันด้วย อีกทั้งเมื่อเราประสบกับปัญหาแล้วเรียนรู้พร้อมกับแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ ก็จะช่วยให้เราสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาในครั้งต่อๆ ไปได้ และปัญหาที่เกิดขึ้นจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตของเราเลย
น่าคิดค่ะ น่าคิด บ้างคนถึงตัดสินใจกับปัญหาที่ใคร ๆ มองเป็นเรื่องเล็ก แต่เขาคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ คงจะอยู่ที่ว่าใครจะมองปัญหาในมุมไหนใช่ไหมค่ะ
ถ้าเรารู้จักเปลี่ยนวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส ปัญหาก็จะกลายเป็นความรู้ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นกับเราอีกเราก็จะสามารถร้องเพลงพี่เบริ์ดได้เลยค่ะ (สบายๆ)
ขอบคุณน้องเสงี่ยม และน้องอำนวยพร มากค่ะ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ตอนนี้ถึงจะต้องทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน พี่ก็ยังยิ้มได้แบบสบาย ๆ น้องทั้งสองก็คงเหมือนกันใช่ไหมคะ
มาเยี่ยมให้กำลังใจอาจารย์ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะที่เป็นกำลังใจให้