การฝึกสมาธิมีผลดีต่อการทำงานอย่างไร
ดิฉันมีโอกาสอ่านข้อเขียนของคุณ อาภรณ์ ภู่วิทยพันธุ์ เกี่ยวกับเทคนิคการทำงานให้ประสบผลสำเร็จโดยใช้สมาธิ เห็นว่ามีประโยชน์สามารถนำไปใช้พัฒนาการทำงานของเรา ๆ ท่าน ๆ ได้ จึงสรุปสาระสำคัญเป็นประเด็นย่อย ๆ มานำเสนอเพื่อให้เพื่อนชาวบริหารการศึกษา ทดลองนำไปปฏิบัติดู โดยดิฉันจะขอเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนที่มีสมาธิในการทำงาน กับคนที่ไม่มีสมาธิ ในการทำงาน ดังนี้
คนมีสมาธิในการทำงาน |
คนไม่มีสมาธิในการทำงาน |
รู้ขอบเขตงานที่จะต้องทำ : คือรู้ว่ามีงานอะไรบ้างที่จะต้องสะสางหรือทำให้เสร็จ โดยอาจจะจดงานที่ต้องทำทั้งหมดใส่กระดาษ เพื่อนำมาจัดลำดับความสำคัญของงานที่ได้รับมอบหมายว่าจะต้องทำงานอะไรบ้างในแต่ละวัน และงานใดที่จะต้องทำก่อนหลังตามความจำเป็นเร่งด่วน |
วิตกจริต : คือการคิดไปเองก่อนล่วงหน้า ไม่มีการปล่อยวาง คอยเป็นห่วงงานนั้น เป็นห่วงงานนี้ เช่น กำลังนั่งเขียนรายงานเพื่อจะนำส่งหัวหน้าในตอนเย็น แต่ใจกลับคิดถึงแต่เรื่องที่จะประชุมในวันพรุ่งนี้เช้า หรือกำลังนั่งประชุมอยู่ แต่กลับไปคิดถึงงานที่ค้างและจะต้องส่งมอบให้กับลูกค้า |
ทำงานเสร็จเป็นเรื่อง ๆ : คงไม่ปฏิเสธว่าคนที่ทำงานเก่งจะต้องสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างได้ หรือสร้างตนเองให้มีทักษะความสามารถที่หลากหลาย หรือ Multi Skill แต่การทำงานหลาย ๆ อย่างนั้นไม่ควรทำในเวลาเดียวกัน ควรทำงานที่เร่งด่วนให้เสร็จเรียบร้อยก่อนเป็นเรื่อง ๆ ไป |
หลง ๆ ลืม ๆ : จิตที่ขาดสมาธิจะทำให้แสดงอาการที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังจะทำงานอะไรต่อไป จะพูดอะไรต่อไป สัญญาอะไรกับใครไว้แต่จำไม่ได้ หรือไม่สามารถจำในสิ่งที่ได้พูดหรือกระทำไปแล้ว เช่น จำไม่ได้ว่าส่งข้อมูลให้ฝ่ายขายไปเมื่อไหร่ หรือกำลังยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาแต่ไม่รู่ว่าจะพูดอะไรต่อไป |
พยายามควบคุมจิตใจของตนเอง : กรณีที่จิตเกิดฟุ้งซ่านเมื่อมีงานที่ต้องทำเร่งด่วนหลาย ๆ เรื่องติดต่อกัน คนที่มีสมาธิจะพยายามควบคุมสภาวะจิตให้สงบนิ่ง คิดว่างานเรื่องนี้เร่งด่วนที่สุดต้องทำให้เสร็จก่อน เป็นการดึงจิตให้เกิดสมาธิในงานที่กำลังทำอยู่ |
โรคภัยถามหา : ผู้ที่ขาดสมาธิจะมีโอกาสเป็นโรคเครียดมากกว่าผู้ที่มีสมาธิ เพราะจิตวิตกกังวล กลัว หรือหวาดระแวงอยู่เสมอว่างานจะไม่เสร็จ กลัวหัวหน้างานต่อว่า กลัวลูกค้าไม่พอใจเพราะทำงานผิดพลาด วิตกกังวลว่าหัวหน้าจะประเมินผลงานให้ไม่ดี จากสภาวะจิตดังกล่าวจะส่งผลต่อสภาวะทางกาย ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร โรคปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรือ เกิดอาการไมเกรน |
มีความมุ่งมั่นในการสร้างมูลค่า (Value) : ความมุ่งมั่นจะส่งผลให้คนเรามีสมาธิมีจิตใจที่ต้องการจะทำงานให้ประสบผลสำเร็จและมีความพยายามให้งานที่รับผิดชอบเสร็จเร็วที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุด ความพยายามนี้เองจะทำให้คนเราหาเทคนิคหรือเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับงานที่ได้รับมอบหมาย |
งานไม่บรรลุผล : จิตที่ขาดสมาธิจะทำให้เป็นคนทำงานลนลาน ไม่มีสติคิดไตร่ตรองว่าจะต้องทำอะไรก่อนหลังตามลำดับความสำคัญ ไม่รู้จักวางแผนการทำงาน ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ขาดการวิเคราะห์และประมวลข้อมูล การตัดสินใจเกิดความ ผิดพลาด การทำงานล่าช้า ส่งมอบงานช้าและไม่เป็นไปตามที่กำหนดไว้ ในที่สุดก็จะส่งผลต่อการทำงาน ทำให้การทำงาน ขาดประสิทธิภาพ
|
จากตารางการเปรียบเทียบนี้จะเห็นว่าถ้าคนเราทำงานอย่างมีสมาธิจะทำงานเร็ว ส่งมอบงาน ให้หัวหน้าก่อนเวลาที่กำหนด มีเวลาที่จะทำงานอย่างอื่นเพื่อฝึกทักษะและเรียนรู้งานใหม่ ๆ อยู่เสมอ เนื่องจากสมาธิก่อให้เกิดปัญญารู้ว่าควรจะทำอะไรก่อนหลัง รู้ว่าสถานการณ์นี้ควรแก้ไขปัญหาอย่างไร ซึ่งจะส่งผลให้สามารถสะสางงานต่าง ๆ ที่ได้รับมอบหมายได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้สมาธิยังทำให้เป็นคนมีทักษะการทำงานที่หลากหลาย (Multi Skill) เนื่องจากมีเวลามากพอในการทำงานอย่างอื่น หรือมีเวลามากพอที่จะพัฒนาและเรียนรู้งานพิเศษที่นอกเหนือจากงานที่กำหนดขึ้น และเมื่อใครก็ตามมีทักษะ ที่หลากหลายจะส่งผลทำให้คนผู้นั้นมีมูลค่าในการทำงาน (Value) ที่บริษัทต้องการและไม่อยากให้ลาออกไป ท้ายที่สุดก็จะทำให้มีค่าตัวในการทำงานเพิ่มสูงขึ้น ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีสมาธิในการทำงาน ย่อมจะส่งผลเสียต่อชีวิตความก้าวหน้าและความสำเร็จในหน้าที่การงานของตนเอง
มีการค้นพบว่าการทำงานที่ฉลาดจะต้องเป็นคนที่ทำงานแบบ Work Smart มากกว่า Work Hard คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของผู้ที่ทำงานแบบ Work Smart คือจะต้องเป็นคนที่มีจิตสงบเป็นสมาธิ ไม่วอกแวก รู้ตัวเองว่ากำลังทำหรือพูดอะไร มีการวางแผนการทำงานไว้ล่วงหน้าเสมอ รู้เทคนิคหรือวิธีการในการจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์นำระบบงาน แนวคิด หรือเครื่องมือใหม่ ๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำงานของตนเอง คนที่ทำงานแบบ Work Smart จะมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่นิยม ทำงานดึก รู้จักจัดสรรเวลาให้กับการทำงาน ชีวิตส่วนตัว และครอบครัว พูดง่าย ๆ ว่ารู้จักวิธีการสร้างสมดุลของชีวิตจากการทำงานที่มีสมาธิ
เห็นด้วยกับอาจารย์ประเทือง เพราะว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำงานด้วยสมาธิ ในบางครั้งที่ว่างจากงานก็จะทำสมาธิทุกครั้งที่มีโอกาส การทำสมาธิเหมือนได้ผ่อนคลาย
แวะมาเก็บเกี่ยวเอาความรู้ค่ะ ขอบคุณที่นำสิ่งดี ๆ มีประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
อยากทำให้ได้อย่างบทความนี้นะค่ะ แต่ลองแล้วบางครั้งก็มีบ้างค่ะที่ต้องนอนดึก หรือต้องทำงานจนบางครั้งก็มีเวลาให้ครอบครัวน้อยไปนิดหนึ่งค่ะ
เคยฟังพระท่านสอนว่า "สติมาปัญญาเกิด ถ้าสติเตลิดจะไม่เกิดปัญญา" สติ แปลว่าความรู้สึกตัว ส่วนสมาธิ แปลว่า ความสำรวมใจให้แน่วแน่เพื่อให้จิตใจสงบหรือเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นคงจะไม่ผิดนะถ้าจะสรุปเสียใหม่ว่า "สมาธิมาปัญญาเกิดความคิดบรรเจิดดีเลิศล้ำลึกถ้าได้ฝึกสมาธิจะเกิดทั้งสติและปัญญา" ขอบคุณอาจารย์พรรณี น้องเสงี่ยม และน้องอำนวยพร ที่แวะมาเยี่ยมและร่วมแสดงความคิดเห็น
ถึงผมจาไม่รู้อะไรแต่อาจารย์เขาก็บอกไว้ดีนะคับ