• พ่อแม่เล่าว่าตอนอายุ ๕ – ๖
ขวบป่วยเป็นโรคหวาดกลัว
เห็นเงาบนหลังคาก็กลัว เห็นคนก็กลัว
ในที่สุดหายด้วยอุบายของหมออาคม (หมอที่ชื่อว่าอาคม
ไม่ใช่หมอที่รักษาด้วยคาถาอาคม)
หมออาคมให้เด็กรุ่นเดียวกันมากราบไหว้เป็นทีว่ากลัวเรา
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ หายหวาดกลัว
แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นเด็กขี้ขลาด ไม่กล้าหาญ
• หายป่วยอายุเกือบ ๖ ขวบ ปู่สอนหนังสือ
สอนเลข เรียนได้เร็ว
พ่อจึงพาไปฝากเข้าโรงเรียนก่อนเข้าเกณฑ์ ๒ ปี อยู่ชั้น ป.
เตรียม จำได้ว่าเพื่อนๆ
ที่เรียนมาก่อนเกือบปียังอ่านหนังสือไม่ออก
เราต้องเป็นต้นเสียง อ่านให้เพื่อนอ่านตาม
เมื่อเพื่อนรุ่นนี้ขึ้น ป. ๑
เราจึงได้ขึ้นไปเรียนด้วย เราจึงเรียนกับเพื่อนๆ
ปีมะโรง โดยที่เราเกิดปีมะเมียปลายปี
• จำได้ว่าชั้นเรียน ป. เตรียมอยู่ที่ศาลาวัด
นั่งพับเพียบกับพื้น มีโต๊ะยาวยกสูงขึ้นมาประมาณ๒๐ ซม.
ให้เด็กนั่งเอากระดานชนวนหรือหนังสือวาง กว่าจะจบ
ป. ๑ กระดานชนวนแตกไปนับ ๑๐ แผ่น
เพื่อนบางคนจนมากไม่มีเงินซื้อกระดานชนวน
พ่อทำกระดานดำขนาดเท่ากระดานชนวนให้ เขียนด้วยดินสอพอง
• เพื่อนส่วนใหญ่เดินเท้าเปล่า
เราเองบางทีก็เดินเท้าเปล่า
แต่ส่วนใหญ่สวมรองเท้าแตะหรือบางทีก็สวมเก๊ยะ
• ตอนอยู่ชั้นประถมเป็นแผลเรื้อรัง
หมอว่าเป็นคุดทะราด
ต้องไปฉีดยาเพ็นนิซิลลินที่ร้านหมอในตลาดจึงหาย
เพื่อนๆ หลายคนเป็นแผลที่ส้นเท้า
ต้องเดินเขย่งเท้า เขาเรียกว่าเป็นหน่อ
คือเป็นคุดทะราดนั่นเอง แต่เป็นมากกว่าของผม
• ตอนสายวันเสาร์ (สมัยนั้นโรงเรียนเรียน ๕ วันครึ่งต่อสัปดาห์)
นักเรียนจะมานั่งสวดมนตร์กันที่ห้องประชุม
โดยนั่งพับเพียบกับพื้นโดยสวดยาวนับครึ่งค่อนชั่วโมง
ซึ่งนับว่ายาวมากสำหรับเด็กซึ่งซุกซนอยู่นิ่งๆ
ไม่ได้ ตั้งแต่อรหังสัมมา
พาหุงสหัส อิติปิโสภควา ฯลฯ
โดยมีสมุดสวดมนตร์เล่มเล็กเท่าฝ่ามือเป็นตัวช่วย
แต่พอสวดบ่อยๆ เข้าก็จำได้ ไม่ต้องอาศัยคู่มือ
• โรงเรียนอยู่ห่างบ้านไปไม่ถึงกิโลเมตร
เดินไป
ตอนเที่ยงเดินกลับมากินข้าวที่บ้านแล้วเดินกลับ
ตอนที่เรียนอยู่ชื่อโรงเรียนประชาบาล ตำบลท่ายาง ๑
ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนวัดพิชัยยาราม
เวลานี้ชื่อโรงเรียนพิชัยยาราม ตอนเราเรียนมีชั้น ป.
เตรียม ถึง ป. ๔ ชั้นละ ๑ ห้อง เวลานี้สอนถึง ม.
๓
• เพื่อนๆ เป็นคนเก่ง เล่นเกมต่างๆ คล่องแคล่ว
เช่นเล่นหึ่ง เล่นตี่จับ กระโดดเชือก ทอยกอง
ร่อนรูป ฯลฯ เราเล่นไม่เก่ง
ไม่ค่อยมีคนอยากเล่นด้วยเพราะไม่มีฝีมือ
• แต่พอเข้าห้องเรียน เรากลายเป็นคนเก่ง
เป็นที่ชื่นชมของครู
• แปลกใจเรื่อยมา
ว่าที่เรียกว่าคนเก่งนั้นผู้ใหญ่มักหมายถึงเรียนเก่ง
แต่ทำไมคนที่เล่นเก่ง จึงเรียนหนังสือไม่เก่ง
มาเข้าใจว่าเป็นเรื่องพหุปัญญาก็เมื่ออายุจวนจะ ๖๐
การเลี้ยงดู และการศึกษาของเราไม่เอื้อ ไม่ส่งเสริม
ให้เด็กใช้ความสามารถที่หลากหลายด้านให้เกิดประโยชน์ในการฝึกฝนตนเอง
เพื่อเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในภายหน้า
เพื่อนของผมหลายคนถูกหาว่าโง่
โดยที่เขาฉลาดด้านอื่นที่ไม่ใช่เลขหรือหนังสือ
วิจารณ์ พานิช
๓ พค. ๔๙
เป็นเรื่องเล่าสมัยเด็กที่มีเนื้อหาที่มีความรู้...สมัยโน่นที่ดีทีเดียวค่ะ