ช่วงเย็นผมได้ชมรายการข่าวทางทีวี เห็นสมณะโพธิรักษ์พร้อมทนายความเข้ารับทราบข้อกล่าวหา จากการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนในคดี "การแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์"
หากดูเพียงผ่านๆ ก็คงจะไม่เห็นจะมีอะไร แต่ข่าวนี้กลับทำให้ผมมองเห็นภาพของคนบางส่วนของสังคมบ้านเรา ที่อ้างกันนักหนาว่าเมืองแห่งพระพุทธศาสนา กลับมองไม่เห็นแก่นแท้ของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมมีสติปัญญาน้อยนิดมิบังอาจวิพากษ์ในรายละเอียด แต่ผมมองการนับถือศาสนาของราวชาวพุทธ อยู่ที่การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน หาใช่ยึดติดรูปแบบ /การแต่งกาย หรือพิธีกรรมไม่
หากยึดการแต่งกายที่ถูกต้อง ซึ่ง "คน" เป็นผู้กำหนด หาใช่ "ธรรมชาติ" เป็นผู้กำหนด ก็คงไม่ต่างไปจากปัญหาของบ้านเมืองที่ คนก็จะชอบอ้างกฏเพียงเฉพาะที่เป็นประโยชน์แก่ตนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนทำถูกกฎอาจผิดก็ได้ หากต้นน้ำหรือเหตุแห่งที่มานั้นไม่ถูกต้องในกฎของธรรมชาติ เพราะธรรมชาติไม่เคยลำเอียงเข้าข้างใคร
ผมมีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง ซึ่งเก็บไว้ตอนที่นำหนังสือบริจาคไปให้ชาวบ้าน ซึ่งที่ที่จะนำไปให้เขาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ผมจึงเก็บรักษาไว้ประมาณ 10 ปี หลังจากเก็บไว้ จึงได้นำมาอ่าน พบว่าเป็นหนังสือที่นำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาถ่ายทอดอย่างละเอียด คนมีปัญญาน้อยนิดอย่างผมมีความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติตามในฐานะของคนที่นับถือศาสนาพุทธได้ในระดับหนึ่ง ตามกำลังสติปัญญา หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "สมาธิพุทธ เล่มที่ 2 " แต่คนถ่ายทอดมีชื่อว่า พระโพธิรักษ์ ที่กำลังเป็นข่าวที่เขากล่าวหาว่าไม่ใช่พระสงฆ์
สำหรับผมมองเห็นแก่นแท้ที่อยู่ภายใน เปลือกที่คนบางส่วนยังหลงยึดมั่นอยู่นั้น มันเป็นเพียงภาพลวงตา ทำใมไม่ปล่อยวางกันเสียที หรือว่าสังคมเรา (บางส่วน) หลงทาง คงเข้าถึงได้เพียงเปลือกแค่นั้นเอง
" นี่ก็เป็นมุมมองหนึ่งที่นักพัฒนาทั้งหลายไม่ควรที่จะมองข้าม "
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย สิงห์ ป่าสัก ใน KMนักส่งเสริมการเกษตร
ก็แล้วใครอยากจะเสื่อมอำนาจบ้างล่ะ ในเมื่อมีอำนาจนั้นแล้ว.. เหอะๆๆ..