ในเรื่อง "สามก๊ก" ฉบับแปลโดยเจ้าพระยาพระคลัง (หน) มีบุคคลที่ผมประทับใจมากเป็นพิเศษอยู่ 2 คน คนแรกคือ "ขงเบ้ง" และ คนที่สองคือ "จูล่ง" ครับ
ตอนเรียนอยู่ประถมสี่ เรื่อง "สามก๊ก" ตอนที่เขาเอามาให้อ่าน (ในหนังสือแบบเรียนภาษาไทย) เป็นตอน "ขงเบ้งตาย" ครับ อ่านแล้วก็สงสารขงเบ้งมาก
ผมอ่านหนังสือรวดเดียว (7 วัน) ได้เป็นพันหน้า ตอนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๔ ครับ ที่อ่านได้มากอย่างนั้น เป็นเพราะประทับใจใน "ขงเบ้ง" ครับ
นอกจากนั้นเข้าใจว่าในวิชา "วาดเขียน" ผมวาดรูปภาพเหมือนของคนครั้งแรก ก็เป็นภาพขงเบ้งถือพัดขนนกนั่นแหละครับ
ขงเบ้ง [諸葛亮] หรือ จูกัดเหลียง มีฉายาว่า ข่งหมิง {Kong Ming 孔明} เกิดปีพ.ศ. 724 ตายปี พ.ศ. 777 ขณะมีอายุได้ 53 ปี (ขอฟันธงว่าตายด้วยโรคหัวใจ)
ขงเบ้งเป็นนักการเมืองและนักวางแผนในสมัยสามก๊ก (พ.ศ. 763-823 = 60 ปี) และเราอาจรู้จักขงเบ้งในฐานะวิศวกรหรือนักวิชาการด้วยก็ได้
ในวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก ขงเบ้งถูกยกให้เป็น "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" มีฉายาว่า "ฮกหลง" หรือ "มังกรซ่อนกาย"
![]() |
ภาพวาดของขงเบ้ง : สวมใส่ชุดนักพรตและหมวกทรงสูง ถือพัด |
ต่อไปเป็นเกร็ดชีวิตของขงเบ้งที่เก็บมาฝากจากวรรณกรรมเรื่องสามก๊ก
-
เล่าปี่รู้จัก "ฮกหลง" ครั้งแรกจากอาจารย์ "สุมาเต๊กโช" ด้วยคำกล่าวที่ว่า "อันฮกหลงกับฮองซูสองคนนี้ ถ้าได้มาเป็นที่ปรึกษาด้วยแต่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็อาจสามารถจะคิดอ่านปราบปรามศัตรูแผ่นดินให้สงบได้"
-
ช๊ชีแนะนำขงเบ้งให้กับเล่าปี่ว่า "อันขงเบ้งนั้นแซ่จูกัด บัดนี้หาบิดามารดาไม่ อยู่กับจูกัดกิ๋นซึ่งเป็นน้องชาย ทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิตอยู่บนเขาโงลังกั๋ง ณ ตำบลลงเสีย ชาวบ้านทั้งปวงเรียกชื่อขงเบ้งนั้นว่าอาจารย์ฮกหลง แม้ท่านอุส่าห์ไปเชิญขงเบ้งมาไว้ช่วยคิดอ่านทำการ ท่านจะปราบปรามบ้านเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเป็นสุขได้"
-
เมื่อชีชีจะไปหาโจโฉ ได้แวะไปหาขงเบ้ง เพื่อแนะนำให้ไปอยู่กับเล่าปี่ ขงเบ้งโกรธกล่าวว่า "ท่านจะไปจากเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดจะให้เล่าปี่หรือ จึงจะเอาเราไปเป็นเครื่องเซ่น"
-
ตอนสุมาเต๊กโชไปเยี่ยมชีชีซึ่งไปอยู่กับเล่าปี่ (แต่ไม่พบเพราะไปหาโจโฉแล้ว) ตอนหนึ่งสุมาเต๊กโชกล่าวถึงขงเบ้งว่า "ชีชีจะไปแต่ตัวนั้นไม่ได้ จะให้ขงเบ้งได้ความระกำใจรากโลหิตออกเมื่อภายหลังนี้หาควรไม่"
-
ลักษณะของขงเบ้งต้องให้เล่าปี่บรรยาย "เล่าปี่แลเห็นขงเบ้งรูปร่างใหญ่โต สูงถึงหกศอก สีหน้าขาวเหมือนหยวก แต่งตัวโอ่โถง ท่วงทีเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่"
-
ตอนเล่าปี่ไปเชิญขงเบ้งครั้งที่สามนั้น ขงเบ้งได้ชี้ให้เล่าปี่เห็นว่า ต่อไปแผ่นดินจะเป็น "สามก๊ก" โดยเล่าปี่จะได้เป็นใหญ่อยู่ก๊กหนึ่ง โจโฉก๊กหนึ่ง และซุนกวนก๊กหนึ่ง เหมือนกระถางธูปสามขา บรรดาคนจีนทั้งหลายจึงพากันนับถือขงเบ้งว่ามีปัญญารู้ตำราตลอดไปกาลภายหน้า
-
ก่อนขงเบ้งลงจากเขาโงลังกั๋ง ได้กล่าวกับน้องชายว่า "เล่าปี่มีความอุตส่าห์มาถึงสามครั้ง ว่ากล่าวอ้อนวอนให้ไปอยู่ทำราชการด้วยช่วยทำนุบำรุง ครั้นจะตัดประโยชน์เสียก็เอ็นดูกับเล่าปี่ ตัวเราจะไปด้วยเล่าปี่ เจ้าอยู่ภายหลังจงรักษาโคกระบือไร่นาข้าวของทั้งปวงไว้ อย่าให้เป็นอันตรายเสียได้ ถ้าเราไปช่วยเล่าปี่ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสำเร็จแล้ว ก็จะกลับคืนมาหากินด้วยกันเหมือนดังเก่า" ยาขอบจึงเรียกขงเบ้งว่า "เหลียงชาวนา"
-
ตอนซุนกวนใช้ให้โลซกมาสืบข่าวทัพโจโฉที่เมืองกังแฮที่เล่าปี่อยู่ ขงเบ้งกล่าวกับเล่าปี่ว่า "โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้เอิกเกริกดังแผ่นดินจะถล่ม เห็นว่าซุนกวนจะสุดุ้งตกใจอยู่ ดีร้ายจะใช้คนสอดแนมมาถึงเรา ถ้าแลผู้ใดมาถึงท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะขออาสา เอาแต่เรือลำหนึ่งไปกับลิ้นข้าเจ้าสามนิ้วที่ไม่เน่านี้ ไปยุให้ซุนกวนผิดใจกับโจโฉให้จงได้ ถ้าโจโฉแพ้ก็จะเข้าช่วยซุนกวน เห็นได้ท่วงทีแล้วเราก็จะเข้าชิงเอาเมืองเกงจิ๋วเป็นกำไรเปล่า แม้ซุนกวนแพ้ เราก็จะคิดแก้ไขชิงเอาเมืองกังตั๋งไว้ได้"
-
ตอนขงเบ้งไปช่วยจิวยี่รบทัพโจโฉ แล้วจิวยี่คิดอุบายจะฆ่าขงเบ้งด้วยการใช้ให้ทำเกาทัณฑ์สิบหมื่นดอกในสามวัน ขงเบ้งจึงคิดอุบายยืมลูกเกาทัณฑ์จากโจโฉ ตอนหนึ่งขงเบ้งกล่าวกับโลซกว่า "อันธรรมดาเป็นชายชาติทหาร ถ้าไม่รู้คะเนการฤกษ์บนและฤกษ์ต่ำ ก็มิได้เรียกว่ามีสติปัญญา ซึ่งเราจะมาทำการทั้งนี้เพราะรู้ว่าวันนี้หมอกจะลงหนัก เราจึงอาจให้ทัณฑ์บนจิวยี่ไว้ ซึ่งจิวยี่ให้เราเป็นนายกองทำลูกเกาทัณฑ์ในสิบวันให้แล้วสิบหมื่นนั้น ถึงมาตรว่าจะให้ช่างทำก็ไม่ทัน เหตุทั้งนี้ก็เพราะจิวยี่คิดจะฆ่าเราเสีย แต่หากเทพดาช่วยเรา เราจึงรู้ว่าวันนี้หมอกลงหนัก เราจึงอาจรับแต่สามวัน แลบัดนี้บุญเรามากจึงรอด"
-
ตอนจิวยี่ป่วยเพราะลมพัดจากกองทัพโจโฉมาหาทัพของตน ไม่อาจเอาไฟเผาทัพโจโฉได้ พอขงเบ้งไปเยี่ยม ตอนหนึ่งหนังสือสามก๊กเขียนว่า "ขงเบ้งนั้นรู้ในตำราว่าเดือนอ้ายแรกมห้าค่ำจะเกิดลมสลาตัน ครั้นจะบอกตำราให้จิวยี่รู้ไวสืบไปเกลือกจิวยี่กับเราจะได้ทำศึกต่อกัน จิวยี่จะไม่เกรงความคิดเรา จำเราจะคิดอุบายบอกจิวยี่ให้ทำการแล้วจะลอบหนีไป" ปล.ในข้อ 8 และ 9 นี้ทำให้ขงเบ้งเป็น "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร"
-
ตอนหนึ่งที่ขงเบ้งใช้กวนอูไปสกัดโจโฉที่ตำบลฮัวหยงเพื่อแทนคุณโจโฉนั้น ขงเบ้งสั่งกวนอูว่า "ให้ท่านคุมทหารห้าร้อยไปตั้งสกัดอยู่ทางฮัวหยง ด้วยที่นั้นเป็นทางร่วมกันจะไปเมืองเกงจิ๋ว แต่ทางใหญ่อ้อมไกลกว่าทางลัดถึงห้าร้อยเส้น อันทางลัดนั้นเร็วแต่เดินยากด้วยเป็นซอกเขา ท่านจงให้ทหารขนเอาฟืนและฟางมากองสุมเพลิงไว้ปากทางลัด โจโฉเห็นแสงเพลิงก็จะหนีไปทางลัดด้วยเป็นทางตรง"
-
จากข้อ 11 กวนอูจึงถามว่า "โจโฉจะหนีความตายเหตุใดท่านจึงกลับว่าโจโฉจะเข้ามาตามแสงเพลิงเล่า" ขงเบ้งจึงตอบว่า "โจโฉนั้นมีความคิดชำนาญในการล่อลวง ครั้นเห็นแสงเพลิงก็จะคิดว่า จิวยี่แกล้งทำกลให้ไปกองเพลิงไว้ แต่งกองทัพไปซุ่มสกัดอยู่ปากทางใหญ่ โจโฉก็คงจะไปทางกองเพลิง"
-
ตอนจิวยี่จะไปตีเมืองลำกุ๋น ขงเบ้งสอนให้เล่าปี่เจรจากับจิวยี่ดังนี้ เล่าปี่จึงว่า "เมื่อโจโฉแตกไปนั้นได้ให้โจหยินอยู่รักษาเมืองลำกุ๋น แล้วแต่งทหารเอกซึ่งมีฝีมืออยู่รักษาด่านทางเป็นหลายตำบล อันโจหยินนั้นก็มีกำลังกล้าหาญนัก ข้าพเจ้าเกรงว่าท่านทำการจะไม่สมความคิด" จิวยี่จึงว่า "แม้เราตีเอาเมืองลำกุ๋นไม่ได้ ท่านก็จงยกไปตีเอาเถิด" เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นจึงให้ขงเบ้งและโลซกเป็นพยาน แลขงเบ้งจึงกล่าวสำทับว่า "อันจิวยี่นี้แม้จะเจรจาสิ่งใดก็มั่นคงนัก อ้นเมืองลำกุ๋นนั้นให้จิวยี่ไปตีก่อน ถ้าขัดสนประการใดเล่าปี่จึงยกไปกทำการต่อภายหลัง"
-
ตอนภรรยาเล่าปี่ตาย จิวยี่ทราบข่าวจึงวางแผนกับซุนกวน ใช้ให้ลิห้อมมาเจรจาให้เล่าปี่ไปแต่งงานกับน้องซุนกวนที่แคว้นกังตั๋ง ตอนหนึ่งขงเบ้งกล่าวกับเล่าปี่ว่า "อันความคิดจิวยี่ทำกลครั้งนี้ เห็นหาเกินความคิดข้าพเจ้าไม่ ข้าพเจ้าจะให้จิวยี่แพ้ความคิดจงได้ ทั้งน้องสาวซุนกวนก็จะให้ได้แก่ท่าน เมื่อท่านกับซุนกวนเกี่ยวดองกันแล้ว เมืองเกงจิ๋วก็จะเป็นสิทธิ์แก่เรา"
-
มีคำกล่าวของจิวยี่ (งิ้ว) ก่อนตายกล่าวไว้ว่า "เทียนกี้แซยี่ ฟ้าให้ยี่เกิดมาแล้ว, ฮ่อปิ๊ดแซเหลียง ไฉนให้เหลียงเกิดมาด้วยเล่า" สามก๊กเขียนว่า "เทพดาองค์ใดหนอซึ่งให้เราเกิดมาแล้ว เหตุใดจึงให้ขงเบ้งเกิดมาด้วยเล่า"
-
ตอนขงเบ้งจะไปคำนับศพจิวยี่ที่แคว้นกังตั๋ง เล่าปี่ห้ามขงเบ้งไว้ ขงเบ้งจึงว่า "แต่ตัวจิวยี่อยู่ข้าพเจ้ายังไปได้ไม่กลัว บัดนี้จิวยี่ตายแล้วจะเกรงผู้ใดเล่า" แล้วขงเบ้งก็ไปแสดงละครร้องไห้รักจิวยี่ จนคนเมืองกังตั๋งสะเทือนใจ
-
ตอนเล่าเจี้ยงกลัวเตียวล่อจะมาตีเมืองเสฉวน จึงใช้ให้เตียวสงไปเจรจาขอให้โจโฉมาช่วย แต่เตียวสงไปทำให้โจโฉโกรธ โจโฉจึงไล่ตะเพิดกลับมา เตียวสงจึงมาเมืองเกงจิ๋ว ขงเบ้งรู้ข่าวก็ให้จูล่งไปต้อนรับนอกเมือง และสอนให้เล่าปี่เจรจาความเมืองโดยไม่เอ่ยปากเรื่องเมืองเสฉวนเลย เตียวสงทนไม่ได้จึงแกล้งถามว่า "ท่านมาอยู่เป็นใหญ่ในเมืองเกงจิ๋วนี้มีเมืองขึ้นสักกี่หัวเมือง" ขงเบ้งจึงชิงบอกว่า "เมืองเกงจิ๋วนี้นายของเราขอยืมซุนกวนเจ้าเมืองกังตั๋งอยู่ดอก ทุกวันนี้เขาก็เวียนมาทวงจะเอาคืน รำคาญใจมิรู้ที่จะผ่อนผันเลย" ตอนสุดท้ายเตียวสงก็มอบแผนที่ของเมืองเสฉวนที่ตัวแอบเตรียมมาจะให้โจโฉนั้น มอบให้แก่เล่าปี่ด้วยความเต็มใจ
-
ขงเบ้งมิได้มีความอิจฉาริษยา ตอนบังทองจะมาอยู่กับเล่าปี่ ขงเบ้งเขียนหนังสือฝากไว้ว่า "ฮองซูผู้ชื่อว่าบังทองมาถึงวันไรก็ให้เล่าปี่เลี้ยงรักษาไว้จะได้ช่วยราชการ" และตอนที่บังทองไปช่วยเล่าปี่ตีเมืองเสฉวนนั้น ขงเบ้งตรวจดูดาวเห็นว่า เล่าปี่จะเสียนายทหารจึงให้หนังสือเตือนเล่าปี่ไป เล่าปี่ก็เตือนบังทอง แต่บังทองกลับกล่าวว่า "ซึ่งขงเบ้งให้หนังสือมานั้นด้วยริษยาเห็นว่า ข้าพเจ้ามาทำการด้วยท่านจะได้เมืองเสฉวนเป็นความชอบ จึงว่ามาทั้งนี้ หวังจะให้ท่านสงสัยใจมิให้ทำการตลอด ข้าพเจ้าก็จะหามีความชอบไม่"
-
ตอนบังทองตาย เล่าปี่จึงมีหนังสือขอให้ขงเบ้งไปช่วยทางเมืองเสฉวน ก่อนจะไป ขงเบ้งจึงเอาตราสำหรับว่าราชการเมืองเกงจิ๋วมามอบให้กวนอู ก่อนมอบขงเบ้งได้กล่าวกับกวนอูตอนหนึ่งว่า "ท่านจงจำคำของเราไว้ ท่านอยู่ภายหลัง จงจัดแจงระมัดระวังตัวข้างฝ่ายเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข" สรุปความว่า "เหนือต้านโจโฉ ใต้ปรองดองซุนกวน"
-
ตอนโจโฉรบกับเล่าปี่ที่ทุ่งฮันซุย ขงเบ้งใช้อุบายใช้ให้จูล่งตีกลองแลเป่าเตรตอนเที่ยงคืน ถึง 3 คืน ทำให้ทหารโจโฉไม่ได้หลับไม่ได้นอนจึงต้องล่าทัพไปจากที่นั่นไกล 300 เส้น ขงเบ้งเห็นก็หัวเราะแล้วว่ากับเล่าปี่ว่า "โจโฉนี้ดีแต่การณรงค์ฝ่ายเดียว หารู้อุบายศึกไม่"
-
ตอนโจผีชิงราชสมบัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ ขงเบ้งต้องการให้เล่าปี่สถาปนาเป็นพระเจ้าเล่าปี่ เพื่อเชิดชูราชวงศ์ฮั่นต่อไป แต่เล่าปี่ไม่ยอม ขงเบ้งจึงแกล้งป่วย เมื่อเล่าปี่มาเยี่วมขงเบ้งทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า "แต่ก่อนข้าพเจ้าออกจากบ้านมาทำราชการอยู่ด้วยท่านจนได้เมืองเสฉวน ข้าพเจ้าก็ขอบคุณท่านด้วยจะว่าประการใดท่านก็ทำตามทุกสิ่งทุกประการ บัดนี้อ้ายโจผีคิดขบถต่อแผ่นดิน ฆ่าพระเจ้าเหี้ยนแต้แลขุนนางเสีย ชิงเอาราชสมบัติ ขุนนางทั้งปวงที่เห็นพรรคพวกมันก็ยกโจผีเป็นเจ้าแผ่นดิน บันนี้ขุนนางทั้งปวงฝ่ายเราพร้อมกันจะยกท่านให้เป็นเจ้าแผ่นดิน จะได้ยกทัพไปกำจัดโจผีศัตรูราชสมบัติเสีย ท่านไม่ยอม ข้าพเจ้าเห็นว่าขุนนางจะเสียน้ำใจ นานไปจะเอาใจออกหากท่าน ถ้าขุนนางเอาใจออกหากแล้ว ซุนกวน โจผี ข้าศึกสองฝ่ายนี้จะมาทำอันตรายท่าน เห็นเมืองเสฉวนจะขัดสนเสียมั่นคง"
-
เมื่อเล่าปี่จะยกทัพไปตีแคว้นกังตั๋ง เพื่อแก้แค้นให้กับกวนอูนั้น ขงเบ้งทำหนังสือชี้แจงว่า "ข้าพเจ้าพิเคราห์ดูการเห็นว่าเมื่อซุนกวนยกทัพมาครั้งนั้น ดาวประจำตัวกวนอูวิปริตกวนอูจึงเป็นอันตราย ข้าพเจ้าคิดเสียดายกวนอูนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นโทษโจผีหนักกว่าที่ทำร้ายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางแลราษฎร์ทั้งปวงเจ็บใจทั้งแผ่นดิน ฝ่ายซุนกวนนั้นเจ็บใจแต่พระองค์ อนึ่งจะทำกับซุนกวนเป็นการเบา ถ้าพระองค์ยกกองทัพไปกำจัดโจผีแล้ว ฝ่ายซุนกวนก็จะยอมเข้ามาเป็นข้าของพระองค์"
-
ตอนขงเบ้งไปรบกับเบ้งเฮ็กและปล่อยเบ้งเฮ็กเป็นครั้งที่สาม ระหว่างงานเลี้ยงฉลองชัย ขงเบ้งกลัวว่าทหารจะน้อยใจที่ปล่อยเบ้งเฮ็กไปอีก จึงกล่าวถึงสาเหตุที่ต้องปล่อยว่า "เบ้งเฮ็กนี้เป็นเจ้าเมืองบ้านนอก น้ำใจกระด้างนักผิดคนเมืองเรา จนได้ตัวมาแล้วมันยังไม่สารภาพแพ้ทีเดียว ซึ่งปล่อยมันไปนั้นเราคิดจะให้มันกลัวเกรงทั้งภายนอกภายในให้จงหนักก่อน จึงจะกลับไปได้ ถ้าจะเอาแต่พอชนะร่อนๆ แล้วกลับไปเมือง จะยกไปทำการด้วยพระเจ้าโจผีเล่า ดีร้ายเบ้งเฮ็ก ก็จะยกไปตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจงอุตส่าห์รบให้เบ้งเฮ็กรับแพ้แล้วก็จะได้เป็นสุขด้วยกัน"
-
ตอนที่ขงเบ้งยกทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หนึ่ง แม่ทัพฝ่ายตรงข้ามคือโจจิ๋น มีอองลองเป็นที่ปรึกษา อองลองอาสาว่าจะใช้ลมปากกล่อมให้ขงเบ้งยอมแพ้และถอยทัพกลับไป แต่ขงเบ้งกลับใช้ลมปากฆ่าอองลองได้ด้วยคำพูดดังนี้ "ตัวท่านนี้เราก็รู้จักอยู่ เดิมเป็นลูกตระกูลอยู่บ้านกังไฮ คนทั้งปวงนับถือท่านว่ามีสติปํญญารู้จักคุณบิดามารดา พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ควรท่านจะทำการสนองคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้โดยสุจริต ช่วยกันยกย่องเชื้อพระวงศ์ขึ้นครองสมบัติจึงจะชอบ แลท่านคบคิดเข้าด้วยอ้ายโจรชิงเอาราชสมบัติฉะนี้ โทษก็ผิดอยู่เป็นอันมาก คนทั้งปวงซึ่งสัตย์ซึ่อต่อแผ่นดินก็คิดแค้นท่านนักจะใคร่ฉีกเนื้อกินเสียทั้งเป็น ถึงเทพยาดาในชั้นฟ้าก็จะสังหารท่าน บัดนี้เราพิเคราะห์เห็นว่า บุญแซ่เชื้อพระเจ้าเหี้ยนเต้ยังมากอยู่ พระเจ้าเล่าปี่จึงได้เป็นใหญ่ขึ้นในเมืองเสฉวนต่อพระวงศ์กันมา ตัวเรารับสั่งพระจ้าเล่าเสี้ยนให้ยกกองทัพมาปราบอ้ายโจรราชสมบัติ ตัวท่านเป็นคนอกตัญญูเร่งหนีซุกซ่อนไปเอาตัวรอดให้พ้นความตายเถิด อย่ามาฝืนหน้าพูดถึงการแผ่นดินเลย ให้เร่งคิดถึงตัวด้วยแก่ชราถึงเพียงนี้แล้ว จะตายไปดูหน้าวงศ์พระเจ้าเหี้ยนเต้กระไรได้ อ้ายโจรเฒ่า มึงเร่งกลับไปบอกอ้ายพวกขบถให้ยกกองทพัมารบกัน จะได้เห็นฝีมือว่าผู้ใดจะแพ้แลชนะ" อองลองคิดแค้นใจร้องขึ้นด้วยเสียงอันดัง พลัดตกลงจากม้าถึงแก่ความตาย
-
จากข้อ 24 ม้าเจ๊กอาสาขงเบ้งไปรักษาตำบลเกเต๋ง แต่ทำไมสำเร็จ สุมาอี้ไปยึดตำบลนั้นได้ ทำให้ขงเบ้งต้องรีบถอยทัพ ขงเบ้งให้ทัพอื่นถอยไปหมด ตนเองไปขนเสบียงที่เมืองหลงเส เหลือทหารอยู่ 2,500 คน ขณะนั้นมาใช้มาบอกว่า สุมาอี้ยกทหารมาแล้ว ขงเบ้งตกใจรีบขึ้นไปดูบนเชิงเทิน พลันก็คิดอุบายที่จะให้สุมาอี้ถอยทัพกลับไปได้ ขงเบ้งให้ทหารรื้อถอนธงทีปักไว้บนกำแพงลงเสียสิ้น ให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ จัดให้ทหารและชาวบ้านกวาดหยากไย่ที่ประตูเป็นปรกติแห่งละ 20 คน แล้วให้ทหารที่เหลือซุ่มอยู่ ตัวเองแต่งตัวอ่าโถงพาเด็กน้อย 2 คน ขึ้นไปบนหอรบ เด็กคนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือแส้ ยืนอยุ่ทั้งสองข้าง ตรงหน้าเป็นกระถาง แล้วขงเบ้งก็ดีดพิณเหมือนไม่มีอะไร พอสุมาอี้มาถึงเห็นขงเบ้งนั่งดีดพิณอย่างสบายใจ ก็มีใจครั่นคร้าม กลัวขงเบ้งซุ่มทัพไว้ ด้วยเคยแพ้ทางกันอยู่ จึงสั่งถอยทัพทันที โดยให้กองหลังเป็นกองหน้า และกองหน้าเป็นกองหลัง พอสุมาอี้ถอยทัพไปแล้ว ขงเบ้งตบมือหัวเราะ แล้วพูดกับทหารว่า "ซึ่งเราหัวเราะทั้งนี้เพราะเห็นสุมาอี้มิรู้เท่าเรา สำคัญว่าเราซุ่มทหารไว้ก็ตกใจกลัวหนีไปเอง อันกลอุบายนี้เรามิทำก็จำทำ ด้วยจนใจจวนตัวอยู่แล้วก็จำเป็น"
-
พอขงเบ้งกลับไปเมืองฮันต๋ง ก็พิจารณาโทษของม้าเจ๊กว่า "ตัวท่านมีสติปัญญาได้เรียนรู้กลสงครามมาแต่น้อยจนใหญ่ แลขันอาสาไปครั้งนี้ เราก็ได้กำชับเป็นกวดขันว่า ตำบลเกเต๋งนั้นเป้นที่สำคัญอยู่ ท่านอวดรู้ทำทัณฑ์บนให้แก่เรา บัดนี้ก็ไม่เหมือนทัณฑ์บน ทำให้เสียการ ทั้งนี้โทษท่านก็ใหญ่หลวง ครั้นจะมิเอาโทษตามพระอัยการศึกนั้น สืบไปเบื้องหน้าทหารทั้งปวงก็จะดูเบาแก่ราชการ แม้ท่านตายเสียผู้เดียวก็จะเป็นกฎหมายอย่างธรรมเนียมไป ราชการก็จะไม่แปรปรวนฟั่นเฟือนเสีย ท่านอย่าน้อยใจเราเลย อันบุตรภรรยาอยู่ภายหลัง เราจะช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงไปดังตัวท่านยังอยู่ เกิดมาเป็นชาติทหารแล้วอย่าได้อาลัยแก่ชีวิตเลย จงสู้ตายตามโทษานุโทษนั้นเถิด" เมื่อม้าเจ๊กถูกประหารแล้ว ทหารเอาศีรษะมาให้ขงเบ้ง เมื่อขงเบ้งเห็นศีรษะม้าเจ๊กก็ร้องไห้ เจียวอ้วนถามว่าร้องไห้ทำไม ขงเบ้งจึงว่า "ซึ่งเราร้องไห้ทั้งนี้ใช่จะอาลัยด้วยรักม้าเจ็กหามิได้ เราคิดถึงคำพระจ้าเล่าปี่เมื่อมาพักอยู่เมืองเป๊กเต้ก่อนจะสิ้นใจนั้น ได้ว่าไว้แก่เราว่า ม้าเจ๊กนี้ปากรู้มากกว่าใจ ซึ่งจะใช้การใหญ่ไปภายหน้ามิได้ เราลืมไปมิได้คิด ครั้นเห็นศีรษะม้าเจ๊กระลึกได้จึงร้องไห้" (การดูลักษณะของคนเล่าปี่เก่งกว่าขงเบ้ง) จากการพ่ายแพ้ครั้งนี้ ขงเบ้งทำเรื่องราวถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเพื่อลดตำแหน่งของตัวลง 3 ขั้นแต่ยังคงบังคับบัญชาทหารเหมือนเดิมเป็นการแสดงความรับผิด(ชอบ) ในกรณีนี้
-
ในการยกทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่หก ขงเบ้งตั้งใจจะทำศึกครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย มีการแก้ปัญหาในการลำเลียงเสบียง โดยขงเบ้งคิดประดิษฐ์ "โคยนตร์" เพื่อการนี้โดยเฉพาะ และคราวหนึ่งได้ลวงสุมาอี้กับบุตรชายทั้งสองเข้าไปในหุบเขา แล้วเผาด้วยเพลิง สุมาอี้จวนจะสิ้นชีพอยู่แล้ว ฝนตกลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สุมาอี้เลยรอดไปได้ หลังจากนั้นก็ไม่ออกรบอีกเลย ขงเบ้งจึงส่ง "ผ้าซับในกางเกงผู้หญิง" ไปให้สุมาอี้ พร้อมกับหนังสือฉบับหนึ่งมีใจความว่า "สุมาอี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองลกเอี๋ยง ยกกองทัพออกมาจะทำสงครามด้วยเรา เหตุใดจึงนิ่งอยู่แต่ในค่ายช้านาน มิได้ออกรบพุ่งให้รู้จักฝีมือแลความคิดกันไว้ อันธรรมดาเป็นชาติทหารแล้วมิได้ออกจากค่ายฉะนี้ ก็เหมือนหนึ่งผ้าซับในกางเกงของหญิงซึ่งเราให้ไปนั้น แลเราทำการมาให้ทั้งนี้ หวังจะให้สุมาอี้อัปยศแก่ทหารทั้งปวง จะได้มีมานะออกรบพุ่งด้วยตัวเรา" สุมาอี้นั้นโกรธอยู่ในใจ แล้วถามผู้ถือหนังสือว่า "ขงเบ้งยังกินนอนเป็นปรกติอยู่หรือ" ผู้ถือหนังสือตอบว่า "ทุกวันนี้มหาอุปราช จะกินอาหารแลสิ่งของก็น้อย นอนนั้นมิได้ปรกติด้วยกำชับตรวจตราทแกล้วทหารให้รักษาค่ายเป็นการใหญ่อยู่" สุมาอี้จึงว่า "ซึ่งขงเบ้งคิดการศึกดังนี้ ก็มีความทุกข์ใหญ่หลวง เห็นอายุขงเบ้งจะสั้นเสียแล้ว เราคิดวิตกอยู่ ถ้าหาขงเบ้งไม่ อันจะทำการสงครามด้วยผู้ใดเห็นจะไม่สู้สนุก"
-
สุมาอี้ขอพระบรมราชโองการจากพระเจ้าโจยอย "ไม่ออกรบ" ขงเบ้งไม่รู้จะทำอย่างไรก็ตรอมใจ เมื่อดูดาวก็รู้ว่าจะสิ้นอายุ จึงทำพิธีต่อชะตา มีโคมเสี่ยงทายอายุ ทำตอนกลางคืนอยู่ได้หกคืน สุมาอี้ส่งทหารมาท้ารบ อุยเอี๋ยนพรวดพราดเข้ามาสะดุดโคมเสี่ยงทายดับไป ขงเบ้งโยนกระบี่ทิ้งแล้วร้องว่า "ความตายนี้เป็นบุราณกรรมถึงมาตรว่าจะคิดอ่านแก้ไขประการใดก็ไม่พ้น ตัวเราครั้งนี้จะถึงความตายเป็นมั่นคง"
-
งานสุดท้ายที่ขงเบ้งรักและอยากจะทำ ก็คือการได้ตรวจตราทหาร ขงเบ้งให้ทหารพยุงขึ้นรถศึกออกตรวจตราค่าย ซึ่งขณะนั้นเป็นฤดูหนาว ขงเบ้งหนาวสะท้านจึงกลับมาค่าย ถอนใจใหญ่แล้วว่า "ตัวเรานี้มีความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินจะมาถคึงแก่ความตาย เทพดาไม่ช่วยเราแล้วหรือ" ขงเบ้งเขียนหนังสือถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนฉบับสุดท้ายใจความว่า "ข้าพเจ้าขงเบ้งขอกราบถวายบังคมมาให้ทราบ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าบุราณกรรมมาถึงแล้ว แลตัวข้าพเจ้านี้ก็อุตส่าห์ตั้งใจทำราชการตามสติปัญญา พระเจ้าเล่าปี่ชุบเลี้ยงให้เป็นใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ว่าศัตรูฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ยังไม่ราบคาบ ควรหรือจะมาด่วนถึงแก่ความตาย ก็คิดแค้นอยู่ทุกเวลา แม้ข้าพเจ้าตายแล้ว พระองค์จงรักษาความสัตย์ บำรุงทหารอาณาประชาราษฎาให้อยู่เย็นเป็นสุขตามประเพณี อย่าให้เชื่อฟังคำคนอันเป็นพาล บ้านเมืองจึงจะปรกติสืบไป อันในที่อยุ่ข้าพเจ้านั้นมีต้นหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมอยู่ถึงแปดร้อยต้น นาห้าสิบไร่ แลที่นากับต้นหม่อนนี้ก็พอเลี้ยงบุตรภรรยาข้าพเจ้าอยู่แล้ว อันทรัพย์สิ่งของข้าพเจ้าซึ่งอยู่ในเรือนนั้นขอให้เอาเข้าไปไว้ในท้องพระคลังจะได้แจกทหาร" ขงเบ้งทำงานด้วยอุดมการณ์ ไม่ได้ทำเพื่อทรัพย์สมบัติ
-
ขงเบ้งสิ้นใจในเดือนสิบแรมแปดค่ำ ขณะมีอายุย่าง ๕๔ ปี พระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบสองปี (พ.ศ.๗๗๗)
***************************************
ท่านผู้อ่านได้ข้อคิดอะไรบ้างครับ
บันทึกนี้เขียนที่ GotoKnow โดย beeman 吴联乐 ใน 25th Anniversary Beeman
ท่าน BeeMan ต้องมีอะไร "พิเศษ"
วันนี้ "ความลับ เปิดเผย แล้วครับ"