วันนี้ใจฮึกเหิม...
ผมไปมหาวิทยาลัยในเวลาที่เช้ากว่าปกติ...เพราะที่มหาวิทยาลัยมีพิธีการซ้อมรับพระราชทานปริญญาบัตร แน่นอนว่าบรรยากาศโดยรวมเป็นบรรยากาศแห่งความชื่นชม ยินดี กระจายไปทั่วบริเวณ จะว่าไปบรรยากาศแบบนี้ผมสัมผัสมาหลายครั้งด้วยตนเอง โดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดอกไม้ทั้งหลายจะพร้อมใจกันบานชูช่อเหมาะเจาะเอาตรงช่วงวันรับปริญญา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดีจึงสวยงามที่สุดช่วงหนึ่งในรอบปี
แต่วันนี้ผมไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เหมือนเดิม แต่มาเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล บรรยากาศการซ้อมรับปริญญาก็ให้อารมณ์ ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน ดอกบัวดินที่อยู่ริมทางเดินต่างพร้อมใจกันบานสะพรั่ง หลากสีสัน แต่งแต้มให้ริมทางเดินเพลิดเพลินไม่น้อย
ผมเดินลัดเลาะตามทางก่อนถึงคณะฯ มีผู้ปกครอง และญาติ บัณฑิตใหม่ ที่แต่งชุดครุย เดินไปมา เห็นรอยยิ้มและดวงหน้าที่สดชื่นของทุกท่าน ผมก็พลอยรู้สึกยินดีไปด้วย ป้ายหน้าคณะ ถูกตบแต่งด้วยป้ายข้อความแสดงความยินดี ดอกไม้ ต้นไม้ถูกนำมาตกแต่งบริเวณอาคาร ซุ้มดอกไม้ก็สวยงามโดดเด่น
ปีนี้รุ่นพี่ปริญญาเอกภาควิชาฯ ของพวกเรา สำเร็จการศึกษาและมารับพระราชทานปริญญาบัตรครั้งนี้ ๓ ท่านด้วยกัน ขอแสดงความยินดีกับ ดร.ธัญธัช วิภัตภูมิประเทศ,ดร.ณัธชนา พวงทอง และ ดร.อรทัย ศรีทองธรรม มีมหาบัณฑิตอีก ๑ ท่าน คือ คุณปนัสยา อังศุวัฒนานนท์
ว่าด้วยความรู้สึก...ในวันนี้ เป็นความรู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสอยู่ในบรรยากาศของความสำเร็จ และมีความหวัง พลังใจไม่น้อย ความคิดไปไกลถึงว่า อีกไม่นานเราก็จะมีวันนี้ด้วยเช่นกัน หนทางยาวไกลนัก แต่ก็จะไปให้ถึง เหมือนวาทะของ คุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ ที่เขาพูดเสมอในรายการเกมโชว์ ว่า “ไม่มีอะไรยาก มีแต่รู้หรือไม่รู้แค่นั้นเอง” ในวันนี้เอง ดร.แสวง รวยสูงเนิน ก็โทรศัพท์ มาเพิ่มเติมพลังสมอง และให้กำลังใจด้วย...ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูบาอาจารย์ของผมมากครับที่ให้กำลังใจผมสม่ำเสมอ
เพื่อนที่เป็นอาจารย์ท่านหนึ่ง บอกผมว่า ความรู้สึกเขาแตกต่างไปจากผม เธอบอกว่า รู้สึกท้อๆยังไงไม่รู้ เมื่อเห็นบรรยากาศรุ่นพี่ในวันนี้ ผมถามว่า ท้ออย่างไร คิดอะไรอยู่ ? เธอตอบว่ากว่าจะศึกษาจบก็คงอีกนาน เพราะที่นี่จบยาก และใช้เวลากันเต็มที่ทั้งนั้น ผมให้กำลังใจเธอว่า เราคงไม่ต้องคิดเรื่องของเวลา ตรงนั้นเป็นเรื่องของอนาคต สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทำเวลาปัจจุบันให้ดีที่สุด เงื่อนไขเวลาขึ้นอยู่กับปัจจุบันเป็นสำคัญ การเรียนในระดับนี้นอกจากเน้นวิธีคิดแล้ว วิชาการก็ต้องเข้มข้น เรื่องของ “ใจ” นั้นสำคัญที่สุด ใจต้องเข้มแข็งด้วย เรากำลังต่อสู้กับตัวเอง ไม่ได้สู้กับใคร
ส่วนใหญ่เรามักทดท้อระหว่างทาง ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ตัวเราเองที่มีวิธีคิดที่ไม่สู้ ได้มีโอกาสอ่านหนังสือของ คุณหนุ่ม เมืองจันทร์ เขาเขียนไว้น่าสนใจว่า
“คนส่วนใหญ่ที่ทุกข์ระทมเพราะแก้ไขปัญหาชีวิตไม่ได้
มักเชื่อว่า เพราะปัญหานั้นมันยิ่งใหญ่แก้ไข
โดยลืมไปว่า ต้นเหตุที่แท้จริงคือ เราตั้งโจทย์อย่างไรให้กับตัวเราเอง
โจทย์ที่เรารู้สึกว่า มันแก้ไขไม่ได้
บางทีปัญหาไม่ได้อยู่ที่เราแก้โจทย์ไม่ถูกต้อง
แต่เป็นเพราะ เราตั้งโจทย์ให้ชีวิตตนเองยากเกินไป
ลองตั้งโจทย์ง่ายๆให้กับชีวิตบ้าง
บาง “ความสุข” อาจไม่ไกลเกินไขว่คว้า
ที่ผมอยากบอกก็คือ เราเอง คือผู้กำหนดเส้นทางชีวิตเราเอง การให้กำลังใจตนเอง และเตรียมความพร้อมตนเองเสมอ ไม่ว่าเราจะเผชิญสถานการณ์ใด “ใจ”เรานั้นสำคัญที่สุด ตราบใดที่ใจเราสู้ เรายังไม่หมดหวัง
และผมขอยอกเอาวาทะของคุณไตรภพ ลิมปพัทธ์ มาย้ำอีกครั้งว่า “ไม่มีอะไรยาก เพียงแต่คุณรู้ หรือ ไม่รู้ เท่านั้นเอง”
เมื่อ “รู้” เราก็แก้โจทย์ได้ไม่ว่าจะยากขนาดไหนได้ ไม่มีคำว่า “ยาก” ในพจนานุกรม แต่เมื่อ “ไม่รู้” นี่สิ ทำอะไรมันก็ติดขัดไปหมด มีเงื่อนไขมากมาย
ทำอย่างไรให้รู้...ก็ต้องเรียนรู้ และ “เอาชนะความไม่รู้” ให้ได้ และเมื่อนั้นเราคือ “ผู้ชนะที่มีปัญญา”
ขอแสดงความยินดีกับ บัณฑิตมหาวิทยาลัย มหิดล ปี ๒๕๕๑ อีกครั้งครับ
มหาวิทยาลัยมหิดล : ปัญญาของแผ่นดิน
Wisdom of Land