วันพระใหญ่ของชาวพุทธเดินทางใกล้เข้ามาถึง บทความธรรมะสักบทของท่าน ว.วชิรเมธี ถูกเปิดแล้วพบโดยผม จากหนังสือ "ธรรมะน้ำเอก" ที่ผมยืมจากห้องสมุดแล้วไม่ยอมคืน (เดี๋ยวเอาไปคืนคร้าบ)
เรื่องราวของ "ความทุกข์" และ "ความสุข"
นักปรัชญาตะวันตกหลายคนเมื่อหันมาศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างผิวเผิน ก็มักจะด่วนสรุปว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้มองโลกในแง่ร้าย อาร์เทอร์ โชเพนเฮาเออร์ นับเป็นหนึ่งในปรัชญาตะวันตกที่มีความเชื่อเช่นนี้ เขาจึงสรุปว่า "ชีวิตไม่มีอะไรมากหรอก นอกจากเป็นเพียงลุกตุ้มที่แกว่งไปมาระหว่างความทุกข์กับความเบื่อหน่าย" โชเพนเฮาเออร์ไม่ได้เชื่ออย่างนี้คนเดียว เขาทำให้คนอีกมากมายในโลกนี้เชื่อตามเขาไปด้วย พระพุทธศาสนาเลยพานถูกเหมารวมให้เป็นศาสนาที่สอนให้มองโลกในแง่ร้ายไปโดยปริยาย
แท้ที่จริงแล้วพระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาที่สอนให้มองโลกในแง่ดี (Optimism) หรือ มองโลกในแง่ร้าย (Pessimism) แต่พระพุทธศาสนาสอนให้มองโลกตามความเป็นจริง (Realism) นั่นคือ มองโลกอย่างที่โลกมันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้เป็น
"ความทุกข์" เป็นความจริงอย่างหนึ่งที่มีอยู่คู่กับโลก แต่ "ความสุข" ก็เป็นความจริงอีกอย่างหนึ่งที่เคียงคู่มากับความทุกข์ด้วยเช่นกัน และโลกก็ไม่ได้มีเพียงความสุขความทุกข์สองอย่างนี้เท่านั้น ทว่าโลกนี้ยังมีภาวะที่เรียกว่า "เหนือสุขเหนือทุกข์" อยู่อีกด้วย
คนที่มองโลกตามความเป็นจริง ยามมีความทุกข์จึงไม่ท้อ และยามมีความสุขจึงไม่หลงติดในความสุขจนเกินพอดี เพราะเขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ยังมีภาวะที่ประเสริฐกว่าความสุขอยู่อีก นั่นคือ การอยู่เหนือทั้งสุขทั้งทุกข์ตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม แม้โลกจะมีสุขและทุกข์ปกกันไป แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาแห่งความสุขของคนเรานั้นมักจะแสนสั้นเสียเหลือเกิน วันหนึ่ง ๆ ชีวิตช่างคลุกคลีตีโมงอยู่กับเรื่องราวที่ทำให้ทุกข์ตั้งร้อยแปดพันเก้าไม่รู้จบสิ้น ทำอย่างไรดีนะเราจึงจะออกมาจากความทุกข์ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือถึงไม่ออกมาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ขอแต่เพียงอยู่กับความทุกข์อย่างเป็นมิตรก็พอแล้ว
เรามาลองเรียนรู้วิธีอยู่กับความทุกข์ให้เป็นสุขกันดีกว่า
ความทุกข์หลายอย่างในชีวิตของเรา ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วสัดส่วนของความทุกข์จริง ๆ จะมีไม่มาก แต่บางครั้งที่รู้สึกทุกข์มาก ๆ เป็นเพราะว่าเราสร้างภาพความทุกข์นั้นให้ใหญ่โตเกินจริง เช่น ใครบางคนพอรู้ว่าจะไปสอบสัมภาษณ์วันพรุ่งนี้ คืนนั้นทั้งคืนนอนไม่หลับ คิดโน่นคิดนี่วุ่นวายไปหมด กลัวว่าจะสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน กลัวว่าจะตอบคำถามไม่ได้ กลัวว่าเสื้อผ้าที่สวมใส่จะดูไม่ดี กลัวว่าหน้าจะไม่ใส กลัวว่าความรู้ความสามารถของตัวเองจะไม่สอดคล้องกับที่บริษัทนั้น ๆ ต้องการ กลัวว่ารถจะติดแล้วไปสาย หรือสุดท้ายกลัวว่าถ้าไปสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน คนที่บ้าน เพื่อน พ่อแม่ จะปรามาสว่า เอาดีไม่ได้
เรากลัวไปสารพัดอย่าง ทั้ง ๆ ที่ในสถานการณ์จริง สิ่งที่เรากลัวมาตั้งสิบอย่างนั้นอาจเกิดขึ้นจริงเพียงอย่างเดียงเท่านั้น แต่กว่าจะรู้เช่นนี้ได้ เราก็ปล่อยให้ความทุกข์ที่เรากังวลนั้นทำร้ายเรามาแล้วทั้งคืน
นี่แหละคือความทุกข์ที่เกิดจากการสร้างภาพของเราเอง
ความทุกข์อย่างนี้เรียกว่า ทุกข์เพราะอุปทาน
หรือทุกข์เพราะฉันสร้างมันขึ้นมาเองจากความกังวล
ทุกข์อย่างนี้ บางทีร้ายกว่าตัวความทุกข์จริง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่ด้วยซ้ำไป
ดังนั้น หากเรากำลังทุกข์ด้วยเรื่องใด ลองถามตัวเองดูซิว่า สิ่งที่กังวลอยู่นั้นมันน่ากลัวจริง ๆ หรือว่าเป็นเพียงสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมากันแน่ ลองแยกทุกข์แท้ ๆ ออกจากความกังวลให้ได้ แล้วจะเห็นว่า ทุกข์แท้ ๆ ที่ควรทุกข์มีอยู่นิดเดียวเอง
วิธีคลายทุกข์ประการที่สองนี้ก็ลองสืบเนื่องมาจากตัวอย่างข้างต้น เราจะเห็นว่า การใช้ชีวิตอยู่ในสังคมทุกวันนี้ สิ่งที่คนเราแคร์มากที่สุด นอกจากเรื่องราวของตัวเองแล้ว ก็คือ "สังคม" หรือ "สายตาของคนอื่น"
"สายตาของคนอื่น" นั้นมีอิทธิพลต่อความทุกข์ความสุขในชีวิตของคนเรามาก เราจะเป็นอย่างไร จะใช้ชีวิตอย่างไร ความจริงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเราเองล้วนๆ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง เรามักไม่เชื่อมั่นในวิจารณญาณของตัวเอง เรามักคิดเสมอว่า เมื่อเราเป็นอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เดินอย่างนี้ ใช้ชีวิตอย่างนี้ คบเพื่อนคนนี้ ใช้โทรศัพท์รุ่นหรือยี่ห้อนี้ ชอบนักดนตรีคนนี้ ใช้เครื่องสำอางยี่ห้อนี้ หรือแม้กระทั่งอ่านนิตยสารชื่อนี้ แล้วคนอื่นจะมองเราอย่างไร หรือตัวตนของฉันในสายตาคนอื่นจะเป็นอย่างไร
"สายตาของคนอื่น" คือสไตลิสท์ตัวจริงที่คอยจับเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง คนบางคนทั้งชีวิตแบบไม่มีช่องว่างให้ความสุขได้เล็ดลอดเข้ามาในผืนแผ่นดินใจเลย เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตตามที่สังคมคาดหวัง เกรงว่าถ้าไม่แสดงตนอย่างที่คนทั่วไปเขาคาดหวัง "อัตลักษณ์" ของตัวเองจะหายไป หรือจะถูกลดความสำคัญลง
นี่ละคือความทุกข์ที่เกิดจากการบริโภคอัตลักษณ์ของคนร่วมสมัยทุกวันนี้
การจะคลายทุกข์อย่างนี้ได้มีหลายวิธี แต่ในที่นี้ขอแนะนำว่า ควรหัดลดการให้ความสำคัญกับสายตาคนอื่นเสียบ้าง พูดให้สั้น ก็คือ ควรรู้จัก "ช่างมัน ฉันไม่แคร์" เป็นบางเวลา บางสถานการณ์ เรื่องบางเรื่องลองหัดเป็นตัวของตัวเองดูบ้างก็ได้ พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเขียนกวีนิพนธ์เรื่อง "ช่างมัน" เอาไว้ไพเราะมาก ขอคัดมาให้อ่านกันเป็นข้อคิดสะกิดใจ เผื่อว่างเมื่อไรจะได้อ่านแล้วฝึก "ช่างมัน" เสียให้ชินความทุกข์จากการที่ต้องแคร์สายตาคนอื่นจะได้บรรเทาเบาบางลง
ธรรมะนอกธรรมาสน์
มีสมภารวัดหนึ่งลึกซึ้งมาก
ถูกลมปากถากถางอย่างเสียหาย
ท่านไม่โต้ตอบคำทำวุ่นวาย
คิดอุบายผันผ่อนสอนใจตัว
เอาตาชั่งตั้งหราอยู่กุฎิ์
แล้วก็ขุดมันวางข้างละหัว
ใครมาเห็นออกปากทักกันนัว
ท่านเจ้าขรัว "ช่างมัน" เสียยันเต
.................................................................................................................................
* แค่มองโลกตามความเป็นจริง ... ไม่เอาใจไปจับสิ่งเหล่านั้น ความทุกข์ก็จะคลายลง ความสุขก็จะไม่ตัวตน ... ทุก ๆ วันนี้ มองรอบ ๆ ตัวเห็นมีแต่คนทุกข์ ยากดีมีจน ตำแหน่งสูงใหญ่ หรือต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ก็นั่งถอนหายใจกันทั้งนั้น
* เขาไม่รักเรา แต่เราจะทำเพื่อเขา ... เราก็ทุกข์
* เขาไม่ยอมรับในความเก่งกาจของเรา เอาแต่คอยรังแกเรา ... เราก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ (ไม่รู้ว่าวันนี้จะแกล้งอะไรดี)
* เขาได้เงินมากกว่าเรา เพระเขาทำงานหนักกว่าเรา แต่เราอยากได้เงินมากเหมือนเขา แต่เราไม่เคยทำงานหนักเท่าเขา หรือมากกว่า ... เราก็ทุกข์
* เมื่อเราไม่มั่นใจตัวเอง สอนหนังสือมี ๑๐ ปี เวลาไปร่วมงานกับใคร ก็ได้แต่ตอบว่า "ค่ะ" แล้วก้มหน้าทำบ้าง อู้บ้าง พัฒนาการของตัวเองก็ไม่เคย แต่พอมีค่าจ้างนิดหน่อย ก็รีบตะครุบ ทำตัวไม่สมกับเป็นครูบาอาจารย์ เวลาคบกับใคร ก็หวาดระแวงกลัวคนอื่นจะมาเอาเปรียบตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตัวเอง เอาเปรียบเพื่อนร่วมงานอยู่ตลอดเวลา ... แบบนี้หน้าทุกข์ ทุกข์เพราะหัวใจไม่บริสุทธิ์ของตัวเอง
* ยกตัวอย่างเท่าที่มอง เท่าที่เห็น มิได้มีเจตนาอะไร กับใคร .. จึงไม่ทุกข์ ปล่อยวาง ผ่านมาแล้วผ่านไป
* กรรมเป็นของที่ไม่มีใครมาสร้างให้เรา แต่เราเป็นสร้างกรรมเอง ขึ้นอยู่กับว่า ดี หรือ ชั่ว
* ท่าน ว.วชิรเมธี สอนให้เราอยู่กับ "ทุกข์" หรือ "สุข" ด้วยความเป็นกัลยาณมิตร และทางสายกลางซึ่งกันและกัน
บุญรักษา ทุกท่านในวันพระใหญ่ ;)
.................................................................................................................................
แหล่งอ้างอิง
ว.วชิรเมธี (นามแฝง). ธรรมะน้ำเอก. พิมพ์ครั้งที่ ๖. กรุงเทพฯ: อมรินทร์, ๒๕๕๑.
สวัสดีครับอาจารย์
@ แค่มองโลกตามความเป็นจริง ... ไม่เอาใจไปจับสิ่งเหล่านั้น
@ ความทุกข์ก็จะคลายลง ความสุขก็จะไม่ตัวตน
@ ขออนุญาตนำไปปรับใช้ครับ
@ ทุกสิ่งเกิดมา ตั้งอยู่ แล้วดับไป...
ก้อยคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่มุมมองของตัวเรานะคะ....
เวลาก้อยเจอกับความทุกข์..หรือเรื่องที่ร้ายๆก้อยก็จะบอกกับตัวเองเสมอว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ...^_^""""
อยู่กับความจริง ทิ้งความกังวล ฝึก "ช่างมัน" ให้เคยชิน
อันนี้ใช่เลยค่ะ...
และได้ผลจริงๆนะค่ะ ตอนนี้ชีวิตมีแต่ความสุข เพียงแค่เราทำแบบนี้จริงๆ.....
ขอบคุณท่านอาจารย์ที่นำมาย้ำอีกครั้ง.....
สวัสดีค่ะ พี่อาจารย์ Wasawat Deemarn
ก็ขอแต่เพียงอยู่กับความทุกข์อย่างเป็นมิตรก็พอแล้ว
อืมม... ยังคิดไม่ออกว่าเป็นมิตรกับความทุกข์เป็นอย่างไร ถ้าเช่นนั้น ขอเป็นมิตรกับสิ่งที่คุ้นเคยแล้วไม่เป็นทุกข์ไปเรื่อยๆ ก่อนดีกว่า อิ อิ
น้องนีนานันท์คิดว่า ในโลกนี้ ไม่มีใครที่ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ สมัยก่อน ผู้ใหญ่คนหนึ่งก็เคยสอนว่า ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ทำเรื่องเล็กให้หมดปัญหา... ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนขึ้นอยู่กับเราคิดได้เองว่าความสุขของเราอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ใครจะมาช่วยเราได้
เคยเจอบางคน ทำตัวเองด้อยพัฒนากับน้อง คงคิดว่าน้องจะเป็นทุกข์ แต่จริงๆ แล้ว น้องคิดว่า สิ่งใดที่เขาคิด ก็ย่อมอยู่ในความคิดซึ่งใกล้ตัวเขาเองมากที่สุด ถ้าหากยิ่งได้กระทำออกมาแล้ว ก็ย่อมติดตัวเขาเหมือนประหนึ่งเป็นเงาติดตามตัวเขาเองไปตลอดชาติ สำหรับน้องเอง แค่หลบก็พ้นแล้ว หรืออาจกระเด็นมาโดนนิดๆ หน่อยๆ ล้างๆ ให้สะอาดหน่อย แล้วหลีกเลี่ยง ไม่เฉียดไปใกล้อีก เราก็สะอาดแล้วค่ะ ถือคติว่า อะเสวะนาจะพาลานัง... ค่ะ
ขอพรพระคุ้มครองให้ พี่อาจารย์ Wasawat Deemarn มีความสุขมากๆ นะคะ ขอบคุณภาพถ่ายและบันทึกที่สร้างสรรค์ ค่ะ
น่ารัก อืมม... ยิ้มงาม หวานใจ No Comment หน้าที่
เห็นด้วยค่ะ อิ อิ
@ ดีใจจังที่ได้อ่าน
@ เป็นข้อความที่ดีมากๆ
@ แต่ส่ิงที่แย่มากคือไม่รู้จะทำได้หรือเปล่า
@ บางครั้งตัวกิเลสมันเผาใจทำให้คิดไม่ออก เหมือนตามืดบอดมองไม่เห็นความจริง
@ กำลังพยายามอยู่นะ เริ่มต้นที่การให้อภัย
@ กรรมใดใตรก่อกรรมนั้นย่อมสนอง ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง
@ สาธุ
ขออนุโมทนาสาธุบุญกุศลของท่านอาจารย์ศิลา Sila Phu-Chaya เช่นกันครับ ;)
ผู้มีปัญญา คือ ผู้ที่มองเห็นไตรลักษณ์ของสภาวะธรรมตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
สาธุ สาธุ สาธุ ครับ ;)
ยินดีและขอบคุณครับ ท่าน ไทบ้านผำ ;)
มันเป็นเช่นนั้นเอง
ขอบุญกุศลที่คุณก้อยได้กระทำ นำทางไปยังความไม่สุข ความไม่ทุกข์ครับ ;) ... ขอบคุณมากครับ คุณก้อย ♡*.:。 KiTTyJuMP゚・♡゚゚・ ;)
ขอบคุณมากครับ น้อง นีนานันท์ ;)
ปล่อย ละ และวาง ครับ ... ความทุกข์ใจจะคลายลงตามธรรมชาติ ;)
ขอบคุณมากครับ คุณ Prachan ... เย็น เย็น สบาย สบาย ครับ
คำตอบอาจจะเดินทางมาหาเรา เมื่อใจเราสงบ ครับ ;)
สรรพสิ่งในโลกล้วนถูกสร้างให้เป็นของคู่กัน
โดยเริ่มต้นที่การเกิด..และจบลงด้วย การตาย
ไม่มีอะไรยั่งยืนที่สุดในชีวิต
ความสุข ความทุกข์ ตัวเรากำหนดเอง
จึงควรทำปัจจุบัน..วันนี้ ให้ดีที่สุด
สาธุ สาธุ ..........
สาธุ สาธุ สาธุ ... ขอบคุณครับ คุณครูจุฑารัตน์ NU 11 ;)
สวัสดีค่ะ อาจารย์หนอน ( คงอ้วนพีแล้ว อิอิ )
ครูเอใช้บ่อยค่ะ ......... ไม่เป็นไร ช่างมันเหอะ...........
ชาวบ้านไม่ได้รับรู้ความสุขและทุกข์ของเรา
ตัวเราต่างหาก...ที่รู้สึก...
คุณ ครูเอ สบายดีไหมครับ ;)
รู้ได้อย่างไรหรือครับว่า ผมอ้วนพี อิ อิ รู้จริง 555
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณครับ คุณ ครูคิม ;) ... เวลาของลมหายใจเหลือเท่าไหร่ไม่สำคัญ สำคัญที่เราจะทำความดีให้สมคุณค่าที่สุดมากกว่านั้น นะครับ ;)
คุณ ♥paula ♥ที่ปรึกษาตัวน้อย✿ ต้อง "สาธุ สาธุ สาธุ" สามทีครับ อิ อิ
ขอบคุณมากครับ ;)
ตั้งใจฟังให้ดีนะหลานเอ๊ย อิ อิ
ขอบคุณครับ คุณป้าศิลา Sila Phu-Chaya ที่พาหลานแวะมาพี่ ;)
ขอบคุณ บทความนี้ที่เตือนสติ ขอบพระคุณค่ะ ว.วชิรเมธี
ขอบคุณครับ คุณ วรรณวนัช ;)
เพิ่งเห็นบันทึกนี้ ตอนนี้ อ. หนอนเสือ ก็คงอยู่กับ .. อย่างมีความสุข นะคะ ;) ต้องลองอยู่ต่อค่ะ แล้วอาจจะเปลี่ยนมุมคิด เปลี่ยนใจ ?
อยู่กับพ่อกะแม่ครับ คุณ poo ;)...
ร้อนมากสำหรับบางกอก ไม่ชอบเลยครับ
ขอบคุณอาจารย์คะที่ให้ข้อคิดดีๆๆ หนูจะนำไปปรับใช้ในชีวิตให้เกิดแต่ความสุขคะ
ขอให้มีความสุขมาก ๆ นะครับ คุณ jatuporn kaidbai ;)...
ขอบคุณครับ คุณ ยายธี ;)...