ในเมืองระนองที่ในซอยนกเขาใกล้กับโรงเรือน 3 ชั้น มีพี่คนหนึ่งมีชื่อว่านางวาวารวย อายุ 28 ปี พวกเราเจอกับพี่วาวารวยเมื่อวันที่ 17/02/2009 เป็นวันอังคารซึ่งตรงกับวันเยี่ยมบ้านราก็ได้เจอกับพี่วาวารวย วันนั้นที่เราเจอกับพี่วาวารวยพี่เขามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ และทำท่าเหมือนกับต้องการขอความช่วยเหลือ เราจึงเอ่ยปากถามพี่เขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ต้องการให้เราช่วยอะไรหรือไม่ พี่เขาได้ยินที่เราพูดอย่างนั้นเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ และเขาเล่าเรื่องของเขาให้ฟังว่าตอนนี้เขาตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว แต่เขาได้ตกเลือดตอนนี้เลือดออกไม่หยุด วันหนึ่งต้องเปลี่ยนผ้าถุงที่วันละ 2 ผืน ตอนนี้พี่เขาบอกว่ามีอาการปวดเอวและปวดท้องน้อยมาก ตอนกลางคืนไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะมีอาการปวดมากต้องนอนร้องไห้ทุกวันเลย ตอนที่พูดพี่เขาก็มีสีหน้าที่เครียดและทุกข์มาก พี่วาวารวยบอกกับเราว่าตอนนี้เขายังไม่ได้ไปรักษาที่ไหน พวกหนูก็ถามกับแกว่าทำไมถึงได้ตกเลือดลื่นล้มหรือ พี่วาวารวยบอกว่าเขาไม่ได้ลื่นล้ม แต่ที่เป็นแบบนี้เพราะเมื่อก่อนตอนที่อยู่ที่ห้องแถวห้องเช่าเก่าจะมีต้นขนุนและเจ้าของห้องเช่าก็บอกว่าถ้าต้องการกินหรืออยากจะกินก็ไปเก็บเอาได้เลย วันหนึ่งพี่วาวารวยจึงไปเก็บขนุน เพื่อนบ้านเห็นคิดว่าพี่เขาขโมยจึงไปบอกกับเจ้าของห้องเช่า แต่เจ้าของห้องเช่าก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่สามีของพี่เขาได้ยินไม่พอใจมากจึงทำให้ทะเลาะกันกับเพื่อนข้างบ้าน ทำให้ลุงคนหนึ่งโมโหจะเอาปืนมาไล่ยิงพี่วาวารวยกับสามี พวกเขาทั้งสองจึงวิ่งหนีขณะตอนที่วิ่งหนีอยู่นั้น พี่วาวารวยก็วิ่งไปชนกับมุมโต๊ะกระแทกกับท้องอย่างแรง หลังจากวันนั้นพี่วาวารวยกับสามีก็ย้ายบ้านมาอยู่ที่ซอยนกเขา ตอนที่ย้ายมาอยู่ก็มีอาการตกเลือดและมีเลือดออกและเป็นห่วงลูกในท้องมาก แม่พี่เขาก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลและไปอนามัยที่ไหนเพราะพี่เขาบอกว่าไม่บัตรและไม่มีเงินค่ารักษา พี่เขาก็อยากจะยืมเงินจากคนอื่นเหมือนกันแต่ไม่กล้าที่จะยืม และสามีของพี่เขาก็ไม่อยู่ออกเรือยังไม่ขึ้นฝั่งมา ตอนที่พี่เขาพูดเขาน่าสงสารมากเหมือนกับชีวิตเขาทำอะไรไม่ได้เลย พี่เขาพูดไปก็ร้องไห้ไปทำให้เราที่ได้ยินก็รู้สึกไม่ดี พวกเราจึงแนะนำพี่เขาให้ไปที่ เวิล วิชั่น แต่พี่เขาบอกว่าเขาจะรอให้แฟนพี่เขากลับขึ้นฝั่งมาก่อน พวกเราเลยตามใจพี่เขาและได้ให้ยาบำรุงเลือดไว้ให้กับพี่เขา และได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เขาและบอกกับพี่เขาว่าถ้ามีอะไรจำเป็นก็ให้โทรหาได้ตลอด และอีก 2 วันต่อมาพี่วาวารวยก็โทรศัพท์มาหาเราและบอกว่าตอนนี้เขามีอาการปวดท้องมากทนไม่ไหวแล้ว ทางเราจึงแนะนำไปว่าให้รีบไปหาหมอที่เวิล วิชั่นพี่เขาจึงไปและจากนั้นพี่เขาก็บอกว่าตอนนี้ลูกในท้องของเขาไม่มีแล้ว และหมอที่เวิล วิชั่นก็ให้ยากลับมากินที่บ้าน วันที่ 24/02/2009 เป็นวันอังคารที่เราออกเยี่ยมบ้านเราออกไปเยี่ยมบ้านพี่วาวารวยอีกครั้ง เราเข้าไปถามเขาว่าเป็นยังไงบ้างดีขึ้นมาบ้างหรือเปล่า พี่เขาบอกว่าอาการดีขึ้นมาหน่อยแล้ว ตอนนี้มีอาการปวดเมื่อยตามตัวและอ่อนเพลียมาก พวกเราจึงขอให้พี่เขาเอาถุงยามาให้ดูและเห็นว่ายาที่พี่เขากินอยู่นั้นไม่ถูก เราจึงแนะนำวิธีการกินยาให้กับพี่เขาและเขียนใหม่ให้เป็นภาษาพม่าและบอกพี่เขาว่าให้กินยานี้ให้หมดเราได้ให้เกลือแร่เพิ่มให้พี่เขาอีก 5 ห่อ เพื่อพี่เขาจะได้มีแรง พี่วาวารวยมีสีหน้าที่แจ่มใสขึ้นมามากและบอกว่าขอบคุณเรามาก และอีกวันต่อมาเราโทรศัพท์ไปถามอาการของพี่เขาว่าตอนนี้อาการเป็นอย่างไรบ้าง พี่เขาตอบว่าตอนนี้อาการพี่เขาดีขึ้นมากและไม่มีเลือดออกแล้วและมีแรงแข็งแรงขึ้นมาก แล้วพวกเราจึงบอกกับพี่เขาว่าเราดีใจด้วย หลังจากนั้นวันที่ 26/02/2009 เป็นเวลาตอนเย็นประมาณ 6 โมงเย็นตอนนั้นพวกเรากำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่พอดี เราจึงบอกว่าเดี๋ยวเราโทรกลับ จากนั้นประมาณ 1 ทุ่มเราจึงโทรกลับไปและถามพี่เขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า พี่เขาจึงบอกว่าตอนนี้ปวดท้องทนจะไม่ไหว พี่เขาพูดไปร้องไห้ไปพวกเราจึงเป็นห่วงมากจึงโทรไปปรึกษากับพี่ต้อย และถามกับพี่ต้อยว่าเราจะช่วยอะไรพี่เขาได้บ้าง พี่ต้อยจึงบอกว่าให้รีบนำคนไข้ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วพวกเราค่อยตามไปทีหลัง จากนั้นเราจึงให้พี่เขารีบไปโรงพยาบาล สักครู่หนึ่งเราก็ตามพี่เขาไปที่โรงพยาบาลแต่ตอนที่เราไปถึงพี่วาวารวยยังมาไม่ถึงที่โรงพยาบาลเราจึงนั่งรอ เพราะพี่วาวารวยต้องหารถสามล้อกว่าพี่วาวารวยจะมาถึงโรงพยาบาลเป็นเวลาเกือบ 2 ทุ่มกว่า ขณะที่เรากำลังรออยู่นั้นทุกคนหิวกันมากเพราะว่าวันนี้ทั้งวันเราก็ทำงานและตอนเย็นก็ไปเรียนอีก แต่พวกเราก็ไม่มีเงินติดตัวไป เราไปกัน 3 คน จึงรวมเงินกันและไปซื้อลูกชิ้นมานั่งกินรอพี่วาวารวย พอพี่เขามาถึงหน้าโรงพยาบาลพี่เขาก็เดินไม่ไหวทรุดนั่งลงอยู่กับพื้น คนที่รอรับคนไข้หน้าโรงพยาบาลจึงรีบวิ่งมารับและพาพี่เขาไปที่ห้องฉุกเฉิน หมอที่ห้องฉุกเฉินให้น้ำเกลือพี่เขาร้องไห้ตลอดเวลา พวกเราจึงถามว่าร้องไห้ทำไม จับมือพี่เขาไว้และบอกว่าไม่ต้องร้องไห้แล้วตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วไม่ต้องกลัวอะไร พี่เขาก็พูดว่าเขาผิดไปแล้วทำไมต้องทำกับเขาอย่างนี้ด้วย พี่เขาร้องไห้เสียงดังขึ้นพี่พยาบาลจึงบอกว่าอย่าให้คนไข้ร้องไห้ และให้คนไข้ใจเย็น ๆ และไม่ต้องคิดอะไรมาก พวกเราจึงช่วยกันปลอบพี่เขาและบอกพี่เขาว่าไม่เป็นไรพวกเรารู้ดีว่าพี่เป็นอย่างไรแต่ตอนนี้ไม่ต้องคิดอะไรมาก ตอนนี้ต้องรักษาสุขภาพให้ดีที่สุดก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น หลังจากที่ทำประวัติพี่เขาเสร็จหมอก็ให้พี่เขานอนที่โรงพยาบาล ตอนที่พี่เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเขามากับผู้ชายคนหนึ่งเราถามว่าเป็นใคร ผู้ชายคนนั้นบอกกับเราว่าเขาเป็นน้องชาย แฟน ของพี่เขาไม่ได้มาด้วย เราจึงถามน้องชายที่มากับพี่เขาว่าจะอยู่เฝ้าพี่เขาได้หรือเปล่า หลังจากคุยเสร็จเราก็เข้าไปหาพี่วาวารวยในห้องฉุกเฉิน และบอกกับพี่เขาว่าเขาต้องนอนที่โรงพยาบาลน้องชายที่มากับเขาด้วยจะเป็นเฝ้า พี่เขาจึงบอกว่าผู้ชายคนที่มาด้วยนั่นน่ะเป็นสามีไม่ใช่น้องชาย หนูจึงรู้สึกใจหายว่าทำไม่ต้องโกหกและบอกว่าพี่เขาไม่ใช่ภรรยาด้วย ทั้ง ๆ ที่พี่เขากำลังเจ็บหนักอยู่ หลังจากห้องฉุกเฉินแล้วหมอก็ให้พี่เขาไปนอนพักที่ตึกหลังคลอดและพี่พยาบาลก็เรียกเก็บค่ารักษาจากคนไข้และในวันนั้นพี่เขาได้จ่ายเงินค่ารักษาเอง ตอนที่เราไปเยี่ยมพี่เขาเราได้เข้าไปคุยกับพี่พยาบาลถามอาการของพี่วาวารวยว่าเป็นอย่างไรบ้างพี่พยาบาลบอกว่าคนไข้มีเลือดออกมากไปทำอะไรมา กินยาขับมาหรือเปล่า เราจึงเล่าเหตุการณ์ให้กับพี่พยาบาลฟัง ในวันที่ 27/02/2009 เป็นวันศุกร์เราต้องออกเยี่ยมบ้านตอนเที่ยงหลังจากที่ทานข้าวเสร็จเราจึงไปเยี่ยมพี่เขาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ก่อนหน้าที่สามีของพี่เขาจะมาเขาได้โทรมาบอกกับเราว่าเขาหาเงินค่ารักษาไม่ได้ พวกเราจึงบอกว่ายังไงก็ต้องหาเงินมาให้ได้ตอนนี้คนกำลังเจ็บนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล พี่วาวารวยรู้ว่าสามีเขาหาเงินไม่ได้ก็ไม่สบายใจและพูดออกมาว่าตอนนี้สามีของเขาคงจะพึ่งอะไรไม่ได้แล้ว ถ้าพึ่งกันตอนนี้ไม่ได้ก็ไม่รู้จะพึ่งตอนไหน พี่เขาพูดไปและร้องไห้ไป เราจึงโทรศัพท์ไปปรึกษากับพี่ต้อยและเล่าเหตุการณ์ให้พี่ต้อยฟัง พี่ต้อยจึงตัดสินใจที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ พี่วาวารวยได้ยินก็ดีใจมากจนพูดอะไรไม่ออก ตั้งแต่พี่เข้าโรงพยาบาลเขาไม่ได้กินอะไรเลยแต่เมื่อได้ยินว่าทางหน่วยปฐมพยาบาลของเราจะช่วยจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พี่เขาก็สามารถกินนมและขนมได้ จากนั่นเราก็จ่ายค่ารักษาให้กับพี่เขาและพี่เขาก็ขึ้นรถเมย์กลับบ้าน เราได้บอกกับพี่เขาว่าวันนี้ตอนเย็นเราจะไปเยี่ยมที่บ้าน จากนั้นตอนเย็นประมาณบ่าย 3 โมงเราก็ไปหาพี่วาวารวยที่บ้าน พี่เขาเดินลงมาจากชั้นบนเราจึงถามพี่เขาว่าอยู่คนเดียวหรือแล้วสามีไปไหน พี่เขาจึงเล่าให้ฟังว่าไม่อยู่เพิ่งทะเลาะกันแล้วเดินออกไป พี่เขาเล่าให้ฟังว่าสามีเขาคิดว่าลูกที่อยู่ในท้องที่เขาท้องนั้นไม่ได้ท้องกับเขา พี่เขาจึงโมโหแล้วว่าเขาจะไปท้องกับใครสามีของพี่เขาหาว่าเขาเถียงก็เลยตบหน้าพี่เขา 2 ครั้ง และแฟนของเธอก็หาว่าเธอเป็นคนที่ไม่ดีไม่บริสุทธิ์เป็นคนที่ชอบสูบบุหรี่ พี่เขาก็บอกว่าที่เขาสูบบุหรี่ก็เพราะว่าเขาแพ้ท้อง ถ้าคิดว่าเขาเป็นคนไม่ดีก็เลิกกับเขา สามีของพี่เขาก็เลยพูดว่าเขาอยากได้ยินคำนี้มานานแล้วและชอบมาก หลังจากที่พูดเสร็จสามีเขาก็ทำลายข้าวของที่อยู่ในบ้านจนแตกหมดและก็ได้ออกนอกบ้านไปปล่อยทิ้งให้พี่วาวารวยนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว พวกหนูก็เลยบอกว่าปล่อยให้เขาไปเถอะดีแล้วที่เขาไปเราไม่ต้องทนอยู่แบบทุกข์ทรมาน พี่เขาจึงบอกกับเราว่าอีกไม่นานเขาจะไปอยู่ที่ชุมพรจะไปอยู่กับพี่ชาย เขาจึงให้รูปถ่ายของเขาไว้ให้เราเป็นที่ระลึก พวกหนูจึงบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงถ้าคิดถึงแล้วพวกหนูจะโทรหา และถ้าพี่คิดถึงพวกเราก็โทรหาพวกเราได้เสมอ ถึงแม้ว่าชีวิตของพี่เขาจะทุกข์ทรมานกับสามีที่ไม่เอาไหนและต้องเสียลูกในท้องไป คิดแล้วก็น่าเศร้าใจมากแต่อย่างหนึ่งที่พี่วาวารวยทำได้คือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลงท้ายถ้าผู้ชายคิดและเป็นแบบนี้กับผู้หญิง อย่าคิดและเป็นเพราะผู้หญิงเป็นเพศของแม่ ถ้าผู้ชายจะมีคู่รัก ก็อยากให้วางแผนครอบครัวให้ดีก่อน ก่อนจะตัดสินใจ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นก็ยากที่จะแก้ ผู้ชายควรจะมีหน้าที่ดูแลครอบครัวให้มีความสุข คุณเวลวย พม่าเจ้าหน้าที่โครงการหน่วยปฐมพยาบาลฯ คามิลเลียน โซเชียล เซ็นเตอร์ ระนอง
ไม่มีความเห็น