ว่าด้วย KM. ตามที่ผมเห็นมา


ไม่ควรหวังว่า กระบวนการ KM จะสร้างให้คนอยากเรียนรู้ได้อย่าง ปาฎิหารย์ แต่กลับจะช่วยให้คนอยากเรียนรู้ พัฒนาได้อย่างปาฏิหารย์ต่างหาก

     อันที่จริงมาอาศัยพื้นที่ของท่านอาจารย์วิจารณ์  จะไม่คุยเรื่อง เค.เอ็ม. (ไม่ใช่ เอ็ม.เค.) ก็คงจะอย่างไรอยู่นะครับ  สองสามปีนี้ได้โชคดี รู้เห็น เป็นใจ ทำอะไรต่ออะไรเรื่องนี้อยู่บ้างนะครับ  แต่ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนนะครับ เรื่องหลักการ เหตุผล ก็ได้ความรู้จากท่านอาจารย์วิจารณ์และอาจารย์ประพนธ์ นี่แหละครับ  อะไรๆีที่เขียนในนี้อาจจะมีความคิดเห็นที่นอกลู่นอกทาง  เป็นเชิงลบเชิงบวกไปบ้าง  ขอใ้ห้ผู้อ่านเอาแกนหลักของท่านอาจารย์ทั้งสองเป็นที่ตั้งนะครับ  กรุณาวิจารณ์ความคิดผมด้วยก็แล้วกัน  นะครับ  ผมจะเขียนไปเรื่อยๆเท่าที่พอจะจำอะไรได้นะครับ  แต่คงจะรำคาญนิดนะครับ เพราะคงจะเขียนได้เป็นช่วงๆสั้นๆตามเวลาที่มีจำกัดนะครับ

 เราต้องทำ KM.เพื่อการพัฒนาคุณภาพงานไหม

    ต้องยอมรับว่า กระแสนี้มาแรงครับ  หลายๆรพ.หลายๆจังหวัดพบว่า KM เป็นเครื่องมือ ที่โดนใจ บางทีอาจจะเห็นจากตัวอย่างหลายๆที่ที่ประสบความสำเร็จ จนอยากจัดตั้งทำมั่ง ซึ่งก็ดีครับ แต่ควรตั้งอยู่บนความจริงว่า  มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต  และสิ่งมีชีวิตชั้นสูง (หรือคิดว่าตัวเองชั้นสูง) มีการเรียนรู้ภายในตนเองเป็นสัญชาิตญาณอยู่ทุกขณะจิต  สิ่งที่ควรจัดการจึงกลับไม่ใช่ การคิดว่า KM เป็นเครื่องมือใหม่ที่ตั้งสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด  แต่เป็นเครื่องมือที่ควรนำมากระตุ้นและพัฒนา กระบวนการ ความอยากเรียนรู้   อ่านแล้วงงไหมครับ ผมกำลังจะบอกว่า  ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัว กระบวนการKM แต่ จุดเริ่มต้นคือความอยากเรียนรู้ ปรับปรุงสิ่งต่างๆของพวกเรานี่แหละครับ ถ้าไม่มีความอยาก หรือไม่เห็นความสำคัญ ของการปรับปรุึงพัฒนา ก็คงคล้ายๆเข็นครกขึ้นภูเขา (แต่บางครั้งผมคิดว่า เข็นภูเขาลงครก น่าจะยากกว่า)  จึงไม่ควรหวังว่า กระบวนการ KM จะสร้างให้คนอยากเรียนรู้ได้อย่าง ปาฎิหารย์ แต่กลับจะช่วยให้คนอยากเรียนรู้ พัฒนาได้อย่างปาฏิหารย์ต่างหาก   พวกเราจึงไม่น่าที่จะเริ่มด้วยการกวาดต้อนมนุษย์ทั้งหลายมานั่งประชุมสร้างกระบวน  เพราะโอกาสที่จะล้มเหลวแล้วถอดใจ น่าจะมีสูงนะครับ  เราควรเริ่มด้วยการสร้างบรรยากาศต่างๆของการทำงานร่วมกันในองค์กร ด้วยกระบวนการอื่นๆที่มีไม่ว่าจะเป็นการนำองค์กรของท่านผู้บริหาร หัวหน้างาน  การพัฒนาปฏิสัมพันธ์ต่างๆระหว่างกัน   การร่วมด้วยช่วยกัน  การสร้างความเป็นกันเอง  อะไรต่ออะไรสุดแท้แต่ที่เราคิดออกว่าทำให้คนรักกัน ไม่พยายามเป็นศัตรูกัน ผมคงเสนออะไรไม่้ได้ชัดนะครับ  เชื่อว่า หลายๆท่านเก่งอยู่แล้วในเรื่องนี้   ในขณะเดียวกัน ถ้าทิศทางในองค์กรสามารถชี้และกระตุ้นให้เห็นความจำเป็นในการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหา เพื่อการพัฒนา เพื่อHA เพื่อประชาชน เพื่ออะไรต่ออะไร  และคนสนใจสักส่วนหนึ่ง  นั่นคือฟ้าเริ่มเปิดแล้วนะครับ


 (ต่อเรื่อยๆนะครับ)

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 27309เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2006 08:15 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:52 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท