วิวัฒนาการของระบาดวิทยา ทางสัตวแพทย์
ความสัมพันธ์ ระหว่างคนและสัตว์ มีมาตั้งแต่ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แต่จุดเริ่มต้นของวิชาการสัตวแพทย์ อาจนับว่าเพิ่งเริ่มต้น อย่างเป็นทางการ เมื่อมีการก่อตั้งโรงเรียนสัตวแพทย์ แห่งแรกของโลกที่เมือง Lyons ประเทศฝรั่งเศส ในช่วง พ.ศ.2305 ในระยะแรกวิชาการสัตวแพทย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจ ได้แก่ การควบคุมโรค Rinderpest ในปศุสัตว์ และการระกษาโรคในม้าซึ่งเป็นสัตว์พาหะที่สำคัญ ทั้งทางสังคมและทหาร ต่อมาเมื่อสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน เช่น สุนัขและแมว เพิ่มความสำคัยขึ้น วิชากการสัตวแพทย์ จึงถูกพัฒนาเพื่อตอบสนองความต้องการดูแลสุขภาพสัตว์เป็นรายตัว ซึ่งครอบคลุม การป้องกัน การวินิจฉัย และการรักษาโรค วิวัฒนาการของวิชาสัตวแพทย์ อาจแบ่งได้ 4 ยุค
ยุคที่ 1 เริ่มเมื่อประมาณ ปี พ.ศ 2450
หน่วยงานของรัฐ เริ่มดำเนินการกำจัดโรคติดต่อในสัตว์ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากทางเศรษฐกิจและสามารถติดต่อมาสู่คน ได้แก่ โรค วัณโรค โรคแท้งติดต่อ ตลอดจนโรคติดต่อในสัตว์ ได้แก่ โรคปากและเท้าเปื่อย โรค Rinderpest และ โรค trypanosomiasis/surra เป้นต้น การควบคุมโรคเหล่านี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดความสูญเสียปสุสัตว์ ซึ่งนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหารในประชากรมนาย์ มาตรการควบคุมโรคต่างๆ จึงเน้นการควบคุมโรคตามขอบเขตทางภูมิศาสตร์เป็นหลัก เมื่อพื้นที่ใดปลอดจากการเกิดโรคก็จะอนุญาตให้เฉพาะสัตว์ที่ปลอดโรคผ่านเข้าไปได้ การมีความสามารถในการวินิจฉัยโรคอย่างน่าเชื่อถือ และทุนทรัพย์เป็นปัจจัยสำคัยสำหรับความสำเร็จ ของมาตรการควบคุมดรค
ยุคที่ 2 เริ่มต้นเมื่อประมาณ พ.ศ .2490
เมื่อปศุสัตว์ที่ผลิต เนื้อ นม และขนสัตว์ กลายเป็น สินทรัพย์ที่มีค่า ก่อนหน้านี้สัตวแพทย์ส่วนใหญ่ให้บริการเกี่ยวกับม้าซึ่งเป้นงานตามฤดูกาลเป็นหลัก แต่เมื่อเครื่องจักกลต่างๆ มาแทนที่ม้า สัตวแพทย์จึงหันมาปฏิบัติงานปศุสัตว์มากขึ้น ในช่วงปี พ.ศ.2488-2508 เป็นช่วงที่มีการขยายตัวของปสุสัตว์อย่างมาก เนื่องจากมีการพัมนามาตรฐานความเป็นอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำให้มีความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์และน้ำนมมากขึ้น เมื่อราคาของผลผลิตสูงขึ้น เกษตรกรจึงใช้บริการจากสัตวแพทยืมากขึ้นตามไปด้วย การปฏิบัติงานทางคลินิกของโรงเรียนสัตวแพทยืจึงถูกพัฒนาขึ้นในยุคนี้เช่นกัน สัตวแพทยืปริญญาจึงมีความรู้ ความสามารถในการรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง มีการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างได้ผลดี สามารถทำการผ่าตัดด้วยกรรมวิธีปลอดเชื้อ เมื่อความต้องการใช้บริการสัตวแพทยืเพิ่มมากขึ้น สัตวแพทย์ส่วนใหญ่จึงปฏิบัติงานรักษาสัตว์ป่วยเป็นรายตัว เท่านั้น โดยไม่มีการวางแผนป้องกันควบคุมโรค ตลอดจนการจัดการสุขภาพในระดับฝูง การควบคุมโรคส่วนใหญ่จึงมีเพียงการตรวจคัดกรองและการทำวัคซีนในระดับประเทศเท่านั้น
ยุคที่ 3 เริ่มต้นเมื่อประมาณ พ.ศ .2508
เมื่อทั้งเกษตรกร ผู้ผลิตและสัตวแพทย์ เริ่มเล็งเห็นความสำคัยของการจัดการ สุขภาพและผลผลิตในระดับฝูง เกษตรกรผู้ผลิตเริ่มเรียนรู้การรักษาโรคทั่วๆไป ในฟาร์ม ในระยะแรกนี้การควบคุมโรคจึงเน้นที่การควบคุมเฉพาะโรคทีละโรค ต่อมาจึงพัฒนา เป็นการควบคุมกลุ่มโรค เมื่อสัตวแพทย์มีบทบาทในการจัดการฝูงสัตว์มากขึ้น จึงสามารถตรวจพบโรคที่ยังไม่แสดงอาการ ตลอดจนการจัดการที่ทำให้สัตว์มีประสิทิภาพการผลิตต่ำ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการสูยเสียทางเศรษฐกิจในฟาร์มปศุสัตว์ ในยุคนี้ คำว่า "โรค" ถูกขยายความให้ครอบคลุมทั้งโรคที่แสดงโรคที่ไม่แสดงอาการเชิงรุก สามารถเพิ่มผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ได้นำไปสู่การพัฒนาโปรแกรมการจัดการฝูงสัตว์ ในยุคนี้เกษตรกรและสัตวแพทย์เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของการบันทึกเหตุการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและผลผลิตต่างๆ เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการจัดการสุขภาพ ผลผลิต และต้นทุนการผลิต
ยุคที่ 4 เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ .2533
ในยุคนี้สัตวแพทย์จะเข้าเยี่ยมฟาร์มเป็นประจำตามที่กำหนดในโปรแกรมการจัดการสุขภาพ เพื่อตรวจหาโรคที่ไม่แสดงอาการ และความบกพร่องของประสิทธิภาพการผลิต การให้บริการสัตวแพทย์ในฟาร์มปศุสัตว์จะเป็นงานที่ต้องใช้บุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ เกี่ยวกับสัตว์แต่ละชนิด ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยจัดการผลิตและดูแลสุขภาพสัตว์อย่างครบวงจร ซึ่งครอบคลุมการให้คำปรึกษาด้านการรักษา การควบคุมโรค และการบันทึกต่างๆ เป้าหมาสำคัญของการบริการสัตวแพทย์ คือ การจัดการสุขภาพและการผลิตของสัตว์ที่มีสุขภาพดี และได้รับผลตอบแทนจากการที่สัตว์สุขภาพดีมากกว่าการรักษาสัตว์ป่วย
ในปี 2525 มีผู้ทำนายว่า การเฝ้าระวังทางระบาดวิทยา จะเป็นกิจกรรมหลักของงานอายุรศาสตร์ป้องกัน วิชาระบาดวิทยาจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัยของการจัดการสุขภาพและผลผลิต หลักการและทักษะทางระบาดวิทยาสามารถ ช่วยตอบคำถามสำคัญ ในการเฝ้าระวังโรคและผลผลิต คือ จะเฝ้าระวังโรคอะไร จะเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร และจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร
ไม่มีความเห็น