คลังชี้ปีหน้างบลงทุนเบิกจ่ายล่าช้าหนึ่งไตรมาส
หลังการเปิดประชุมสภาไร้ความชัดเจน
“สมคิด” สั่งเร่งหน่วยงานเบิกจ่ายงบปี 2549
และงบผูกพันเต็มที่ช่วงสุญญากาศการเมือง ระบุเพื่อบรรเทาผลกระทบงบปี
2550 ล่าช้าจากปัญหาการเมือง
ด้านสำนักงบวิตกรายได้ไม่เข้าเป้า จนต้องจัดงบปีหน้า
แบบ “ขาดดุล”
หลังประเมินปัญหาการเมือง ส่งผลกระทบปีหน้าเศรษฐกิจโตไม่เกิน 3%
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย
หลังหารือร่วมกับ ดร.ทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
และนายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ วานนี้ (2 พ.ค.)
ว่า การที่ยังไม่มีความชัดเจน ว่า จะเปิดประชุมสภาได้เมื่อใด
ทำให้อาจกระทบต่อการจัดงบประมาณรายจ่ายปี 2550 อาจจะล่าช้าออกไปบ้าง
แต่ก็จะประสานงานไม่ให้ล่าช้ามากนัก
ดร.สมคิด กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายประจำต่าง ๆ ของภาครัฐยังคงใช้ได้อยู่
รวมทั้งยังมีงบเหลื่อมปีหรืองบผูกพันอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท
ที่นำมาใช้ได้ในช่วงที่งบประมาณปี 2550 ต้องล่าช้าออกไป
จึงเชื่อว่าจะไม่ทำให้
การใช้จ่ายของภาครัฐต้องสะดุดลงจากการที่งบประมาณต้องล่าช้า
อย่างไรก็ตาม ได้มีการมอบให้ นายวราเทพ รัตนากร
รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ
รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาโครงการต่าง ๆ
ที่สามารถเร่งรัดได้ให้ดำเนินการไปได้ก่อน
นอกจากนี้ ยังได้ให้ นายวราเทพ และนายสุรนันนท์
เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปี 2549 ของกระทรวงต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด
เพราะขณะนี้ ยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2549 ไม่มากนัก
โดยเฉพาะงบลงทุน
ส่วนด้านรายได้และรายจ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาลนั้น ดร.สมคิด
กล่าวว่า จะสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ ในเร็ว ๆ นี้
และไม่น่าจะมีปัญหา
โดยในส่วนของรายรับของภาครัฐได้มอบหมายให้อธิบดีกรมจัดเก็บภาษีทั้ง 3
กรม และปลัดกระทรวงการคลังดูแลอย่างใกล้ชิด
ด้าน ดร.ทนง เปิดเผยว่า งบประมาณปีนี้น่าจะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ไตรมาส
แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก
เพราะโดยปกติแล้วการเบิกใช้งบประมาณจะเบิกใช้จริงประมาณไตรมาสที่ 2
ของปีงบประมาณ
จะมีการเร่งรัดงบเหลื่อมปีให้ใช้เร็วมากขึ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณด้วย
อีกทั้งจะมีการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปี 2549 ให้เร็วที่สุดด้วย
โดยจะต้องดูแลโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดมากขึ้น
เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากนัก
หลังจากที่มีหน่วยงานด้านเศรษฐกิจคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ลดลง
“ในทางปฏิบัติไม่มีอะไรที่ล่าช้า
การที่งบประมาณเสร็จช้าไปหนึ่งไตรมาสนั้น
ปกติในไตรมาสแรกก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว
โดยงบใช้จ่ายและงบผูกพันก็ไม่มีการล่าช้าอยู่แล้ว
ส่วนงบลงทุนส่วนใหญ่ก็มีการใช้จ่ายจริงในไตรมาส 2 ขึ้นไปอยู่แล้ว
ฉะนั้นในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้รับผลกระทบ” ดร.ทนงกล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนปีนี้นั้น
รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก
เพราะมีการคาดการณ์ใช้จ่ายไว้ไม่สูงนัก
แต่ส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
คือการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่
เพราะการประมูลการลงทุนจะต้องล่าช้าออกไป
ดร.ทนงยังกล่าวถึงงบประมาณในปีนี้ด้วยว่า
จะไม่เกิดปัญหาการขาดดุลงบประมาณแน่นอน
โดยในส่วนของดุลเงินสดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้
จะมีเงินปันผลจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาและในปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน
ก็จะมีรายรับจากภาษีเงินได้นิติบุคคลเข้ามา
จึงเชื่อว่าตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการขาดดุลเงินสดอีก
และในปี 2549 นี้ ก็จะไม่มีการขาดดุลเงินสดอย่างแน่นอน
ดร.สมคิด ยังกล่าวถึง การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีนี้ ว่า
ยังคงเบิกจ่ายตามรายเดือนตามปกติ
ซึ่งคาดว่าจะเบิกจ่ายจริงได้ 97-98%
ของงบประมาณที่วางไว้
ส่วนงบลงทุนนั้นก็จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา
ซึ่งภาพรวมของงบประจำและงบการลงทุนนั้น ก็คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายประมาณ
93% ของงบประมาณตามที่เคยประมาณไว้ ทั้งนี้
งบลงทุนของปีนี้ สำนักงบประมาณได้อนุมัติไปแล้วประมาณ 3 แสนล้านบาท
ซึ่งมีการเบิกจ่ายจริงไปแล้วประมาณ 50%
ด้านนายวราเทพ กล่าวว่า
อาจจะลดระยะเวลาพิจารณางบประมาณของคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณจากเดิมใช้เวลา
8-12 สัปดาห์ หลังจากที่ผ่านการพิจารณาในการที่ประชุมสภาวาระแรก
ให้เหลือประมาณ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งหากลดเวลาในการพิจารณาลงได้
ก็จะทำให้สามารถผ่านกฎหมายมาเป็นงบประมาณได้เร็วมากขึ้น
ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณของปีนี้
ได้มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 728,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 53.58%
โดยแบ่งเป็นงบประจำ 569,515 ล้านบาท คิดเป็น 58.08% และเป็นงบลงทุน
159,185 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 41.95%
แหล่งข่าวจากสำนักงบประมาณ กล่าวว่า
ความสับสนทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ประกอบกับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง
รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวสูงขึ้น
และการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไปสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ระดับ
37.50 บาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต
ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
จนทำให้การบริโภคและการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด
ท้ายสุดได้กระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ
ซึ่งหน่วยงานสำคัญ ๆ
ก็ได้ประมาณการตัวเลขอัตราเติบโตของจีดีพีปีนี้ลง 0.50%
หรือขยายตัว 4.25-5.25% จากเดิม 4.75-5.75%
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัว
และปัจจัยลบที่รุมเร้า
อยู่ในขณะนี้นับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
(มกราคม-มีนาคม)
ได้ทำให้ดัชนีเศรษฐกิจหลายตัวสะท้อนออกมาในทิศทางที่น่าเป็นห่วง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2550
และกระทบการจัดทำงบประมาณรายประจำปี 2550 ที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร ตั้งกรอบวงเงินไว้ 1.476 ล้านล้านบาท
ซึ่งรัฐบาลใหม่จะต้องทบทวนกรอบวงเงินงบประมาณ
และอาจจำเป็นต้องปรับงบประมาณเป็นแบบขาดดุล จากเดิมที่เป็นงบสมดุล
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เนื่องจากคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มจะชะลอตัวลง
จากปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศ
ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดทำเก็บรายได้ของภาครัฐแน่นอน
ประกอบกับมีโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ
ที่ต้องใช้งบลงทุนอีกจำนวนมากรอการอนุมัติ
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าขณะนี้
มีสัญญาณหลายตัวบ่งชี้ว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว
แม้ภาคการส่งออกจะขยายตัวและเป็นหัวหอกหลักในการผลักดันอัตราเติบโตของจีดีพีประเทศอยู่ก็ตาม
แต่ปัจจัยลบต่าง ๆ ที่รุมเร้า อาทิ ราคาน้ำมัน
อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินบาท
ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนั้น
ปัญหาการเมืองเองก็มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุน
รวมทั้งผลกระทบต่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่บางส่วนที่ต้องล่าช้าออกไป
และการเลื่อนระยะเวลาในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจออกไป
ทำให้การลงทุนหยุดนิ่ง เพื่อรอนโยบายของรัฐบาลใหม่
ขณะที่ฐานะการคลังภาครัฐเองก็มีปัญหาการบริหารเงินคงคลัง ที่ผ่านมา
ทำให้ดุลเงินสดติดลบต่อเนื่องหลายเดือน
แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันว่าไม่มีปัญหาด้านการเงินก็ตาม
ทั้งนี้ ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนช่วงเดือนมีนาคมและไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือเพียง
1.4% จาก 5.3% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา “ขณะนี้
ตัวเลขการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ชะลอตัวลงมาก
ขณะที่การใช้จ่ายของประชาชนเองก็ถดถอย
เพราะไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่าจะเป็นอย่างไร
ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่าย
ต้นทุนการผลิตของเอกชนเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและดอกเบี้ย
ในที่สุด ก็จะกระทบต่อผลประกอบการ
และกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล
ซึ่งจะทำให้รายได้เข้ารัฐไม่เป็นไปตามเป้า นั่นหมายความว่า
ต้องส่งผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายอย่างแน่นอน”
แหล่งข่าวระบุ
สำหรับการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2549 จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 5.64
แสนล้านบาท ขยายตัว 11.9% จากปีก่อน แต่ลดลง 2.66 หมื่นล้านบาท
จากเดิมคาดว่าจะลงทุน 5.91 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 17.8%
ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีเงินลงทุน 6.21 แสนล้านบาท ขยายตัว 5.1%
ลดลงจากที่คาดว่าจะมีเงินลงทุนภาครัฐ 6.98 แสนล้านบาท หรือขยายตัว
18.1% ลดลงจากที่คาดไว้ที่ 7.67 แสนล้านบาท
ขณะที่การลงทุนของภาครัฐและเอกชนปีนี้
จะขยายตัว 7.5-8.5% ลดลงจากที่คาดไว้ 10.5-11.5%
โดยการลงทุนของภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว 7-8%
ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 12.5-13.5%
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 7.5-8.5%
ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 9.5-10.5%
ขณะที่การลงทุนของภาครัฐปีหน้าขยายตัว 8-9% ลดลงมาก
จากที่คาดว่าจะขยายตัว 14-15% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 8-9%
ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 8.5-9.5%
อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดี
เพราะการขยายตัวของการส่งออก
แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากการขยายตัวของฐานที่ต่ำในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548
(Low Base Effect) เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2548
เห็นได้ว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงชะลอตัว
และช่วงที่เหลือของปีนี้เศรษฐกิจยังเผชิญกับความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตาม และดอกเบี้ยขาขึ้น
ทำให้คาดว่าปัจจัยลบต่าง ๆ
จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
จากปัญหาของประเทศอิหร่าน และค่าบาทยังแข็งขึ้นไปถึงระดับ 37
บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามที่นักการเงินวิเคราะห์ไว้
จะยิ่งทำให้กระทบต่อความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออกไทย
รวมทั้งหากไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาคุณภาพ
และสร้างความแตกต่างของสินค้าส่งออกได้
ขณะที่ประเทศคู่แข่งมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าที่คล้ายกับสินค้าไทยแต่มีต้นทุนต่ำกว่า
ก็จะทำให้การส่งออกไทยมีปัญหาได้ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย เป็นต้น
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวไม่เกิน 3%
อย่างแน่นอน
“ปัจจุบันแม้การส่งออกของเรายังขยายตัวได้อยู่
แต่หากไม่มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างความแตกต่างหรือมูลค่าเพิ่มได้
ขณะที่ต้นทุนเราสูงกว่า
จากราคาน้ำมันและดอกเบี้ยสูง
รวมทั้งประเทศคู่ค้าเองก็กีดกันสินค้ามากขึ้น
โอกาสที่เราจะสู้ประเทศคู่แข่งไม่ได้ ก็มีสูง
ซึ่งหากการส่งออกมีปัญหาเศรษฐกิจไทยก็จะถูกกระทบอย่างแน่นอน
เพราะทุกวันนี้
การส่งออกเป็นหัวหอกหลักในการผลักดันจีดีพีประเทศให้ยังคงเติบโตอยู่”
แหล่งข่าวย้ำ
ขณะที่นายวุฒิพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้งบประมาณปี 2549
มีเพียงพอถ้าจะมีการเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ทั่วประเทศ
โดยคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณเท่าเดิมประมาณ 2,000 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ ไทยโพสต์ แนวหน้า
ผู้จัดการ
ไทยรัฐ ข่าวสด บ้านเมือง โพสต์ทูเดย์
โลกวันนี้ 3 พฤษภาคม 2549