หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
สมคิดเร่งเบิกงบ 4...
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
สมคิดเร่งเบิกงบ 49 ช่วงสุญญากาศ
สมคิดเร่งเบิกงบ 49 ช่วงสุญญากาศ
คลังชี้ปีหน้างบลงทุนเบิกจ่ายล่าช้าหนึ่งไตรมาส หลังการเปิดประชุมสภาไร้ความชัดเจน
"สมคิด" สั่งเร่งหน่วยงานเบิกจ่ายงบปี 2549 และงบผูกพันเต็มที่ช่วงสุญญากาศการเมือง ระบุเพื่อบรรเทาผลกระทบงบปี 2550 ล่าช้าจากปัญหาการเมือง ด้านสำนักงบวิตกรายได้ไม่เข้าเป้า จนต้องจัดงบปีหน้า แบบ "ขาดดุล" หลังประเมินปัญหาการเมือง ส่งผลกระทบปีหน้าเศรษฐกิจโตไม่เกิน 3%
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผย หลังหารือร่วมกับ ดร.ทนง พิทยะ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวุฒิพันธ์ วิชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ วานนี้ (2 พ.ค.) ว่า การที่ยังไม่มีความชัดเจน ว่า จะเปิดประชุมสภาได้เมื่อใด ทำให้อาจกระทบต่อการจัดงบประมาณรายจ่ายปี 2550 อาจจะล่าช้าออกไปบ้าง แต่ก็จะประสานงานไม่ให้ล่าช้ามากนัก
ดร.สมคิด กล่าวว่า ค่าใช้จ่ายประจำต่าง ๆ ของภาครัฐยังคงใช้ได้อยู่ รวมทั้งยังมีงบเหลื่อมปีหรืองบผูกพันอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท ที่นำมาใช้ได้ในช่วงที่งบประมาณปี 2550 ต้องล่าช้าออกไป จึงเชื่อว่าจะไม่ทำให้ การใช้จ่ายของภาครัฐต้องสะดุดลงจากการที่งบประมาณต้องล่าช้า อย่างไรก็ตาม ได้มีการมอบให้ นายวราเทพ รัตนากร รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รักษาการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้พิจารณาโครงการต่าง ๆ ที่สามารถเร่งรัดได้ให้ดำเนินการไปได้ก่อน
นอกจากนี้ ยังได้ให้ นายวราเทพ และนายสุรนันนท์ เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปี 2549 ของกระทรวงต่าง ๆ ให้เร็วที่สุด เพราะขณะนี้ ยังมีการเบิกจ่ายงบประมาณ ปี 2549 ไม่มากนัก โดยเฉพาะงบลงทุน
ส่วนด้านรายได้และรายจ่ายอื่น ๆ ของรัฐบาลนั้น ดร.สมคิด กล่าวว่า จะสามารถกลับสู่ภาวะปกติได้ ในเร็ว ๆ นี้ และไม่น่าจะมีปัญหา โดยในส่วนของรายรับของภาครัฐได้มอบหมายให้อธิบดีกรมจัดเก็บภาษีทั้ง 3 กรม และปลัดกระทรวงการคลังดูแลอย่างใกล้ชิด
ด้าน ดร.ทนง เปิดเผยว่า งบประมาณปีนี้น่าจะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ไตรมาส แต่ไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก เพราะโดยปกติแล้วการเบิกใช้งบประมาณจะเบิกใช้จริงประมาณไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ จะมีการเร่งรัดงบเหลื่อมปีให้ใช้เร็วมากขึ้นในไตรมาสแรกของปีงบประมาณด้วย อีกทั้งจะมีการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปี 2549 ให้เร็วที่สุดด้วย โดยจะต้องดูแลโครงการต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงมากนัก หลังจากที่มีหน่วยงานด้านเศรษฐกิจคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีปีนี้ลดลง "ในทางปฏิบัติไม่มีอะไรที่ล่าช้า การที่งบประมาณเสร็จช้าไปหนึ่งไตรมาสนั้น ปกติในไตรมาสแรกก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว โดยงบใช้จ่ายและงบผูกพันก็ไม่มีการล่าช้าอยู่แล้ว ส่วนงบลงทุนส่วนใหญ่ก็มีการใช้จ่ายจริงในไตรมาส 2 ขึ้นไปอยู่แล้ว ฉะนั้นในทางปฏิบัติแล้วไม่ได้รับผลกระทบ" ดร.ทนงกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของการลงทุนปีนี้นั้น รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า จะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เพราะมีการคาดการณ์ใช้จ่ายไว้ไม่สูงนัก แต่ส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือการลงทุนในโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ เพราะการประมูลการลงทุนจะต้องล่าช้าออกไป
ดร.ทนงยังกล่าวถึงงบประมาณในปีนี้ด้วยว่า จะไม่เกิดปัญหาการขาดดุลงบประมาณแน่นอน โดยในส่วนของดุลเงินสดในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีเงินปันผลจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาและในปลายเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน ก็จะมีรายรับจากภาษีเงินได้นิติบุคคลเข้ามา จึงเชื่อว่าตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไปจะไม่มีการขาดดุลเงินสดอีก และในปี 2549 นี้ ก็จะไม่มีการขาดดุลเงินสดอย่างแน่นอน
ดร.สมคิด ยังกล่าวถึง การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีนี้ ว่า ยังคงเบิกจ่ายตามรายเดือนตามปกติ ซึ่งคาดว่าจะเบิกจ่ายจริงได้ 97-98% ของงบประมาณที่วางไว้ ส่วนงบลงทุนนั้นก็จะมีการเร่งรัดเบิกจ่ายเหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา ซึ่งภาพรวมของงบประจำและงบการลงทุนนั้น ก็คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายประมาณ 93% ของงบประมาณตามที่เคยประมาณไว้ ทั้งนี้ งบลงทุนของปีนี้ สำนักงบประมาณได้อนุมัติไปแล้วประมาณ 3 แสนล้านบาท ซึ่งมีการเบิกจ่ายจริงไปแล้วประมาณ 50%
ด้านนายวราเทพ กล่าวว่า อาจจะลดระยะเวลาพิจารณางบประมาณของคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณจากเดิมใช้เวลา 8-12 สัปดาห์ หลังจากที่ผ่านการพิจารณาในการที่ประชุมสภาวาระแรก ให้เหลือประมาณ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งหากลดเวลาในการพิจารณาลงได้ ก็จะทำให้สามารถผ่านกฎหมายมาเป็นงบประมาณได้เร็วมากขึ้น ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณของปีนี้ ได้มีการเบิกจ่ายไปแล้ว 728,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 53.58% โดยแบ่งเป็นงบประจำ 569,515 ล้านบาท คิดเป็น 58.08% และเป็นงบลงทุน 159,185 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 41.95%
แหล่งข่าวจากสำนักงบประมาณ กล่าวว่า ความสับสนทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้ประกอบกับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่ขยับตัวสูงขึ้น และการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไปสูงสุดในรอบ 6 ปีที่ระดับ 37.50 บาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิต ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ จนทำให้การบริโภคและการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ท้ายสุดได้กระทบต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ ซึ่งหน่วยงานสำคัญ ๆ ก็ได้ประมาณการตัวเลขอัตราเติบโตของจีดีพีปีนี้ลง 0.50% หรือขยายตัว 4.25-5.25% จากเดิม 4.75-5.75%
แหล่งข่าวกล่าวว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศที่มีแนวโน้มชะลอตัว และปัจจัยลบที่รุมเร้า อยู่ในขณะนี้นับตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม) ได้ทำให้ดัชนีเศรษฐกิจหลายตัวสะท้อนออกมาในทิศทางที่น่าเป็นห่วง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในปี 2550 และกระทบการจัดทำงบประมาณรายประจำปี 2550 ที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งกรอบวงเงินไว้ 1.476 ล้านล้านบาท ซึ่งรัฐบาลใหม่จะต้องทบทวนกรอบวงเงินงบประมาณ และอาจจำเป็นต้องปรับงบประมาณเป็นแบบขาดดุล จากเดิมที่เป็นงบสมดุล เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เนื่องจากคาดว่าภาวะเศรษฐกิจในปีหน้ามีแนวโน้มจะชะลอตัวลง จากปัจจัยลบทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดทำเก็บรายได้ของภาครัฐแน่นอน ประกอบกับมีโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐ ที่ต้องใช้งบลงทุนอีกจำนวนมากรอการอนุมัติ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าขณะนี้ มีสัญญาณหลายตัวบ่งชี้ว่า แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แม้ภาคการส่งออกจะขยายตัวและเป็นหัวหอกหลักในการผลักดันอัตราเติบโตของจีดีพีประเทศอยู่ก็ตาม แต่ปัจจัยลบต่าง ๆ ที่รุมเร้า อาทิ ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยและค่าเงินบาท ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนั้น ปัญหาการเมืองเองก็มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการตัดสินใจของนักลงทุน รวมทั้งผลกระทบต่อการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่บางส่วนที่ต้องล่าช้าออกไป และการเลื่อนระยะเวลาในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจออกไป ทำให้การลงทุนหยุดนิ่ง เพื่อรอนโยบายของรัฐบาลใหม่ ขณะที่ฐานะการคลังภาครัฐเองก็มีปัญหาการบริหารเงินคงคลัง ที่ผ่านมา ทำให้ดุลเงินสดติดลบต่อเนื่องหลายเดือน แม้กระทรวงการคลังจะยืนยันว่าไม่มีปัญหาด้านการเงินก็ตาม
ทั้งนี้ ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนช่วงเดือนมีนาคมและไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลงเหลือเพียง 1.4% จาก 5.3% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา "ขณะนี้ ตัวเลขการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ชะลอตัวลงมาก ขณะที่การใช้จ่ายของประชาชนเองก็ถดถอย เพราะไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่าจะเป็นอย่างไร ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ระมัดระวังการใช้จ่าย ต้นทุนการผลิตของเอกชนเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันและดอกเบี้ย ในที่สุด ก็จะกระทบต่อผลประกอบการ และกระทบต่อการจัดเก็บภาษีของภาครัฐ โดยเฉพาะภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งจะทำให้รายได้เข้ารัฐไม่เป็นไปตามเป้า นั่นหมายความว่า ต้องส่งผลกระทบต่อการจัดทำงบประมาณรายจ่ายอย่างแน่นอน" แหล่งข่าวระบุ
สำหรับการลงทุนของภาครัฐในปีงบประมาณ 2549 จะมีการลงทุนทั้งสิ้น 5.64 แสนล้านบาท ขยายตัว 11.9% จากปีก่อน แต่ลดลง 2.66 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะลงทุน 5.91 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 17.8% ส่วนปีหน้าคาดว่าจะมีเงินลงทุน 6.21 แสนล้านบาท ขยายตัว 5.1% ลดลงจากที่คาดว่าจะมีเงินลงทุนภาครัฐ 6.98 แสนล้านบาท หรือขยายตัว 18.1% ลดลงจากที่คาดไว้ที่ 7.67 แสนล้านบาท ขณะที่การลงทุนของภาครัฐและเอกชนปีนี้ จะขยายตัว 7.5-8.5% ลดลงจากที่คาดไว้ 10.5-11.5% โดยการลงทุนของภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัว 7-8% ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 12.5-13.5% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 7.5-8.5% ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 9.5-10.5% ขณะที่การลงทุนของภาครัฐปีหน้าขยายตัว 8-9% ลดลงมาก จากที่คาดว่าจะขยายตัว 14-15% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 8-9% ลดลงจากที่คาดว่าจะขยายตัว 8.5-9.5%
อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ดี เพราะการขยายตัวของการส่งออก แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากการขยายตัวของฐานที่ต่ำในช่วงไตรมาสแรกของปี 2548 (Low Base Effect) เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2548 เห็นได้ว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงชะลอตัว และช่วงที่เหลือของปีนี้เศรษฐกิจยังเผชิญกับความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตาม และดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้คาดว่าปัจจัยลบต่าง ๆ จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหากราคาน้ำมันยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปัญหาของประเทศอิหร่าน และค่าบาทยังแข็งขึ้นไปถึงระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ตามที่นักการเงินวิเคราะห์ไว้ จะยิ่งทำให้กระทบต่อความสามารถแข่งขันของผู้ส่งออกไทย รวมทั้งหากไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม พัฒนาคุณภาพ และสร้างความแตกต่างของสินค้าส่งออกได้ ขณะที่ประเทศคู่แข่งมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าที่คล้ายกับสินค้าไทยแต่มีต้นทุนต่ำกว่า ก็จะทำให้การส่งออกไทยมีปัญหาได้ เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย เป็นต้น ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้าจะขยายตัวไม่เกิน 3% อย่างแน่นอน "ปัจจุบันแม้การส่งออกของเรายังขยายตัวได้อยู่ แต่หากไม่มีการพัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างความแตกต่างหรือมูลค่าเพิ่มได้ ขณะที่ต้นทุนเราสูงกว่า
จากราคาน้ำมันและดอกเบี้ยสูง รวมทั้งประเทศคู่ค้าเองก็กีดกันสินค้ามากขึ้น โอกาสที่เราจะสู้ประเทศคู่แข่งไม่ได้ ก็มีสูง ซึ่งหากการส่งออกมีปัญหาเศรษฐกิจไทยก็จะถูกกระทบอย่างแน่นอน เพราะทุกวันนี้ การส่งออกเป็นหัวหอกหลักในการผลักดันจีดีพีประเทศให้ยังคงเติบโตอยู่" แหล่งข่าวย้ำ
ขณะที่นายวุฒิพันธ์ กล่าวว่า ขณะนี้งบประมาณปี 2549 มีเพียงพอถ้าจะมีการเลือกตั้ง ส.ส.ใหม่ทั่วประเทศ โดยคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณเท่าเดิมประมาณ 2,000 ล้านบาท
กรุงเทพธุรกิจ ไทยโพสต์ แนวหน้า
ผู้จัดการ
ไทยรัฐ ข่าวสด
บ้านเมือง โพสต์ทูเดย์ โลกวันนี้ 3 พฤษภาคม 2549
เขียนใน
GotoKnow
โดย
ห้องสมุดกรมบัญชีกลาง CGD Library
ใน
สรุปข่าวประจำวันของห้องสมุดกรมบัญชีกลาง
คำสำคัญ (Tags):
#uncategorized
หมายเลขบันทึก: 26610
เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2006 10:10 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 14:50 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (0)
ไม่มีความเห็น
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
ห้องสมุดกรมบัญชีก...
สมุด
สรุปข่าวประจำวันข...
สมคิดเร่งเบิกงบ 4...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท