บทความพิเศษ....กุญแจสู่ความร่วมมือของ อปท.ด้านการป้องกันเอดส์ |
ต่อเนื่องไว้จากครั้งที่แล้ว ครั้งนี้ผมจะมาถ่ายทอดประสบการณ์เรื่อง "กุญแจสู่ความร่วมมือของ อปท.ด้านการป้องกันเอดส์ " ซึ่งผมได้ค้นพบกุญแจจากประสบการณ์การทำงาน
ผมและทีมงานได้มีโอกาสลงพื้นที่ประเมินผลการทำงานด้านเอดส์ในระดับจังหวัดในเขตภาคเหนือตอนล่าง โดยมุ่งเน้นการประเมินผลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พวกเราเลือกจังหวัด 5 จังหวัดเป้าหมาย แล้วทำการสุ่มอย่างง่าย ได้จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นตัวแทนของจังหวัด จากนั้นก็หาฐานข้อมูลจาก สปสช.เขตพิษณุโลก ว่า อปท.ใดที่ได้รับเงินสนับสนุนกองทุนสุขภาพตำบลจาก สปสช. บ้าง
จากนั้นผมและทีมงานได้นัดหมายพร้อมลงพื้นที่ทำการสัมภาษณ์เชิงลึก ( Indept interview ) และทำ Focus Group ผู้บริหาร อปท.เช่น นายกเทศมนตรี , นายก อบต. , ปลัด อปท. , ผู้นำชุมชน , ประธาน อสม. ฯลฯ ใน อปท.เป้าหมายในช่วงเดือนธันวาคม 2551 ซึ่งผมได้สรุปข้อค้นพบที่ผมคิดว่าเป็นปมปัญหาการทำงานด้านเอดส์ของ อปท. อยู่ 3 ประเด็นสำคัญคือ
ข้อค้นพบที่ 1 การขาดข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์ในหมู่บ้านและตำบล ในพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งผลให้ไม่มีข้อมูลให้ผู้บริหารและประชาคมได้ตัดสินใจให้ความสำคัญกับปัญหาของชุมชน
ผู้บริหาร อปท.รู้ข้อมูลเพียงว่า ผู้ติดเชื้อเอช ไอ วี ที่มีในพื้นที่ก็คือคนที่มาขอรับเบี้ยยังชีพเท่านั้น เพราะเขาไม่มีโอกาสจะได้รู้ข้อมูลเลยว่าในพื้นที่ของเขามีผู้ติดเชื้อท่าไรแน่ ไม่เคยมีใครบอกเขาเลย ทำประชาคมงบประมาณกองทุนสุขภาพตำบล ประชาคมงบประมาณประจำปี อปท.เอง เรื่องเอดส์ถูกตีตกไปทุกครั้ง เพราะชุมชนทราบเพียงว่า “ ไม่มีผู้ป่วยเลยหรือมีก็เพียงเล็กน้อย “ ไม่เป็นปัญหาของชุมชน ดังนั้นงบประมาณดำเนินการเรื่องเอดส์จึงแทบไม่เคยผ่านประชาคมสักครั้ง พอทีมงานผมนำตำเลขจำนวนผู้ป่วยที่ไปค้นมาจากระบบของโรงพยาบาล ผู้บริหาร อปท.ทุกแห่งแทบลมจับ เพราะแต่ละปีพื้นที่ อปท.เขาไม่เคยมีคนมารับเบี้ยยังชีพเลย แต่กลับมีผู้ป่วยในพื้นที่ถึง 50 กว่าคนหรือเกือบ 100 คนก็มี
สิ่งที่ผู้นำชุมชนพูดตรงกันก็คือ ถ้าเขารู้จำนวนผู้ป่วยในพื้นที่ชุมชนของเขาจะต้องสนับสนุนงบประมาณด้านเอดส์ให้แน่นอน อาจเป็นในรูปการส่งเสริมอาชีพ การป้องกันเอดส์ในเยาวชน ฯลฯ
ลองคิดดูนะครับแค่ชุมชนรู้ว่ามีใครเป็นไข้เลือดออกสักรายสองราย อปท.เขาก็สนับสนุนทุกอย่างทั้งงบประมาณและการพ่นหมอกควัน เพราะเขามีความรู้ที่จัดการเพียงเท่านี้ แต่ถ้าเชิงลึกมากกว่านี้เขาก็ยังหวังพึ่งพิงทางสาธารณสุขอยู่
แต่นี่ชุมชนไม่รู้ว่ามีจำนวนผู้ป่วยเลยสักคน แล้วจะให้ชุมชนสนับสนุนการทำประชาคมระดมทรัพยากรชุมชนได้อย่างไร ? เขาเหล่านั้นคิดตรงกันว่า “ เอดส์ไม่ใช่ปัญหาของชุมชนเขา “
ข้อค้นพบที่ 2 การไม่กล้าเปิดเผยตัวเพื่อรับเบี้ยยังชีพของผู้ป่วยเอดส์ เพราะกลัวผลกระทบจากชุมชน ส่งผลให้มีงบเบี้ยยังชีพเหลือจำนวนมากใน อปท.
สิ่งที่พบคือมีผู้ป่วยเอดส์ไปแสดงตนเพื่อรับเบี้ยยังชีพจำนวนน้อยรายมาก เพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของงบประมาณที่ อปท.ตั้งไว้เท่านั้น และถ้าเทียบแล้วไม่ถึงร้อยละ 5 ของจำนวนผู้ป่วยเอดส์ที่รับยาต้านไวรัส ในเขตพื้นที่นั้นเสียด้วยซ้ำ....ทำไมล่ะหรือ ?
ก็เพราะการที่ผู้ป่วยไปเปิดเผยตัวเองเพื่อรับเบี้ยยังชีพที่ อปท.เดือนละ 500 บาทนั้น อาจส่งผลทำให้ชีวิตของเขา ลูกหลาน และครอบครัว นับแต่บัดนั้น ต้องเปลี่ยนแปลงไปแบบย้อนกลับไม่ได้ เขาและครอบครัวเกรงกลัวการถูกรังเกียจจากชุมชนที่อาจยังไม่เข้าใจ เขากลัวการถูกแบ่งแยกและกีดกัน เขากลัวทุกสิ่งทุกอย่างที่ชุมชนจะรู้ความลับของเขา เพราะคนที่ทำงานใน อปท.ก็คือลูก ๆ หลาน ๆ ของคนในชุมชนนั่นเอง ความลับที่เคยลับก็จะถูกเปิดเผยให้รู้ทั่วกันก็คราวนี้
เมื่อคิดได้อย่างนี้เขาก็เลยไม่เปิดเผยตัวไปรับเบี้ยยังชีพเสียดีกว่า ใจก็อยากได้รับการสงเคราะห์ที่รัฐจัดให้ แต่ก็กลัวผลที่ตามมาที่คาดเยากหากต้องไปแสดงตัวต่อ อปท.เพื่อรับเบี้ยยังชีพ ผลก็คืองบประมาณเบี้ยยังชีพแต่ละ อปท.เหลือบานเบอะ บางแห่งแต่ละปีไม่ได้เบิกจ่ายเลยสักบาท ทั้งที่ผู้ป่วยเอดส์ในพื้นที่มีจำนวนมากหลายสิบคน.....
ข้อค้นพบที่ 3 การไม่มีโครงสร้างคณะทำงานทางนิตินัยด้านโรคเอดส์ในชุมชน ส่งผลให้การประชุมต่าง ๆ เป็นแค่พฤตินัยและประชุมรวมกับหัวข้ออื่น ๆ ผู้นำชุมชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่เห็นสภาพปัญหาอย่างเป็นทางการของโรคเอดส์
ชุมชนทุกแห่งที่ทีมงานผมทำการประเมินผล “ ไม่มีแห่งใดเลย “ ที่มีการจัดตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานด้านเอดส์ของชุมชน การทำงานปรึกษาหารือกันเรื่องเอดส์จึงเป็นแค่เรื่องจร เรื่องผ่าน ๆ รวมกับเรื่องทั่ว ๆ ไป เช่น เบาหวาน ความดัน ฯลฯ พอถึงเรื่องเอดส์ ผู้ร่วมประชุมเลยไม่สนใจ เพราะไม่มีข้อมูลใด ๆ ให้ที่ประชุมพิจารณา ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวี ในชุมชนก็ไม่มี ผู้มาขอรับเบี้ยยังชีพก็ไม่มี ก็ไม่รู้จะคุยกันไปทำไม ?
ผลที่ได้รับก็คือ ชุมชนเองก็ไม่ทราบสภาพปัญหาที่แท้จริงด้านเอดส์ของชุมชน เมื่อไม่ทราบปัญหา ก็คิดว่าเอดส์ไม่ใช่ปัญหาของพวกเขา นี่คือความเป็นจริงของชาวบ้าน ปัญหาของเขาจะต้องเป็นสิ่งที่เขารับรู้และจับต้องได้เท่านั้น
สิ่งที่ผมต้องกลับมานั่งคิดคือคำพูดที่ว่า “ สาธารณสุขน่ะศึกษาชุมชน แต่ไม่เคยให้การศึกษาชุมชนเลย แต่กลับข้ามขั้นตอนไปให้การศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนเลย “ ผมฟังตอนแรกก็งง ๆ แต่พอมานั่งทบทวนก็จริงของเขา โรงพยาบาลมีจำนวนผู้ป่วยแต่ละตำบลในมือ แต่ไม่มีโรงพยาบาลใดเลยที่บอกจำนวนผู้ป่วยนี้กับชุมชน แต่กลับไปสอนชุมชนว่าต้องป้องกันเอดส์ในเยาวชน....อือ..ก็แปลก ก็ทำไมไม่บอกเขาล่ะว่าแต่ละตำบลมีผู้ป่วยกี่คน ต่อจากนั้นให้เป็นภูมิปัญาชาวบ้านเขาเองว่าเขาจะแก้ไขปัญหาชุมชนเขาอย่างไร
เมื่อได้ข้อค้นพบปัญหา 3 ประเด็นหลักผมจึงเสนอกุญแจไขสู่ทางแก้ปัญหาให้ 3 ข้อเช่นกัน คือ
กุญแจไขทางแก้ปัญหาที่ 1 ผลักดันในระดับนโยบายระดับจังหวัด ให้โรงพยาบาลทุกแห่งเผยแพร่ข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ ส่งให้กับ สนง.สาธารณสุขอำเภอ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุก 6 เดือน โดยต้องแยกเป็นรายตำบลและรายหมู่บ้าน
ผมเน้นนะครับ แค่ “จำนวน “ เท่านั้น ไม่ได้หมายถึงที่อยู่ใด ๆ ทั้งสิ้น แค่จำนวนแยกเป็นรายหมู่บ้าน แต่ละตำบลก็เพียงพอแล้ว ปีหนึ่งโรงพยาบาลทำเป็นสถานการณ์โรคเอดส์ ส่งให้สาธารณสุขอำเภอ และ อปท.ในพื้นที่ปีละ 2 ครั้งเท่านั้น ปรับฐานข้อมูลทุกภาคส่วนให้ตรงกัน เราศึกษาชุมชนแล้ว ต้องบอกผลการศึกษานั้นกับชุมชนครับ อย่าเพิ่งข้ามไปบอกเขาว่าจะต้องป้องกันเอดส์ในเยาวชน เอาแค่ให้ชุมชนเขารู้จำนวนผู้ป่วยในชุมชนก่อน หลังจากนั้นให้โอกาสชุมชนเขาคิดเพื่อใช้ภูมิปัญาชุมชนเขาเอง ว่าเขาจะจัดการกับตัวเลขผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ที่เขาทราบได้อย่างไร
ที่สำรวจไม่พบโรงพยาบาลใดเลยที่ทำแบบนี้ พบแต่เพียงทำรายงานจำนวนผู้ป่วยรวมภาพใหญ่ทั้งอำเภอ อปท.แต่ละแห่งก็ไม่ทราบว่าจำนวนผู้ป่วยนั้นอยู่ในตำบลใด ความตระหนักก็ยังไม่เกิด เพราะข้อมูลนั้นมันกว้างไป ต้องแคบลงกว่านี้ต้องลงลึกถึงรายตำบลรายหมู่บ้านเลย
แล้วคำถามคือจะมีผลกระทบใดต่อผู้ติดเชื้อไหม ผมตอบได้เลยว่าไม่มีครับ เพราะข้อมูลเป็นแค่ “จำนวน” ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใด แต่สิ่งที่ตามมาคือชุมชนต้องคิดหนัก หากจะละเลยการแก้ปัญหาเอดส์ ในเมื่อตัวเลขมันจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเห็นอยู่ตรงหน้าและจับต้องได้ ผู้บริการ อปท.คงต้องคิดทำอะไรสักอย่างในการแก้ไขปัญหานี้ กองทุนสุขภาพตำบล งบประมาณประจำปีของ อปท.คงหลีกหนีไม่พ้น ที่จะต้องมีเรื่องของการแก้ไขปัญหาเอดส์บรรจุเข้าไปในแผนงบประมาณชอง อปท.
กุญแจไขทางแก้ปัญหาที่ 2 ผลักดันกำหนดให้ อปท.โอนงบเบี้ยยังชีพตามสัดส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยเอดส์ในพื้นที่ มารวมไว้ที่ศูนย์เฉลิมพระเกียรติอำเภอ แล้วให้โรงพยาบาลทำหลักฐานราชการ และเบิก - จ่ายเบี้ยยังชีพที่โรงพยาบาลเวลาที่ผู้ป่วยมารับยาต้านไวรัสตามนัด เป็นการลดการเผชิญหน้าของผู้จ่ายเงินและผู้รับเงินโดยมีศูนย์เฉลิมพระเกียรติอำเภอเป็นตัวกลาง
เคยลองทบทวนดูไหมครับ ว่าทำไมมีผู้ป่วยเอดส์จำนวนมากยินดีเปิดเผยตัวที่โรงพยาบาลเพื่อไปรับยาต้านไวรัสรักษา ( ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ป่วยรับยาต้านไวรัสประมาณ 2 แสนคน ) แล้วทำไมผู้ป่วยรายเดียวกันจึงมีไม่ถึงร้อยละ 5 ที่เปิดเผยตัวต่อ อปท.เพื่อรับเบี้ยยังชีพ? คำตอบก็คือ “ ไว้ใจหมอแต่ไม่ไว้ใจ อปท. “ สั้น ๆ ครับแต่ได้ข้อสรุป
คำถามถัดมาคือ แล้วทำไมต้องไปรับเบี้ยยังชีพที่ อปท. ผู้ป่วยไปรับที่โรงพยาบาลพร้อมกับวันนัดหมอที่นัดรับยาไม่ได้หรือ ? ....ถ้าโรงพยาบาลเผยแพร่จำนวนผู้ป่วยแยกรายตำบล....อปท.แต่ละแห่งในอำเภอก็โอนงบประมาณเบี้ยยังชีพตามสัดส่วนจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่ตนเองไปไว้ที่ศูนย์เฉลิมพระเกียรติอำเภอ นายอำเภอลงนามคำสั่งตามระเบียบราชการ เรื่องมอบหมายให้โรงพยาบาลทำและเก็บหลักฐานที่อยู่ แล้วทำการเบิกจ่ายเบี้ยยังชีพมาจ่ายให้ผู้ป่วยที่โรงพยาบาลในวันนัดรับยาประจำเดือนซะเลย อปท.ก็ได้จ่ายงบประมาณเบี้ยยังชีพที่ตั้งงบไว้ หลักฐานก็เก็บไว้ที่อำเภอตรวจสอบได้ ผู้ป่วยก็ได้รับเงินช่วยเหลือทุกเดือน ไม่ต้องเปิดเผยตัวต่อชุมชน โรงพยาบาลก็ได้ช่วยเหลือผู้ป่วย จ่ายค่าเบี้ยยังชีพเป็นค่ารถค่ารามาโรงพยาบาล ผู้ป่วยก็พอใจให้ความร่วมมือในการกินยาอย่างครบถ้วนต่อเนื่อง สุขภาพจิตก็ดี
ทุกคนได้ประโยชน์ อปท.ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจ่ายเงินให้ใคร หน่วยตรวจสอบการใช้งบราชการก็ไปดูหลักฐานที่โรงพยาบาลทำได้ที่อำเภอ เท่านี้ก็ช่วยให้ผู้ป่วยทุกคนได้รับการช่วยเหลือจากรัฐตามสิทธิที่เขาพึงได้ตามกฎหมาย
กุญแจไขทางแก้ปัญหาที่ 3 จัดตั้งคณะอนุกรรมการเอดส์ตำบล
คณะกรรมการเอดส์ชาติก็มีแล้ว คณะอนุการเอดส์จังหวัดก็มีแล้ว Provincial Coordinating Machanism ( PCM ) ก็มีแล้ว คณะอนุกรรมการเอดส์อำเภอก็มีแล้ว แต่ไฉนไม่มี “ คณะอนุกรรมการเอดส์ตำบล “ ถ้าแต่งตั้งได้จะด้วยอำนาจของเทศบาลหรือ อปท.ก็ทำได้อยู่แล้ว กฎหมาบบัญญัติให้ทำได้ชัดเจน ในเรื่องอำนาจการควบคุมป้องกันโรค อปท.สามารถออกประกาศ อาศัยอ้างถึงข้อกฎหมายที่ถืออยู่ แต่งตั้งผู้มีความรู้ นายก อปท. ครู อาจารย์ จนท.สาธารณสุข ประธาน อสม. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ประชาชน ผู้ติดเชื้อที่ยอมเปิดเผยตัว ฯลฯ จากทุกภาคส่วนในชุมชนเป็น “ คณะอนุกรรมการเอดส์ตำบล “
เมื่อมีคณะกรรมการทางนิตินัยแล้ว ข้อมูลทุกอย่างก็จะหลั่งไหลถูกนำมากางพูดคุยปรึกษาหารือกัน มีเวทีเฉพาะกิจที่เป็นเรื่องเป็นราว มีขั้นมีตอน มีวาระการประชุมเรื่องเอดส์ มีแนวทางที่เป็นระบบออกมาจากการหารือกัน มีผลในทางกฎหมาย มีมติที่ทุกคนในชุมชนยอมรับ มีการผลักดันงบประมาณด้านเอดส์ผ่านประชาคม ผ่านสภา อปท.
เป็นกลไกในระดับพื้นที่ ๆ ที่ทราบปัญหาของชุมชนดีที่สุด เพราะนี่คือบ้านของพวกเขา ชุมชนของพวกเขา โรงพยาบาลส่งข้อมูลจำนวนผู้ป่วยในตำบลให้เขาปีละ 2 ครั้ง “ คณะอนุกรรมการเอดส์ตำบล “ ก็จะมีข้อมูลให้ปรึกษากัน ในการแก้ไขปัญหาเอดส์ของชุมชน เป็นการใช้กลของชุมชนแก้ไขปัญหาของชุมชนเอง ตั้งเถอะครับ “ คณะอนุกรรมการเอดส์ตำบล “ ผมเชื่อมั่นว่าเวทีนี้แหละจะเป็นหนทางระดมความคิดภูมิปัญญาชุมชนที่เป็นนิตินัย และมีผลในทางปฏิบัติได้แน่นอน
เล่ามาเสียยาวไว้โอกาหน้าหาก หากมีประเด็นใดใหม่ ผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
ภก. เชิดเกียรติ แกล้วกสิกิจ
http://dpc9.ddc.moph.go.th/aids/cherkiat.html
สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 พิษณุโลก
ไม่มีความเห็น