การระดมพลังปัจเจกและชุมชนเพื่อเรียนรู้และสร้างความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของตนเอง ด้วยตนเอง และเพื่อตนเอง โดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการอย่างมีส่วนร่วม ขับเคลื่อนประชาคมวิจัย ซึ่งออกแบบให้ชุมชนและปัจเจกสามารถเรียนรู้ที่จะทำการริเริ่มและกำหนดสิ่งต่างๆ ที่เกื้อหนุนการปฏิบัติในทุกขั้นตอนของประชาชนให้มากที่สุด ได้นำมาเป็นฐานคิดส่วนหนึ่งของโครงการนี้ เช่น
กระบวนการพัฒนาประเด็นการวิจัย (Research Question Development)
กระบวนการปฏิบัติทางข้อมูล (Data Manipulation Process)
การปฏิบัติทางความรู้และผลการสร้างความรู้ในการปฏิบัติ (Result Management and Re-entry Planning)
กระบวนการต่างๆภายใต้แนวคิดการออกแบบเหล่านี้ นอกจากจะช่วยให้ท้องถิ่นและกลุ่มพลเมืองของชุมชนในเขตเทศบาลของท้องถิ่นทั้งภาคเมืองและชนบท มีกลไกจัดการเรื่องส่วนรวมที่ตนเองสนใจ และเรียนรู้จากการแก้ปัญหาแล้ว จะช่วยเสริมศักยภาพในการเป็นชุมชนที่ใช้ปัญญาและความรู้เข้าจัดการร่วมกันอย่างเป็นระบบ อาจเรียกได้ว่าเป็นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของพลเมือง (Civil Learning) ให้มีจิตวิญญาณแห่งการวิจัยและใช้ปัญญาในการจัดการ (Research-Based Learning by Doing) เริ่มจากการซาบซึ้งและเกิดจิตสงสัย (Questioning Mind) การตั้งคำถาม หาความจริงและพิสูจน์ความสนใจด้วยการปฏิบัติ เป็นต้น โครงการใดของชุมชนใด เริ่มต้นได้จากจุดไหน กระบวนการวิจัยก็ออกแบบเพื่อขับเคลื่อนและเกื้อหนุนไปตามเงื่อนไขตามนั้น
โครงการของชุมชนที่มีจุดริเริ่มบ้างแล้ว เริ่มผุดขึ้นมาได้หลายระดับ
จังหวัดอุทัยธานี
(1) เทศบาลตำบลสว่างอารมณ์ : การถอดบทเรียนและการพัฒนาการจัดการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนในเขตเทศบาลตำบลสว่างอารมณ์
(2) เทศบาลเมืองอุทัยธานี : การสร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี
จังหวัดชัยนาท
(3) เทศบาลตำบลสรรพยา : การร่วมใจพัฒนาศักยภาพชุมชนเพื่อสรรพยาน่าอยู่
(4) เทศบาลเมืองชัยนาท : การสร้างจิตสำนึกและเสริมสร้างสุขภาพด้วยตนเอง เทศบาลเมืองชัยนาท
จังหวัดสุพรรณบุรี
(5) เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี : การพัฒนาเครือข่ายการจัดการสื่อด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสุขภาวะในชุมชนเมืองสุพรรณบุรี
(6) เทศบาลตำบลศรีประจันต์ : โครงการศรีประจันต์ แหล่งกำเนิดผู้นำทางปัญญา
จังหวัดกาญจนบุรี
(7) เทศบาลเมืองกาญจนบุรี : การร่วมสร้างจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของชุมชนเมืองกาญจนบุรี
(8) เทศบาลพนมทวน : การสร้างเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เทศบาลตำบลพนมทวน
จังหวัดนครปฐม ( 3 เทศบาล / 3 โครงการย่อย เนื่องจากเพิ่มแหล่งที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา)
(9) เทศบาลนครนครปฐม : การพัฒนาคุณภาพชีวิตและอนามัยสิ่งแวดล้อมในเขตเทศบาลนครนครปฐม
(10) เทศบาลตำบลสามง่าม : การสร้างจิตสำนึกรักษ์ท้องถิ่นในการเสริมสุขภาวะของชุมชน
(11) เทศบาลตำบลศาลายา : ภาคีสร้างเสริมวัฒนธรรมสุขภาพ เพื่อพุทธมณฑลเมืองสุขภาวะอย่างยั่งยืน
จังหวัดราชบุรี
(12) เทศบาลเมืองราชบุรี : การวิจัยสร้างองค์ความรู้เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการจัดการมลภาวะและสภาพแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาพของประชาชน ในเขตเทศบาลเมืองราชบุรี
(13) เทศบาลตำบลบางแพ : การเสริมสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บ้านหนองม่วง ตำบลบางแพ อำเภอบางแพ
จังหวัดสมุทรสาคร
(14) เทศบาลนคร นครสมุทรสาคร : การสร้างศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อสร้างจิตสำนึกและการตื่นตัวในการมีส่วนร่วมของชุมชน ต่อการจัดการสุขภาพขอชุมชนเศรษฐกิจ 2 เทศบาลนคร นครสมุทรสาคร
(15) เทศบาลตำบลเกษตรพัฒนา : การพัฒนาเครือข่ายแกนนำการจัดการสุขภาพแบบองค์รวมของตำบลเกษตรพัฒนา
จังหวัดสมุทรสงคราม
(16) เทศบาลเมืองสมุทรสงคราม : การสร้างจิตสำนึกเพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม เขตเทศบาลเมืองสมุทรสงคราม
(17) เทศบาลตำบลอัมพวา : การเสริมสรางจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม ตำบลอัมพวา เทศบาลตำบลอัมพวา
สรุปเพื่อเห็นภาพกว้าง ณ เวลานี้ได้ดังนี้
สังฆมนิยม
ขอเจริญพรโยมอาจารย์วิรัตน์
พุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทมักมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเห็นแก่ตัวไม่สนใจสังคมมีความเป็นปัจเจกสูงทอดทิ้งสังคมทอดทิ้งชุมชนทอดทิ้งส่วนรวม โดยทรรศนะส่วนตัวของอาตมามีความเห็นว่าเถรวาทนั้นน่าจะเป็นประเภทแนวชุมชนมากกว่าเพราะมองตามรูปศัพท์ที่ปรากฏในทางพระศาสนานั้นท่านเน้นความเป็นส่วนรวมความเป็นชุมชนความเป็นผู้มีส่วนร่วมสูงมากโดยเน้นระระบบพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันจะลองดูศัพท์ที่ท่านใช้เรียกตัวแทนองค์กรหรือสถาบันว่าสังฆะหรือสงฆ์(ชุมชน,สังคม,พวกหมู่,คณะ,ประชาคม)อาตมาขอเสนอคำศัพท์ให้ผู้วิจารณ์หมั่นไส้เล่น ๆ ว่าสังฆมนิยมอย่าถือสาผู้รู้น้อยก็แล้วกัน
เถรวาทนิยมความมีส่วนร่วมทางสังคมมากแม้แต่คำถวายทานและคำถวายประเภทอื่นๆโยมอาจารย์จะเห็นศัพท์ที่ท่านใช้และมีความหมายที่บ่งบอกถึงส่วนรวมทุกบทเลย ยิ่งพระวินัยบัญญัติด้วยแล้วจะมีบทที่บัญญัติไว้เป็นข้อบังคับเลยว่าต้องทำเป็นหมู่คณะมอบความเป็นใหญ่ให้แก่สงฆ์ซึ่งเป็นส่วนรวมจะทำผู้เดียวไม่ได้จะเห็นได้ว่าสงฆ์ไม่นิยมความเป็นปัจเจกแต่ถ้าทางธรรมการบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นเรื่องส่วนบุคคลก็มีอิสระจะทำเป็นรายบุคคลได้แต่เมื่อมีกิจส่วนรวมต้องสละประโยชน์ตนมาดูแลจัดการส่วนรวมให้เรียบร้อยโดยถือเป็นหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบร่วมกันทิ้งหน้าที่จะถูกปรับอาบัติลงโทษทางวินัยแล้วแต่กรณี เพราะความเป็นชุมชนจ๋าเกินไปหรือเปล่าไม่รู้จึงเคยมีผู้วิจารณ์ให้สะดุ้งสะเทือนอารมณ์ว่า สังคมวัดสังคมสงฆ์ระบบวัดนั้นเจ้าอาวาสเป็นใหญ่รวบอำนาจมากเกินไปคล้ายคอมมิวนิสต์วัดเป็นระบบคอมมิวนิสต์ดี ๆ นี่เองท่านว่าอย่างนั้นไม่มีความรู้เรื่องคอมมิวนิสต์เสียด้วยก็รับฟังไว้ด้วยใจอนุโมทนา
ผู้คนในสังคมนิยมความเป็นปัจเจกมากเกินหรือเปล่านะโยมอาจารย์จึงทำให้ส่วนรวมหรือสังคมชุมชนของเราอ่อนกำลังลงขาดพลังสร้างสรรค์ทำให้มีสภาพทรุดโทรมอ่อนแอคนนิยมตนเองเป็นศูนย์กลางไม่สนใจผู้อื่นแม้แต่ส่วนรวมหรือชุมชนเห็นโยมอาจารย์ทำงานด้านชุมชนมาเยอะมีประสบการณ์มีความรู้มีจิตสาธารณะสูงก็เลยขอความรู้และแนววิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำงานให้กับชุมชนแบบคนมีจิตอาสาจิตสาธารณะบ้าง.
ขอเจริญพร
พระมหาแล ขำสุข(อาสโย)
กราบนมัสการพระคุณเจ้า พระอาจารย์มหาแล ขำสุข(อาสโย)ครับ
กราบนมัสการด้วยความเคารพครับ
สวัสดีครับอาจารย์ชายขอบ
มีความสุขและมีไฟอยู่เสมอนะครับ