...
ผู้เชี่ยวชาญด้านคุณภาพอากาศนิยมใช้ "กฎแห่ง 1,000" นั่นคือ อะไรที่ปล่อยออกสู่อากาศในบ้านมีโอกาสถูกหายใจเข้าไปประมาณ 1,000 เท่าของอากาศนอกบ้าน
ศ.ดร.เคิร์ค สมิต (Kirk Smith) ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพสิ่งแวดล้อมโลก แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ กล่าวว่า
...
แม้แต่ในแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีกฏหมายคุมเข้มด้านการสูบบุหรี่มากที่สุด และมีอัตราคนสูบบุหรี่น้อยที่สุดในสหรัฐฯ... คนที่นี่ก็ยังได้รับสารพิษหลักจากบุหรี่มากกว่าสาเหตุอื่นๆ เนื่องจากยังมีการสูบบุหรี่ในบ้าน หรือในอาคาร
การป้องกันอากาศเสียในบ้านหรืออาคารทำได้ดังต่อไปนี้
...
(1). ไม่จุดธูปหรือเทียนในบ้าน
(2). ไม่ใช้สเปรย์ปรับอากาศ
...
(3). หมุนเวียนพืชในอาคาร
-
พืชช่วยทำความสะอาดอากาศ ทว่า... ควรระวังว่า ถ้าตั้งต้นไม้ไว้นานๆ จะทำให้เกิดการสะสมฝุ่นละออง และสารก่อภูมิแพ้ที่ใบหรือลำต้นของพืช
-
นอกจากนั้น... ดินที่ชื้นนานๆ ก็เพิ่มโอกาสเกิดเชื้อรา ทางที่ดีคือ หมุนเวียนต้นไม้ นำออกไปนอกห้องบ้าง หรือไม่ก็ใช้วิธีหมุนเวียนสับเปลี่ยนต้นไม้หลายๆ ชนิดไว้นอกอาคารบ้าง ในอาคารบ้าง
(4). ระวังควัน สี และกลิ่น
-
การทำอาหารอาจทำให้เกิดควัน หรือแก๊สจากการเผาไหม้, การทาสีทำให้เกิดไอระเหย, ส่วนพลาสติกหลายๆ ชนิดที่มีกลิ่นอาจปล่อยไอระเหยสารเคมีจำนวนมากออกมาเป็นเดือนๆ หรือปีๆ ได้
-
ทางที่ดีคือ ไม่นำของเข้าบ้านโดยไม่จำเป็น
...
(5). ลดพรม
(6). ไม่ใช้ฟืน
-
การใช้ฟืนในบ้าน เผาขยะ หรือเผาใบไม้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคทางเดินหายใจอุดตันเรื้อรัง (COPD) โดยเฉพาะถุงลมโป่งพอง และทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง
-
สถิติมะเร็งปอดบ้านเราสูงสุดที่ลำปาง-เชียงใหม่พอจะบอกเป็นนัยได้ว่า การเผาขยะ เผาใบไม้อาจทำให้เกิดสารก่อมะเร็งทั่วบ้านทั่วเมือง
...
(7). ไม่สูบบุหรี่
(8). ติดพัดลมดูดอากาศ
...
-
โรงพยาบาลหลายแห่งติดพัดลมดูดอากาศไว้ใกล้หน้าต่างหรือประตู ทำให้การระบายอากาศไม่ได้ผล เนื่องจากลมก็เหมือนไฟฟ้า คือ จะหาทางลัดที่สั้นที่สุด (shortcut) เสมอ
-
การติดพัดลมดูดอากาศไว้ใกล้ประตูจะทำให้เกิดการระบายอากาศเฉพาะส่วนที่ใกล้หน้าต่างหรือประตูมากที่สุด ส่วนไกลออกไปจะมีการระบายอากาศน้อยมาก
...
ถึงตรงนี้... ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
...
> Thank [ nytimes ]
ที่มา
-
-
นพ.วัลลภ พรเรืองวงศ์ โรงพยาบาลห้างฉัตร ลำปาง สงวนลิขสิทธิ์. ยินดีให้นำไปเผยแพร่โดยอ้างอิงที่มาได้. ห้ามนำไปใช้เพื่อการค้า > > 14 พฤษภาคม 2552.
-
ข้อมูลทั้งหมดเป็นไปเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ ไม่ใช่วินิจฉัยหรือรักษาโรค ท่านที่มีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงต่อโรคสูงจำเป็นต้องปรึกษาหมอที่ดูแลท่านก่อนนำข้อมูลไปใช้.