วันนี้เราเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อของตามปกติของวันสุดสัปดาห์ ตลอดเวลา 4-5 เดือนที่ผ่านมา ตัวเองจะต้องชี้ชวนให้ลูกๆอ่านป้ายภาษาไทยต่างๆ เพื่อจะดูความคืบหน้าในการอ่านภาษาไทย เพราะเมื่อแรกๆที่เรามาถึง ทั้ง 3 หนุ่มแทบจะมองผ่านภาษาไทยเป็นปกติ อ่านกันแต่ส่วนที่เป็นภาษาอังกฤษ (เหมือนกับพวกเราที่ถนัดภาษาไทยก็จะมองไม่เห็นภาษาอังกฤษที่มักจะเขียนอยู่คู่กัน ตามป้ายถนน ป้ายชี้ทาง และชื่อห้างร้านต่างๆ) แล้วก็จะเกิดคำถามกันไม่ได้หยุดหย่อนว่า ทำไมเค้าไม่เขียนให้อ่านออกเป็นเสียงที่ใช้ในภาษาไทยนะ เช่น พัทลุง ที่ลูกๆรู้กันว่าเป็นจังหวัดที่ติดกับหาดใหญ่ แต่พอเขาอ่านจากป้าย โดยไม่มองภาษาไทย เราจะ "เป็นงง"...ฟาธาลัง นี่มันที่ไหนน่ะแม่ นึกแล้วก็ให้สงสัยว่าหลักการแปลคำไทยเป็นเสียงภาษาอังกฤษของเรานี่เริ่มมาจากไหน จะเปลี่ยนให้เป็นเสียงที่ฝรั่งกับเราได้ยินตรงกันได้เมื่อไหร่กันหนอ
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้องฟุงอ่านป้ายต่างๆเป็นภาษาไทยอย่างรวดเร็ว แทบไม่มีผิดเลยโดยไม่ต้องชี้ชวน จนกระทั่งมาถึงสระว่ายน้ำ น้องฟุงอ่าน "สะ-หระ-ว่าย-น้ำ" เขาอ่านเสร็จก็หัวเราะเล่นเอง พอเราจะทัก เขาก็รีบบอกทันทีว่า "ฟุงรู้แล้ว ว่าต้องเป็น สะ-ว่าย-น้ำ เพราะมันเป็นอักษรควบไม่แท้" เอากับเขาสิ รู้ไปถึงโน่น แต่ก็สังเกตเห็นว่าเขามักจะบอกหลักการและเหตุผลในการอ่าน เช่น บอกว่าตัวนี้เป็นอักษรสูงไม่ใช้ไม้ตรี (บางทีฟุงก็เรียก ไม้เลขเจ็ด) เป็นต้น
หากย้อนนึกไปว่า น้องฟุงไม่ได้เรียนภาษาไทยตามแบบฉบับพื้นฐานมาเลย เนื่องจากตอนที่เริ่มด้วยการให้ดู chart ตัวอักษรภาษาไทยแล้วท่องไปด้วยกัน เอาสมุดคัดไทย เขียนก.ไก่มาให้หัดเขียน จะไม่มีปัญหาในการเขียนเลย เขียนตามได้สวยงามมาก ยกเว้นที่ต้องชี้ให้ดูว่าตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายที่ต้องอยู่บนกับล่างจะอยู่ไม่ค่อยถูกที่ แต่การอ่าน เขาจะได้หน้าลืมหลัง ไปไม่ถึงไหนเลย และดูเหมือนไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถดัดแปลงให้ช่วยตัวเองให้จำได้เลย จึงต้องเปลี่ยนวิธีเป็นสอนโดยวิธีการเขียนคำที่พูดบ่อยๆให้หัดอ่าน (ให้เขาเลือกเองว่าจะเอาคำอะไรบ้าง) เขาจะอ่านได้เช่น พ่อ แม่ บ้าน ฟุง แต่พอเอามาเรียงต่อกัน ก็อ่านไม่ค่อยได้ ต้องคอยเอานิ้วกันไว้ให้เห็นเป็นคำๆ สรุปว่าเรายอมแพ้ เอาเท่าที่ได้ แต่พอกลับมาเริ่มเข้าเรียน คุณครูทดสอบด้วยการเอาข้อสอบให้ทำ น้องฟุงก็อ่านไม่ออกเลย จึงต้องไปเริ่มเรียนป.1 กันใหม่ ไม่ใช่ป.3 ตามที่ควรจะเป็น
จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็เกือบ 6 เดือนแล้ว น้องฟุงอ่านได้คล่องแคล่ว สอบข้อสอบชั้นป.1, ป.2 ผ่านเรียบร้อย ได้ไปเรียนป. 3 แล้วปีนี้ เหตุที่ต้องเรียนซ้ำป. 3 ก็เพราะเนื้อหาวิชาต่างๆของบ้านเรา ละเอียดและมีศัพท์แสงมากมาย ไม่น่าจะข้ามไปป. 4 เลย
สรุปว่า ภาษาไทย
ก็ไม่ยากเท่าไหร่...หรอกนะ แต่...
ทำไม ปรารถนา กับ
สามารถ
ต้องเขียนแบบนี้ด้วยล่ะ แม่ ทำไมไม่อ่านว่า ปรา-รด-นา กับ
สา-มา-รด
แม่เปลี่ยนใจแล้ว...ไม่ง่ายหรอก ภาษาไทย ใครรู้ช่วยอธิบายที่มาที่ไปของ 2 คำนี้หน่อยเถอะค่ะ
อ่านช้าๆอย่างละเอียดครับ ได้บรรยากาศดีเหลือเกิน อบอุ่นเคล้าเรื่องราวการเรียนรู้ภาษาของแม่-ลูกที่ผูกพันกันอย่างน่าชื่นชม เรื่องภาษาลงว่าได้เล่นกับมันบ่อยๆ ไม่เท่าไหร่ที่ยากก็จะง่าย เรียนรู้แบบธรรมชาติสนุกกับมันแบบไม่ต้องเอาเป็นเอาตาย แบบที่ทำอยู่นั้นดีแล้ว สะสมไปเรื่อยๆนะน้องฟุง เผลอแป๊บเดียวอาจจะงงว่า เอ๊ะ ทำไมเรารู้อะไรๆมากอย่างนี้ ภาษาทุกภาษาถ้าเรารักเขา เล่นกับเขาบ่อยๆ เขาจะรักและอยู่กับเรา เป็นเครื่องมือ หรืออาวุธ คอยประหัตประหาร ความไม่รู้ ทั้งหลายให้หมดสิ้นไปได้เรื่อยๆ สติปัญญา ความสุข ความสำเร็จก็จะตามมาอย่างแน่นอน .. ครับผม !
เรื่อง ปรา-รด-นา และ สา-มา-รด นั้นดูเหมือนจะเคยฟังใครสักคนอธิบาย แต่ลืมไปแล้ว แม้อยากช่วยตอบก็ยังมิสามารถครับ ... ใครรู้ที่มา ช่วยสงเคราะห์หน่อยก็ดีนะครับ ทั้งคุณแม่ คุณลูก และผมเองด้วยอีกคน
ภาษาไทยง่ายนิดเดียว... (ที่เหลือยากมาก...) เป็นประกายความคิดที่ดีแถมทำให้คิดมากเสียด้วย เราเรียนคำนี้มาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่เห็นมีใครอธิบายสักทีว่าทำไม???
สงสัยต้องค้นคว้ากันอีกมาเสียแล้วล่ะ...
ผมพยายาม(มาก ๆ )ที่จะค้นหาความหมายและที่มา เริ่มจากอินเตอร์เน็ต หนังสือ ห้องสมุด ร้านหนังสือ แต่แล้วก็มาตายน้ำตื้นเสียจริง ๆ และมองข้ามเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปเสีย
ลองเปิดพจนานุกรมดูเลยครับ สองคำนี้มาจากภาษาสันสกฤต แล้วนำมาใช้ทับศัพท์และเปลี่ยนสระนิดหน่อย ก็กลายเป็นของไทยไปเสีย....
ขอบคุณคุณโยธินินมากเลยค่ะ ที่อุตส่าห์ไปหามาให้
เราตายน้ำตื้นกันจริงๆ ความจริงนั่นเป็นที่แรกที่เราควรจะหาคำตอบเลยเนาะ เลยได้ความคิดแล้วว่าวันนี้อยากเรียนเรื่องพจนานุกรมค่ะ เคยคิดเหมือนกันว่ามีคนใช้บ่อยๆไหม โดยเฉพาะเด็กๆ ความจริงนั่นคือแหล่งความรู้เลยนะคะ