เมื่อสายลมแห่งความสุข และเป็นอิสระพัดผ่าน....1


โรงพยาบาลที่ข้าพเจ้ากำลังทำงานอยู่ขณะนี้ เป็นโรงพยาบาลขนาดเล็ก  มีแพทย์เฉพาะทางไม่ครบสาขา แถมแต่ละสาขาก็มีเพียงหนึ่งหรือสองคน  ในสภาพบรรยายกาศของจังหวัดเล็กๆ และเป็นเมืองปิด แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงาม  ทว่าไม่ได้ช่วยเอื้อให้บรรดาคนทำงานในโรงพยาบาลทั้งหลายมีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น และด้วยจำนวนคนไข้และปริมาณงานที่มากมายก็ทำให้หลายๆคนมีอาการ  ทำงานมากจนไม่มีเวลาและโอกาสที่จะเห็นเดือนเห็นตะวัน ไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งชมดวงดาวหรือหมู่เมฆ  ไม่มีเวลาชื่นชมกับต้นไม้ใบหญ้าหรือท้องฟ้าใส  ยิ่งบางวันที่มีอากาศขมุกขมัวเต็มไปด้วยหมอกควันพิษจากไฟป่า หรือฝุ่นควันอื่นๆ ยิ่งทำให้หลายๆคนถึงกับป่วยไข้  ไม่สบายทั้งกายและใจ

จิตแพทย์หนึ่งเดียวของโรงพยาบาลเรา (น่าดีใจที่โรงพยาบาลเล็กๆนี้มีจิตแพทย์อยู่ถึงหนึ่งคน) บอกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อให้เจ้าหนัาที่ของโรงพยาบาลทำแบบทดสอบความเครียด ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ถึง 50% มีความเครียดระดับรุนแรงถึงรุนแรงมาก  และในจำนวนผู้ที่มีระดับความเครียดรุนแรงนี้มีถึง 60 กว่าคน  ที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังและคอยช่วยเหลือ แถมอาจจำเป็นต้องพบจิตแพทย์เป็นการด่วน  ฟังดูแล้วน่าตกใจทีเดียว และเท่าที่ทราบก็คือ บรรดาหมู่หมอๆ ทั้งหลาย ต่างก็ยังไม่ได้ทำแบบทดสอบนี้กันครบ  อาจจะมีหมอหลายคนที่มีระดับความเครียดรุนแรงถึงรุนแรงมากเช่นกัน  ที่เป็นดังนี้เพราะงานการที่มากมาย และต้องอยู่เวรรับปรึกษาตลอดสามสิบวัน และครอบคลุมยี่สิบสี่ชั่วโมงนั้นมันหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาๆจะคงอยู่ได้โดยไม่สติแตกไปเสียก่อน  แน่นอนว่าคนทำงานเหล่านี้คงทำงานได้อยู่ ในหน้าที่ของตน  แต่จิตวิญญานและความสุข ความสงบในชีวิตได้สูญหายไปเรื่อยๆ   จากที่เคยใจเย็นและพูดจากันด้วยวาจาอันไพเราะก็จะกลายเป็นวิวาทะ และต่างคนต่างเพิ่มความทุกข์ให้แก่กัน  ไม่นับรวมถึงเรื่องชีวิตส่วนตัวซึ่งแน่นอนว่า คงไม่สงบง่ายดายไปเสียทุกอย่าง หลายคนมีปัญหาที่ต้องดูแลลูก ดูแลสามี ดูแลภรรยา ดูแลพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และหลายๆ คนต้องดูแลญาติที่กำลังเจ็บป่วย และหลายคนเพิ่งจะสูญเสียคนที่รักไป  ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวก็ล้วนแล้วมีแต่ทุกข์  ข้าพเจ้าว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้คนที่ทำงานด้านรักษาพยาบาลถูกแปรเปลี่ยนไปในทางที่ย่ำแย่และเศร้าหมองมากขึ้น แน่นอนว่าแต่ละคนยังทำงานของตนไปได้เรื่อยๆ แต่การทำงานจะกลายเป็นความทุกข์ และเกิดความเบื่อหน่ายเอามากๆเลยทีเดียว   แถมการที่ต้องดูแลคนป่วยไข้ ที่ล้วนแล้วแต่มีความทุกข์ทางกายและโยงไปถึงการมีทุกข์ทางใจมาด้วย ก็เป็นเหตุปัจจัยให้คนทำงานด้านนี้ทุกข์เท่าทวีคูณ  สิ่งเหล่านี้ได้แปรเปลี่ยนให้ผู้คนที่ทำงานด้านนี้กลายเป็นคนหงุดหงิดง่าย พูดจาไม่ไพเราะ และมีใบหน้าอมทุกข์ ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส และไม่มีความสุขในการทำงาน

ข้าพเจ้าว่าลักษณะแบบนี้จะมีในทุกที่  ในทุกโรงพยาบาล โดยเฉพาะในโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีคนไข้มากมายแต่ปริมาณหมอและพยาบาลไม่เพียงพอที่จะให้บริการอย่างดีเยี่ยมอย่างที่คนทั่วไปต้องการจะเห็น   มาถึงตรงนี้ก็ต้องกลับมายังคำถามเดิมว่า จะเอาคุณภาพหรือปริมาณ ??  เพราะถ้าจะให้ทำเต็มกำลังด้วยคุณภาพ แต่ปริมาณคนไข้ที่ยังมากมายเกินกำลังเจ้าหน้าที่ คุณภาพก็คงไม่ได้ดังหวัง 

ในช่วงเวลาดังกล่าว โชคดีที่โรงพยาบาลนี้ได้ตระหนักรู้อะไรบางอย่าง น้องหมอที่สนิทกันได้เริ่มสนใจในการปฎิบัติสมาธิภาวนา หลังจากเริ่มมองเห็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการทำงานอันมากมายของตน จนไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งอยู่เงียบๆ เพียงชั่วครู่   และด้วยการสนับสนุนและเห็นชอบของผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เห็นว่าควรสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่เข้าปฎิบัติธรรม  จึงมีโครงการส่งเจ้าหน้าที่ที่สนใจ ไปอมรมวิปัสสนากรรมฐานที่มูลนิธิศูนย์วิปัสสนาเชียงใหม่ ถึงสามรุ่น   หลายคนกลับมาแล้วได้แนวคิดใหม่เกี่ยวกับชีวิต  หลายคนเริ่มตื่นรู้   แต่หลายคนก็ยังวนเวียนอยู่ในทุกข์ และหาหนทางออกไม่ได้ 

 การจัดโครงการปฎิบัติธรรมนั้นมีมาเรื่อยๆ  และล่าสุดก็ได้เชิญครูตั้ม - วิจักขณ์ พานิช ไปนำภาวนาที่นั่นด้วย  การเติบโตของกลุ่มสังฆะที่สนใจในการภาวนาได้เริ่มต้นขึ้นในกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้  และเป็นที่น่าสนใจว่า พวกเขาไม่ได้แบ่งแยกกีดกัน ว่าจะเป็นสายไหนนิกายอะไร  หลายคนสนใจที่จะเรียนรู้และมุ่งหมายนำพระธรรมคำสอนมาใช้ในชีวิตประจำวัน  มาแก้ไขความทุกข์ที่เกิดขึ้น

ตอนที่รุ่นน้องซึ่งสนิทกันบอกว่า จะเชิญครูตั้มมานำภาวนาในแนวทางวัชรยานแก่เจ้าหน้าที่ที่นี่ ข้าพเจ้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า  จะมีผู้ติดอยู่ในแนวทางเถรวาทอย่างลึกซึ้งจนไม่อาจยอมรับคำสอนของสายอื่นใดอีก ซึ่งคงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับธรรมาจารย์มากทีเดียว  แต่โชคดี..พวกเขาส่วนใหญ่เปิดกว้างที่จะเรียนรู้ และได้ทราบภายหลังว่า ผู้ที่ไปภาวนากับครูตั้มต่างรู้สึกชื่นชมและยินดีที่ได้เรียนรู้ในแนวทางวัชรยาน และมองว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่น่าสนใจและควรจะเรียนรู้ไว้

หลังจากนั้นไม่นานก่อนที่ข้าพเจ้าจะย้ายมาทำงานที่นี่ ข้าพเจ้าก็เกริ่นกับหมอรุ่นน้องที่นี่ว่า ไหนๆก็เรียนรู้เรื่องวัชรยานแล้ว  น่าจะมาเรียนรู้แนวทางของเซนมหายาน แบบหมู่บ้านพลัมบ้าง เพราะแนวทางของหลวงปู่ติช คือการเจริญสติ และนำพุทธศาสนามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน มีหลักแห่งความเมตตาและการช่วยเหลือผู้คน ซึ่งข้าพเจ้ามองเห็นว่าเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่เหมาะสม ในกลุ่มคนที่ทำงานรับใช้คนเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งหลาย  รับใช้คนที่กำลังมีความทุกข์ 

ความงดงามของวีถีหมู่บ้านพลัม ก็คือ  แนวทางนี้ทำให้เราอ่อนโยนกับชีวิตและผู้คนมากขึ้น  แถมข้าพเจ้าชอบภาษาพูดแบบพลัมๆ  ซึ่งมักจะเป็นไปในแนวทางสร้างสรร และเป็นวาจาที่ไพเราะ ข้าพเจ้าเล่าแบบขำๆให้น้องๆฟังว่า เมื่อเราไปภาวนากับกลุ่มสังฆะแบบหมู่บ้านพลัม  เมื่อผู้จัดต้องการให้ผู้มาภาวนางดพูดหรือปิดวาจา  จะมีคำพูดเพราะๆว่า ขอเชื้อเชิญให้ญาติทางธรรมทุกท่าน เข้าสู่ความเงียบอันประเสริฐ   ซึ่งเป็นการเชื้อเชิญอย่างสุภาพ ที่ใครหลายๆคน เกิดความรู้สึกยินดี ที่จะยินยอมทำตาม ด้วยความเต็มใจ  ทั้งๆที่คำพูดดังกล่าวนั้น ในความหมายที่คล้ายๆกันก็คือ  ขอให้งดพูดนั่นเอง ..

คำสำคัญ (Tags): #มหายาน
หมายเลขบันทึก: 259959เขียนเมื่อ 8 พฤษภาคม 2009 14:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (7)

สวัสดีครับ

รู้สึกดีๆเมื่อได้อ่านเรื่องเล่านี้มากๆครับ

เป็นเรื่องเล่าที่ให้พลัง...

ขออนุโมทนาครับ

ธรรมรักษาครับ...^_^

พี่เข้ามาอ่านเสมอ แต่ไม่ค่อยได้แสดงความคิดเห็น นอกจากเก็บเกี่ยวสิ่งที่ดีงามไว้ในจิตใจบ้าง วันนี้เข้ามาเพื่อติดตามข่าวคราวและขอบคุณ

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่านี้ค่ะ

คือ...การบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความดี ความงาม และความสุข ดั่งการเยียวยา...กันและกัน

สิ่งสำคัญ...การเยียวยาไม่ใช่เรื่องปัจเจคบุคคล หากเป็นเรื่องของเราทั้งหมดและสรรพชีวิตทั้งหลาย รู้สึกชื่นชมต่อกิจกรรมนี้ค่ะ ตามอ่านตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วในอีกบันทึก ที่เดินภาวนาในยามเช้าค่ะ

จะติดตามอีกนะคะ... หากเราได้ถอดคุณค่าของบุคคลที่เข้าร่วมมาบันทึกเป็นเรื่องเล่าต้นแบบนี่จะดีและเกิดประโยชน์ต่อบุคคลอื่นมากเลยนะคะ ส่งผลไปสู่กระบวนการเกิดการเรียนรู้ภายในเกิดขึ้น

น้อง kmsabai

เสียดายจังที่เราไม่มีโอกาส ภาวนาด้วยกันในครั้งนี้

แต่อย่าลืมเรื่องนี้ ในโอกาสอันดี เราจะไปที่ถ้ำจักตอกกันอีกสักครั้ง

สวัสดีจ้าพี่เตือน

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ  หวังว่าช่วงหน้าหนาวคงได้มีโอกาสพบเจอกันแถวๆ เมืองปายสักครั้ง

 

สวัสดีค่ะคุณKa-Poom

ชอบ คำกล่าวนี้มากค่ะ

"สิ่งสำคัญ...การเยียวยาไม่ใช่เรื่องปัจเจคบุคคล หากเป็นเรื่องของเราทั้งหมดและสรรพชีวิตทั้งหลาย "

ขอบคุณที่เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยกันค่ะ  หลังจากนี้เราจะจัดให้มีการเสวนา ถึงเรื่องราวและสิ่งที่ได้รับหลังงานภาวนานี้ค่ะ คงจะมีเรื่องราว และเรื่องเล่าดีๆ มาแบ่งปันกัน

อ่านแล้วรู้สึกถึงการมีชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ขอบคุณที่แบ่งปันเรื่่องดีๆ ที่มีคุณค่าทางจิตใจมาให้ได้เรียนรู้กันค่ะ

อ่านบ่อย แต่ไม่ค่อย note ถึง

เอาไว้ update เรื่องการเมืองให้ฟังแทน ล่ะกัน

สวัสดีจ้าพี่ยาที่รัก ยินดีด้วยกับที่ทำงานที่ใหม่ ที่มีกัลยาณมิตรมากมาย

อ่านแล้วชื่นใจ แทน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท