การอบรมงานแนะแนว ที่โรงเรียนชะอำคุณหญิงเนื่องบุรี
ศึกษาดูผลงานอาจารย์ 3 และระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ที่ห้องเกียรติยศ
ขอบคุณครับสำหรับความรู้ดีๆ ที่แบ่งปัน อาหารอร่อย ของว่างอิ่มๆ และมิตรภาพที่ดีสม่ำเสมอตลอดมาครับ...
********************************************************************
ข้อพิจารณากำหนดการประเมินผลกิจกรรมแนะแนว (ความคิดของผม)
ตามระเบียบฯแล้ว การประเมินผลกิจกรรมแนะแนว มี 2 อย่าง คือ ผ่าน และ ไม่ผ่าน โดยมีเกณฑ์การพิจารณาคือ
1. มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กำหนด
2. ผ่านกิจกรรมที่สำคัญที่กำหนด
แต่หลักสูตรใหม่ ปี 2551 กำหนดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน มี 3 ส่วน คือ
1. กิจกรรมนักเรียน
2. กิจกรรมแนะแนว
3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์
ในส่วนของการประเมินผล กลับไม่มีการปรับปรุง ทั้งๆ ที่ผ่านมาการประเมินผลเกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ค่อนข้างจะมีข้อจุกจิกรวมทั้งลำดับความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนภายในโรงเรียนก็มักจะอยู่ในส่วนท้ายสุด(บางทีครูด้วยกันยังแซวกันเองว่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสาระฯ แต่เรียกว่า “กลุ่มไร้สาระ” )
ผู้สอนก็สอนวิชานี้มานานพอสมควร ใหม่ๆ ก็บอกว่ากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นการจัดกิจกรรม แต่ดูๆ ไปๆ มาๆ ตั้งหลายครั้ง หลายสำนักพิมพ์ หลายผู้รู้ ทั้งหนังสือ คู่มือ แม้กระทั่งเอกสารต่างๆ ในตอนนี้ ผมก็ว่า”เหมือนการเรียนการสอนเข้าไปทุกขณะแล้วนะครับ” แต่ไม่เป็นไร เพราะอย่างไงๆ ก็ต้องจัดให้นักเรียนอยู่ดี ขอมาว่าด้วยเรื่องการประเมินดีกว่า
ในส่วนของการประเมินฯ ขอสมมติว่าเหตุเป็นอย่างนี้แล้วกัน จะได้เข้าใจง่ายๆ หน่อย
เกณฑ์กิจกรรมแนะแนวชั้น ม.2 ของโรงเรียนดังเดิมวิทยา มีดังนี้
1. มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กำหนด 16 ชั่วโมง จาก 20 ชั่วโมง
2. ผ่านกิจกรรมที่สำคัญที่กำหนด 4 กิจกรรม จาก 6 กิจกรรม
ในส่วนของโรงเรียนก็แจ้งในคู่มือนักเรียน ในส่วนของครูทั้งแจ้ง เตือนในชั่วโมง
ปรากฏว่ามี นักเรียน 3 คน เข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว ดังนี้
เด็กชายกลม 1. มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม 15 ชั่วโมง
2. ผ่านกิจกรรมที่สำคัญที่กำหนด 3 กิจกรรม
เด็กชายกล่อม 1. มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม 14 ชั่วโมง
2. ผ่านกิจกรรมที่สำคัญที่กำหนด 2 กิจกรรม
เด็กชายเกลี้ยง 1. มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรม 13 ชั่วโมง
2. ผ่านกิจกรรมที่สำคัญที่กำหนด 1 กิจกรรม
ถ้าพิจารณาตามเกณฑ์ แน่นอน 3หนุ่ม 3 มุม “ไม่ผ่าน” ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ ผมขอถามว่า ถ้าท่านเป็น ”ครู” เกณฑ์การพิจารณาคงไม่อยู่เพียงแค่นี้ ท่านคงต้องพิจารณาหาสาเหตุหลายๆ อย่างประกอบกัน เช่น สนใจเรียนหรือเปล่า? วิชาอื่นๆ เป็นอย่างนี้ไหม? พฤติกรรมของเด็กเป็นอย่างไร ? ทำไมเด็กไม่เข้าร่วมกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กำหนด ? นิสัยหรือมารยาทเป็นอย่างไร ? ภาระทางบ้านมีมากน้อยแค่ไหน ? มีปัญหาด้านหนึ่งด้านใดหรือเปล่า ? ไม่ชอบครูแนะแนวใช่ไหม? ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้นี่แหละจะเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เป็นตัวชี้วัดว่า3หนุ่ม 3 มุมคนไหนที่ครู ให้ผ่านหรือไม่ผ่านต่อไป และขณะเดียวกันก็จะมีผลกระทบต่อไปข้างหน้า เมื่อนักเรียนได้ผลไปแล้วนักเรียนก็จะไปคุยกัน “อ๋อครูคนนี้ใจดี เข้าบ้างไม่เข้าบ้างก็ให้ผ่าน กลายเป็นผลเสียกับครูอีก
ครั้นจะว่าไปตามระเบียบ ก็จะมีเสียงตำหนิจากหลายๆ ฝ่าย “แหม๋.. นิดๆหน่อยๆ ก็ไปเด็กผ่านไปเถอะ ไม่ใช่วิชาวิทย์ คณิต ที่จะไปกวดขันมากมาย ไปใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ไม่ได้
บางทียังคิดในใจเลยว่า อย่างนี้ ต้องมีระดับการประเมินผลที่แตกต่างกัน เช่น
เข้าร่วมกิจกรรมหรือส่งใบงานครบ ให้เกณฑ์ “ ดีที่สุด “ครบทุกกิจกรรม
เข้าร่วมกิจกรรมหรือส่งใบงานครบเกณฑ์ครบ ให้เกณฑ์ “ ดีมาก “ครบตามเกณฑ์ที่กำหนด
เข้าร่วมกิจกรรมหรือส่งใบงาน 70 % ให้เกณฑ์ “ ดี “ครบงาน 70 %
เข้าร่วมกิจกรรมหรือส่งใบงาน 48 % ให้เกณฑ์ “ ไม่ผ่าน “
ผมว่าเข้าท่าดีนะ แถมตอบคำถามได้เยอะแยะเลย แก้ปัญหาได้หลายๆ ข้อ อย่าลืมนะครับว่า นักเรียนสมัยใหม่ พฤติกรรม ความคิด การแสดงออก ไม่เหมือนเดิม การปรับปรุงในระบบการวัดผลก็ควรจะปรับเปลี่ยนบ้างถ้าการปรับเปลี่ยนนั้นไม่ได้เสียหายอะไร แต่สามารถแก้และตอบข้อสงสัยได้ก็น่าจะมีการนำไปพิจารณาปรับแก้บ้าง หรือตกลง ครูแนะแนวควรทำอย่างไรดี ? ขอผู้รู้ช่วยหน่อยเจ้าข้าเอ้ย........
การแก้ผลการประเมินผลกิจกรรมแนะแนว
เนื่องจากในการจัดกิจกรรมแนะแนวเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนในชั้นเรียน จำเป็นต้องมีการประเมินผลและขณะเดียวกันก็ต้องมีผู้ผ่าน และ ไม่ผ่าน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาของระบบโรงเรียน นักเรียนที่ผ่าน ปัญหาไม่มี แต่นักเรียนที่ไม่ผ่าน ปัญหาเยอะแยะ คงไม่ต้องแจกแจง ผู้สอนต้องเข้าใจด้วยตนเอง โดยเฉพาะนักเรียนจะฉลาด พยายามมาแก้ตัวในกิจกรรมแนะแนวในช่วงเวลาสุดท้าย โดยหวังว่าครูจะใจอ่อน รีบๆ ให้ผ่าน เพราะเสียเวลาครู จากนั้นก็ประชาสัมพันธ์บอกกันต่อๆ ไป วิชานี้หมูๆ เดี๋ยวก็ผ่าน โดยไม่คิดว่าสาเหตุของการไม่ผ่านคืออะไร ใช้เวลาหรือใบงานหรือกิจกรรมเท่าไหร่ ครูคอยถาม ตักเตือน เรียกชื่อ ติดตามทวงใบงาน โดยมีเหตุผลสารพัดในการอ้างเพื่อไม่ส่งใบงาน ไม่เข้าร่วมกิจกรรมในช่วงนั้นๆ แต่พอไม่ผ่านและต้องดำเนินการแก้ตัวกลับต้องการความรวดเร็ว ความสะดวก ง่ายๆ โดยยกเหตุผลข้างๆ คูๆ ประกอบ ทั้งผู้ปกครอง นักเรียนต่างติดต่อรบเร้า อ้อนวอน กลัวเสียเวลา กลัวผลการเรียนตกต่ำ ทั้งๆ ที่ผ่านมา ครูดำเนินการแจ้งนักเรียนและผู้ปกครองเป็นระยะ ๆ กลับไม่สนใจ และชอบอ้างว่า ต้องประกอบอาชีพโดยลืมไปว่า นักเรียนมาโรงเรียนเพื่อเรียนและพัฒนาพฤติกรรม ไม่ใช่ปล่อยให้ครูแก้ไขเพียงฝ่ายเดียว เฮ้อ......บ่นไปมากหรือเปล่า กำลังจะเข้าเรื่องว่า แก้ตัวต้องทำอย่างไร ? เอาละครับ เข้าเรื่องเสียที
การแก้ตัวกิจกรรมแนะแนว เพื่อให้เป็นแบบแผนเดียวกันในการพัฒนาพฤติกรรม กำหนดไว้ดังนี้
1. กิจกรรมรู้ รัก เข้าใจตนเองและผู้อื่น เช่น รู้ว่าตัวเองขี้เกียจ ต้องทำ “กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ “
รักตนเอง ต้องทำ “กิจกรรมความสะอาด” ฯลฯ
2. กิจกรรมปรับตัวและการดำรงชีวิต เช่น การดำรงชีวิต ต้องทำ”กิจกรรมหารายได้ระหว่างเรียน”ฯ
3. กิจกรรมแสวงหาข้อมูลสารสนเทศ เช่น หาข้อมูล ต้องทำ”กิจกรรมแนวทางศึกษาต่อระดับสูง”ฯ
4. กิจกรรมอาชีพ เช่น “กิจกรรมอาชีพสำนักงาน “ “กิจกรรมอาชีพงานบริการ” ฯ
นักเรียนที่ไม่ผ่านกิจกรรมแนะแนว ควรมาศึกษาเรียนรู้ไว้ จะได้ไม่เสียเวลา และจะเกิดความเป็นธรรมในการจัดกิจกรรมแนะแนว ทั้งนักเรียนที่สนใจและนักเรียนที่ไม่สนใจจะได้เกิดความเสมอภาคกัน โดยครูก็ไม่เกิดความกังวลใจ เพราะแจ้งให้ทราบ รู้แล้ว แต่ประพฤติตนจนไม่ผ่านเอง ก็ต้องแก้ไขพฤติกรรมกันไปตามแบบแผน เพื่อเป็นกำลังใจให้คนขยันจะได้ไม่เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจหรือคิดว่า ยังไงก็ไม่สำคัญเท่าวิชาสามัญ แต่อย่าลืมว่า วิชาสามัญถึงจะเลิศเลอ หากขาดซึ่งความเข้าใจ ความแจ่มแจ้งในตนเอง หรือไม่มีทักษะในการปรับตัว อารมณ์ ย่อมอยู่ในสังคมลำบาก สุดท้ายก็กลายเป็นความบกพร่องในการดำรงชีวิตต่อไป เอวังก็มีด้วยประการดังนี้
ดีค่ะครู