จาก น้ำทะเล ถึง เตาถ่าน (กวี)


แต่เมื่อถามว่าเห็นใบไม้แห้งกำลังเตรียมตัวที่จะปรุงอาหารเลี้ยงต้นแม่บ้างไหม? เห็นแม่กำลังให้นมลูกไหม? เห็นลมอุ้มใบไม้ไหม? เห็นความโหดร้าย (ปลิดใบไม้จากต้น) และความรับผิดชอบ (อุ้มประคองใบไม้ค่อยๆ วางลงบนพื้นดิน) ของสายลมไหม? พวกเขาบางคนมีความรู้สึกงงๆ บางคนยิ้ม... ผมปล่อยให้คำตอบค้างคา ผมเชื่อว่าทุกคนจะค่อยๆ คิดได้ คิดเป็น ซึ่งนั่นเองจะเป็นเกียรติยศทางปัญญาที่พวกเขาจะได้รับจากความงอกงามภายในของการเรียนรู้แบบทุ่งสักอาศรม

จาก น้ำทะเล ถึง เตาถ่าน
ครูกานท์

การเดินทางทบเพิ่มดอกไม้ในรอยเท้าของนักเรียนกวีแห่งโรงเรียนกวีทุ่งสักอาศรม ดำเนินมาค่อนทางแล้ว นักเรียนกวีรุ่น ๔ ได้ผ่านการเรียนรู้การอ่าน การคิด การถอดรหัสปรัชญาชีวิตต่างๆ การใช้ชีวิตร่วมกัน ตื่นตีห้าท่องอาขยาน เดินจงกรม รดน้ำต้นไม้ หุงข้าว ล้างจาน กวาดถูอาศรม ทัศนศึกษาโบราณสถาน ห่อข้าวไปกินกลางป่า ร่วมทำบุญสงกรานต์กับชาวบ้าน ร่วมฟังและร้องเพลงพวงมาลัย เพลงเหย่อย กับพ่อเพลงพื้นบ้านตัวจริง ร่วมประเพณีรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ เที่ยวทุ่งอ่านบทกวี ฟังเพลง ดูหนัง (เพื่อการเสวนาขบคิด) และร่วมเรียนรู้กับวิทยากรหลากสาขาวิชาชีวิต ฯลฯ

เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายน ๒๕๕๒ เป็นเช้าที่นักเรียนกวีทุ่งสักอาศรมตื่นขึ้นตอนตีห้า ท่องอาขยานเหมือนเช่นทุกเช้า แต่หลังจากนั้นมิได้เดินจงกรมเหมือนที่เคยปฏิบัติ ผมนำพาพวกเขาให้มานั่งรับอรุณที่ลานทรายในดงสัก ชวนกันอ่านธรรมชาติ เริ่มจากนั่งสงบสมาธิฟังเสียงนก แมลง และสรรพเสียงต่างๆ รอบปริมณฑลของโสตสัมผัสรับรู้ ให้เวลากับการฟัง...น้อมนำสู่การฟังเสียงของจิตวิญญาณและเสียงของความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ชวนกันแสดงความรู้สึกรับรู้จากการเรียนรู้สภาวะ

จากนั้นผมได้เด็ดใบไม้สดใบหนึ่งขึ้นมาถือไว้ในมือแล้วปล่อยให้ร่วงลอยลงไปตามแรงลมเช้า ถามพวกเขาว่าเห็นอะไรนอกจากสิ่งที่ตามองเห็นบ้าง แล้วหยิบใบไม้แห้งอีกใบหนึ่งมากระทำกิริยาการและตั้งคำถามดุจเดียวกัน ได้คำตอบที่ค่อยๆ ประคับประคองให้พวกเขาเดินทางทางความคิดอ่านตามสมควร เช่น เห็นแรงลม เห็นการเคลื่อนที่ของอากาศ เห็นแรงโน้มถ่วงของโลก เห็นน้ำหนักของใบไม้ที่แตกต่างกัน 


แต่เมื่อถามว่าเห็นใบไม้แห้งกำลังเตรียมตัวที่จะปรุงอาหารเลี้ยงต้นแม่บ้างไหม? เห็นแม่กำลังให้นมลูกไหม? เห็นลมอุ้มใบไม้ไหม? เห็นความโหดร้าย (ปลิดใบไม้จากต้น) และความรับผิดชอบ (อุ้มประคองใบไม้ค่อยๆ วางลงบนพื้นดิน) ของสายลมไหม? พวกเขาบางคนมีความรู้สึกงงๆ บางคนยิ้ม... ผมปล่อยให้คำตอบค้างคา ผมเชื่อว่าทุกคนจะค่อยๆ คิดได้ คิดเป็น ซึ่งนั่นเองจะเป็นเกียรติยศทางปัญญาที่พวกเขาจะได้รับจากความงอกงามภายในของการเรียนรู้แบบทุ่งสักอาศรม

ถามพวกเขาต่อไปอีกว่า เห็นน้ำทะเลกำลังเดินทางไหม...น้ำทะเลที่ลอยตัวเริงรำระบำแดดขึ้นไปเป็นหมอกไอความชื้น ถักทอก่อตัวเป็นเมฆผองน้องพี่ เดินทางท่องเที่ยวทั่วฟ้านภากาศเพื่อเลือกหาทำเลรักพักหยาดริน แล้วประดู่ สะเดา สัก และมิ่งมวลพฤกษา ก็เอิบอาบโคนราก ได้สุขเกษมกับการดื่มกินเลือดเนื้อแม่มหาชลาลัยนั้น จนผลิใบอ่อน ซ้อนแก่ตามวิถี กระทั่งวันหนึ่งทุกใบก็ถึงกาลทยอยเสื่อมสิ้นอายุขัย กรอบแดงแห้งระเหยส่งคืนละอองไอไปกับแดดลม ลิ่วลอยกลับสู่ท้องทะเล...เธอเห็นไหม ใครเห็นบ้าง...? นี่คือการอ่าน...การอ่านอย่างมีจินตนาการเชื่อมโยง การอ่านชีวิตและเขียนชีวิตก็ดุจเดียวกัน...

จากนั้นให้นักเรียนกวีแต่ละคน เขียนบันทึกสั้นๆ จากความบันดาลใจอันเกิดจากการเรียนรู้ (นำบางบทบันทึกนั้นมาให้อ่านกันในโพสนี้แล้วครับ...)

ครั้นแดดร่มลมตกเย็นนั้น เป็นกิจกรรมเผาถ่าน เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบวิถีชาวบ้าน งานนี้ “แม่พราม” ของเด็กๆ โรงเรียนกวีเป็นครูใหญ่ ฝึกให้นักเรียนกวีปฏิบัติการเป็นขั้นตอน เริ่มจากเตรียมเตา วางฟืน หมกฟืน กลบเตา แล้วจุดจ่อไฟที่เชื้อฟืนปากเตา กระทั่งไฟลุกไหม้กินฟืนลามลึกเข้าไปจนเชื่อได้ว่าจะระอุคุทั่วเตาได้แน่นอน จึงช่วยกันกลบปิดปากเตา เตาที่ถูกกลบปิดด้วยใบไม้ เศษผง และดินทับซ้อนกันแต่พอดี พอเปิดโอกาสให้ควันไฟภายในเตาเล็ดลอดออกมาได้ตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้าง ก็เป็นอันเสร็จภารกิจช่วงแรกของการเผาถ่าน

ขณะทุกคนยืนมองภาพของควันไฟที่ลอยอ้อยอิ่งขึ้นจากเตา ผมบอกให้นักเรียนลองคิดเชื่อมโยงกับการเดินทางของน้ำทะเลอีกมิติหนึ่ง และต้องไม่ลืมคำนึงถึงภาวะเรือนกระจกของโลกด้วย หลายคนยิ้ม เข้าใจบริบทแวดล้อม ธรรมชาติ และดุลภาพของชีวิตมากขึ้น

จากนั้นครูใหญ่ข้างเตาก็บอกแก่นักเรียนกวีว่า เราจะต้องคอยหมั่นเดินเยี่ยมเตาว่ามีจุดรั่วให้เปลวไฟโผล่แพลมขึ้นมาตรงไหนบ้างหรือเปล่า ถ้าพบจะต้องกลบทันที ยอมให้มีได้เพียง “ควัน” เท่านั้นที่โผล่พ้นออกมา รอจนถึงรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่ง หรือจนเตาสิ้นควันสนิทดีแล้ว จึงค่อยคุ้ยเตาเอาถ่านขึ้นมาดับด้วยน้ำ ตากไว้ให้แห้ง แล้วก็เก็บใส่กระสอบไว้เป็นถ่านหุงข้าวต่อไป...


หมายเลขบันทึก: 257381เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2009 19:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:39 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (14)

กลับบ้านคราวนี้...มีของฝากแม่

บอกอย่างแน่วแน่...ลูกแม่เอาถ่าน

.....

กราบสวัสดีค่ะครู

   ชอบบทจบของน้องๆจังค่ะ

   เป็นความรู้สึกเดียวกับที่หนูได้รับ

   หลังกลับจากทุ่งสักอาศรม

   กับการอบรมตลอด 5 วัน 5 คืน

    (ถึงแม้จะไม่ได้เผาถ่าน...)

   มีหลายสิ่งที่หนูไม่เคยทำแล้วได้ทำ

   เป็นการอ่านชีวิต  เขียนชีวิต  อีกรูปแบบที่หนูได้พบ

   ขอบพระคุณครู...สำหรับหนึ่งบทเรียนชีวิต

   เพื่อต่อเติมชีวิตบทต่อๆไปค่ะ....

                      ...ด้วยความเคารพ..

                         ...ครูตุกแกค่ะ...

                                ^_^

กราบสวัสดีครูค่ะ..

หนูเข้ามาร่วมเรียนรู้ชีวิต อ่านชีวิตกับน้องๆกวีน้อยด้วยค่ะ 

เหมือนได้ร่วมสัมผัสกับทุกสิ่งอย่างกับพวกน้องๆด้วยเลยทีเดียว

ครูทำให้หนูมองชีวิตละเอียดขึ้น  คิดละเอียดขึ้น ไม่เฉพาะเพียงผิวเผินเท่านั้น   ฝึกมองจากภายนอกสู่ภายใน

เหมือนที่ครูบอกว่า..เป็นเกียรติยศแห่งปัญญาของแต่ละคน  ที่งอกงามขึ้นจากการเรียนรู้ อ่านชีวิตเขียนชีวิต

ตอนแรกหนูก็ยังไม่เข้าใจคำว่า "กินครูเป็นอาหาร"  ณ เวลานี้หนูเริ่มเข้าใจแล้วค่ะ  ทุกอย่างเป็นครู.. เหมือนที่ครูบอก ครูย้ำ  ขยันหาขยันกิน

เมื่ออ่านเรื่องราวรอบแรกหนูเข้าใจถึงกระบวนการเผาถ่านตามวิถีของชาวบ้าน   เมื่ออ่านอีกสองรอบสองหนทำให้หนูถึงทราบหนทางการเรียนรู้ของครู ครูมองถึงน้ำทะเล  ความรับผิดชอบของสายลม ความเอื้ออาทรที่เป็นความสมดุลของธรรมชาติ เพื่อการดำรงชีวิตอย่างสันติ   เป็นการเชื่อมโยงที่งดงามที่สุดค่ะ  

ยิ่งเมื่อได้อ่านบทกวีของน้องจ๊ะเอ๋..ทำให้มองเห็นภาพการอ่านชีวิตเขียนชีวิต ณ ทุ่งสักได้ชัดขึ้นค่ะ..และหนูก็ชอบบทสรุปของเธอเหมือนครูตุ๊กแกค่ะ..เหมือนสัญญาใจเลยนะคะ..นี่ใช่ไหมคะ เกียรติยศทางปัญญา..ที่ครูพูด

หนูกราบขอบพระคุณครูมากค่ะสำหรับบทชีวิตที่มีให้หนูและเพื่อนๆได้อ่าน

  

 

 

ขอบคุณแรงใจจาก ครูตุ๊กแก และ ศน.อ้วน

จะได้นำแรงใจเหล่านี้ไปเล่าบอกแก่เด็กๆ นักเรียนกวีทุกคนครับ

...

อย่าลืมแวะ (ย้อนโพสก่อนหน้านี้) ไปเล่น "กลอนจอหงวน" ด้วยนะครับ

 

บุญรักษา...อายุบวร

ครูกานท์

 

ดีจังนะคะ  ห้องเรียนธรรมชาติ

แวะมาทักทายค่ะ

การเดินทางทบเพิ่มดอกไม้ในรอยเท้าของนักเรียน

มีความสุขในทุกๆวัน นะคะ

ขอบคุณค่ะ

 

อ่าโช๊ะ!!!

กลับบ้านคราวนี้ มีของฝากแม่

บอกอย่างแน่วแน่ ลูกแม่เอาถ่าน

โดนครับพี่น้องครับ

น้อง ๆ เค้าแต่งกันได้ดีมากเลยค่ะครูกานท์

ว่าแต่ว่า กลอนแบบนี้เค้าเรียกว่ากลอนอะไรคะ

เหมือนคุ้น ๆ ว่าตอนที่อยู่ทุ่งสัก ครูกานท์เคยสอน

คล้าย ๆ กลอนหัวเดียวเลยค่ะ

แต่คำสุดท้ายเหมือนจะไม่ใช่คำเพียงแค่คำเดียว

ครูกานท์สบายดีนะคะ

ตอนอยู่ทุ่งสัก ไม่ได้เผาถ่าน

แต่ได้จุดเตาทำกับข้าว อารมณ์จะคล้าย ๆ กันไหมคะ

แหะ ๆ

เดี๋ยวแยมจะลองแต่งกลอนแบบนี้ดูบ้าง

เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเอามาโพสต์นะคะ

ครูกานท์สู้ ๆ

คนึงนิตย์ (ครูดอย)

กราบสวัสดีครูกานท์ที่เคารพรัก และทุ่งสักอาศรมที่คิดถึง...

ผ่านไป จะครบ 30 วันที่น้องๆได้เรียนรู้ชีวิต จากการมองธรรมชาติ รอบตัว หนูคิดว่า น้องๆโชคดีกว่าหนูมาก ทั้งเรื่องของการเดินทาง และประสบการณ์ที่ได้รับ กลับบ้านไปคราวนี้สังคมเราคงมีคนดีๆที่จะไปต่อเติมความงดงามของสังคมเพิ่มขึ้นอีกแน่นอน...

หนูอยู่ที่นี่ ธรรมชาติดีมากๆ อากาศดี แต่บางครั้งก็ไม่ค่อยได้ดื่มดำและสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้เลย...กลับมองมันเป็นความเหงา ความเหงาที่ทำให้คิดถึงบ้านมากกว่า...

แต่ในวันนี้ หนุรู้แล้วว่าในมุมที่เรามองเพียงด้านเดียวนั้น..มันมีความแตกต่างและน่าค้นหาซ่อนอยู่ข้างใน...เหมือนใบไม้ที่ครูสอนให้น้องๆพินิจพิเคราะห์มัน...หนุอ่านเรื่องใบไม้ ทำให้รู้สึกสะเทือนใจ..วันนี้เป็นวันสุดท้ายของคุณตา จะเหลือเพียงเถ้ากระดูกที่ลูกๆหลานๆได้เก็บมาไว้บูชาเท่านั้นเอง ชีวิตคนเราก็ไม่ต่างอะไรจากใบไม้เลย เกิดจากดินแล้วก็ต้องกลับสู่อ้อมอกของดินเช่นเดิม...

อายุบวร อ.แยม

ที่ สิริพร เธอเขียนคือ กาพย์เต้นกำ ๑๖ (เป็นกาพย์ที่ครูกานท์คิดประดิษฐ์ประยุกต์ขึ้นจากเพลงกลอนหัวเดียวของชาวบ้าน อยู่ในชุดกาพย์หัวเดียว "เสียงปลุกยามค่ำคืน" และ "ข้าวเม่ารางไฟ" ครับ)

อ.แยม เขียนเสร็จหรือยังล่ะครับ

ขอแสดงความเสียใจกับ อ.คนึงนิตย์ (ครูดอย) ที่สูญเสียคุณตาอันเป็นที่รักด้วยครับ 

ความพลัดพรากจากร้างใช่จากรัก

รักสลักแนบขวัญนิรันดร์ถนอม

อาบและอุ่นละมุนใจไว้อวลออม

เพื่อจะพร้อมผลิช่อรักต่อเติม

....

 

คนึงนิตย์ (ครูดอย)

กราบสวัสดีครูกานท์ที่เคารพรักและทุ่งสักที่คิดถึง

เสร็จจากงานของคุณตาแล้ว วันนี้ก็ได้นั่งพัก ว่าจะเขียนจดหมายถึงครู ก็ยังไม่ได้เขียนเลยค่ะ แต่หนูต้องส่งไปแน่ เพราะว่าต้องเอาผลงานการเขียนให้ครูได้แนะนำติชม จะได้เอาไปปรับปรุงต่อไป ขอขอบพระคุณครูมากนะคะ ที่มอบกลอนให้กำลังใจ คุณตาท่านก็คงไปอยู่ในที่ที่สุขสบาย ไม่ทุกข์ทรมานเหมือนตอนที่ท่านเผชิญกับโรคที่เป็น หนูเชื่อว่าคุณตาคงพักผ่อนอย่างมีความสุขแน่นอน เพราะท่านเป็นคนดี วันนั้จะสวดมนต์ให้ท่านอีกค่ะ

ลองแต่งมาแล้วค่า ครูกานท์

แต่ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไรเลย เลยเอาบทนี้มาฝากก่อน

ยังไงครูกานท์ช่วยคอมเม้นท์ให้ด้วยนะคะ

นั่งอ่านนั่งเขียนนั่งเรียนชีวิต

ฝึกค้นฝึกคิดด้วยจิตด้วยใจ

ทุ่งสักอาศรมอบรมบ่มรัก

ค่อยฟูมค่อยฟักรักเต็มความหมาย

แดดร้อนลมแล้งน้ำแห้งเหือดดิน

ร้อนจนแทบดิ้นแต่ก็ผ่อนคลาย

ผ่อนหนักผ่อนเบาผ่อนหนาวผ่อนร้อน

ละเอียดละอ่อนนี่สิเป้าหมาย

ทุกบททุกภาคทุกฉากทุกตอน

ค่อยเรียนค่อยสอนค่อยป้อนเข้าไป

ความคิดความอ่านงานการวาดฝัน

ฉันจะมุ่งมั่นให้ถึงจุดหมาย

ทุ่งสักสอนครูคุณครูสอนคน

ยากดีมีจนต้องเรียนทุกราย

ความรู้คู่ขวัญประกันคุณภาพ

เป็นทรัพย์เป็นลาภติดตัวจนตาย

เรียนรู้เรียนรักเรียนหลักเรียนเสริม

เรียนมันทุกเทอมก็ยังไม่หน่าย

เพราะรักจะเรียนเพราะเพียรจะรู้

ก็ฉันเป็นครูสอนคนทั้งหลาย

กระตือรือร้นคอยค้นคอยหา

เพิ่มเติมปัญญาตำรามากมาย

เอาล่ะศิษย์ครูจะรู้วิชา

ร่ำเรียนภาษาสัญญามั่นหมาย

วิชาชีวิตพิชิตความเขลา

เรียนเถอะพวกเรา สู้สู้ สู้ตาย

สู้ตายค่ะ ครูกานท์

เดี๋ยวแยมจะฝึกแต่งเรื่อย ๆ และนำมาให้ครูอ่านบ่อย ๆ นะคะ

บุญรักษาครับ อ.คนึงนิตย์ และ คุณแสงแห่งความดี

สำหรับ อ.แยม ไม่ธรรมดาเลยนะฝีมือ "กลอนหัวเดียว"

"นั่งอ่านนั่งเขียนนั่งเรียนชีวิต
ฝึกค้นฝึกคิดด้วยจิตด้วยใจ
ทุ่งสักอาศรมอบรมบ่มรัก
ค่อยฟูมค่อยฟักรักเต็มความหมาย
แดดร้อนลมแล้งน้ำแห้งเหือดดิน
ร้อนจนแทบดิ้นแต่ก็ผ่อนคลาย
ผ่อนหนักผ่อนเบาผ่อนหนาวผ่อนร้อน
ละเอียดละอ่อนนี่สิเป้าหมาย
ทุกบททุกภาคทุกฉากทุกตอน
ค่อยเรียนค่อยสอนค่อยป้อนเข้าไป
ความคิดความอ่านงานการวาดฝัน
ฉันจะมุ่งมั่นให้ถึงจุดหมาย
ทุ่งสักสอนครูคุณครูสอนคน
ยากดีมีจนต้องเรียนทุกราย
ความรู้คู่ขวัญประกันคุณภาพ
เป็นทรัพย์เป็นลาภติดตัวจนตาย
เรียนรู้เรียนรักเรียนหลักเรียนเสริม
เรียนมันทุกเทอมก็ยังไม่หน่าย
เพราะรักจะเรียนเพราะเพียรจะรู้
ก็ฉันเป็นครูสอนคนทั้งหลาย
กระตือรือร้นคอยค้นคอยหา
เพิ่มเติมปัญญาตำรามากมาย
เอาล่ะศิษย์ครูจะรู้วิชา
ร่ำเรียนภาษาสัญญามั่นหมาย
วิชาชีวิตพิชิตความเขลา
เรียนเถอะพวกเรา สู้สู้ สู้ตาย"

ถ้าจะไม่เหมาะก็ตรงวรรคสุดท้ายนั่นแหละ ครูกานท์ ขอ "สู้เป็น" นะครับ...
 
 

กราบสวัสดีครูกานท์ที่เคารพรักและทุ่งสักที่คิดถึง

ไม่ได้แวะมาทักทายเสียหลายวัน ครูสบายดีหรือเปล่าคะ หนูส่งผลงานการเขียนที่ไม่ค่อยเอาเรื่องเท่าไหร่มาให้ครู แต่ไม่รู้ว่าครูได้รับหรือยัง หนูต้องกราบขอโทษครูด้วยนะคะที่ไม่ได้ส่งซองติดแสตมป์มาให้ เพราะหนูรีบมากเลย หากครูจะติชมลงในเว)นี้ก็ได้ค่ะ เพราะจะได้ไม่เปลืองค่าส่งจดหมาย บางทีผู้อื่นอาจจะอยากมาติชมผลงานที่ไม่ค่อยเอาเรื่องก้ได้ แต่ถ้าครูจะติชมเป็นการส่วนตัวก็ได้นะคะ ที่เมลล์นี้ค่ะ [email protected] จักขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยค่ะ

สุดท้ายนี้ขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ครูกานท์และครอบครัวจงมีแต่วามสุขและปราศจากโรคภัยทั้งปวง

รักและคิดถึงเสมอ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท