คิดเรื่องงาน (41) : บนหลังเสือ


ตัวเราเองยังคงติดยึดกับสถานะเดิมๆ ...และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนที่กำลังนั่งอยู่บนหลังเสือ และเสือตัวนั้นก็กำลังวิ่งด้วยความเร็ว จนยากที่จะกระโจนลงมาได้

ในโลกนี้มีอะไรจีรังยั่งยืนบ้าง
ขึ้นหลังเสือได้ ก็ต้องฉลาดพอที่จะลงจากหลังเสือ..

 

          นั่นคือส่วนหนึ่งของการสนทนาระหว่างผมกับเจ้าหน้าที่ในไม่กี่วันที่ผ่านมา 

          เราคุยกันนานมาก  นานเสียจนไม่รู้เลยว่า พระอาทิตย์ลับฟ้าไปตั้งแต่เมื่อไหร่  รู้สึกตัวอีกที  ละครหลังข่าวก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นพอดี

          เรื่องหลักๆ ที่เราพูดคุยกันนั้น  เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงขององค์กร อันเกิดจากการที่ผมและผู้บริหารเข้ามามีส่วนต่อการกำกับดูแลภายใต้โครงสร้างใหม่

          เจ้าหน้าที่ได้บอกเล่าให้ผมฟังว่า  ตอนนี้เจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดเริ่มเข้าใจในแนวทางที่ผมกำลังปรับแต่ง  และเห็นด้วยกับแนวทางใหม่ๆ ที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นเรื่องท้าทายและน่าจะเกิดประโยชน์ต่อนิสิตและเจ้าหน้าที่มากกว่าที่ผ่านมา

          อันที่จริง ต้องบอกตามตรงว่า  ผมเพิ่งปรับแต่งโครงสร้างใหม่ได้ไม่นาน  ผมใช้เวลาร่วมสามเดือนเต็มๆ กับการเรียนรู้อย่างค่อยเป็นค่อยไป 

หลายอย่างใช้วิธีโยนหินถามทาง
         ขณะที่หลายอย่างยังคงปล่อยให้เจ้าหน้าที่ดำเนินไปตามกรอบแนวทางเดิมๆ โดยไม่ให้รู้สึกว่า
ต้องผ่าตัดอย่างเร่งด่วน 

แต่เท่าที่ผมสัมผัสได้ หลายสิ่งหลายอย่างก็ถือว่าเข้าร่องเข้ารอยอยู่แล้ว  ขาดก็แต่เพียงกระบวนการมีส่วนร่วมของการเป็น ทีม เท่านั้นเอง

          ประเด็นที่น่าสนใจที่เจ้าหน้าที่เปิดเปลือยเล่าให้ผมฟังก็คือ ..มูลเหตุที่ทำให้งานบางอย่างยังลุ่มๆ ลอนๆ  ติดๆ ขัดๆ  หรือแม้แต่ส่ออาการ ถอยหลัง  ไปจากมาตรฐานเดิม

          ซึ่งสาเหตุหลักๆ ที่ถูกยกขึ้นมาให้ถกคิดมากที่สุดก็คือ  การติดยึด กับสถานะเดิมๆ ที่เคยมีบทบาทเกี่ยวกับการชี้เป็นชี้ตายในองค์กร ..

 

ครับ-ผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ  เพราะโดยปกติแล้ว  คนเราย่อมไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่นักหรอก  โดยเฉพาะในวิถีการงานนั้น หากจุดที่เป็นอยู่นั้นมีสถานะและสวัสดิการที่เอื้อต่อการดำเนินชีวิต คนเราก็ย่อมรู้สึกปฏิเสธต่อสถานะใหม่ที่แปรเปลี่ยนไปในทางที่ลดน้อยถอยลงไปจากเดิม

          เกี่ยวกับเรื่องนี้  ผมยังเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้เหน้าที่ท่านนั้นฟังแบบไม่บิดเบือนต่อไปในทำนองว่า  ผมเองก็มักถูกสับเปลี่ยนไปสู่การงานต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง  โดยเฉพาะหากต้องมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้น  ผมมักจะถูกมอบหมายให้ไปนำร่องสักระยะ 

พอทุกอย่างเริ่ม นิ่ง  ผมก็จะถูก ปลดแอก

          หรือบ่อยครั้ง ผมก็เลือกที่จะปลดแอกนั้นด้วยตัวเอง เพื่อขยับให้คนอื่นขยับเข้ามาแทนที่ ซึ่งนั่นก็หมายถึงการส่ง โอกาส ให้กับคนอื่นได้เติบโตขึ้นมาอยู่ในจุดที่เราเคยอยู่

          ซึ่งกรณีดังกล่าว  ในระยะแรกๆ ผมรู้สึกปฏิเสธกับกระบวนการเช่นนี้มาก  ผมไม่ชอบกับการถูกมอบหมายในทำนองนั้น  ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่าเราไม่ชอบ  เราอยากทำงานในจุดๆ เดิม  เรากำลังสนุกกับงาน  งานที่ทำยังมีอะไรให้สะสางและสานต่อค่อนข้างมาก

          รวมถึงการหวาดหวั่นต่องานใหม่ที่เราไม่อาจรู้เลยว่า มีอะไรรออยู่เบื้องหน้าบ้าง 

บนเส้นทางใหม่นั้น  ผมไม่รู้เลยว่าจะออกหัวออกก้อย  จึงได้แต่แสดงความรู้สึกว่า ไม่ชอบ

          โดยลึกๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า  ตัวเราเองยังคงติดยึดกับสถานะเดิมๆ ...และรู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนที่กำลังนั่งอยู่บนหลังเสือ  และเสือตัวนั้นก็กำลังวิ่งด้วยความเร็ว  จนยากที่จะกระโจนลงมาได้

          แต่สุดท้าย เวลาก็ช่วยให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี  ผมเริ่มเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่เกิดจากการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ  ทุกอย่างเป็นต้นทุนที่ดีสำหรับชีวิตและการงาน

          และที่สำคัญก็คือ เราสามารถบังคับให้เสือวิ่งเร็ววิ่งช้า หรือแม้แต่หยุดนิ่งเพื่อให้เราลงมาเดินเล่นได้  ...

          ทุกอย่างมันอยู่ที่เรา...

          ทุกอย่างมันอยู่ที่ ใจ ใจของเราคือตัวกำหนดวิถีเหล่านั้น  ขอเพียงค้นพบและไม่ติดยึด  เราก็สามารถที่จะก้าวลงมาใช้ชีวิตในอีกสถานะหนึ่งอันเป็นสถานะใหม่ได้อย่างมีความสุข  โดยไม่รู้สึก สูญเสีย  หรือไม่รู้สึกว่าบางสิ่งบางอย่าง ถูกแย่งไปจากชีวิต

          ด้วยเหตุดังกล่าวนั้น  ในประวัติการทำงานของผม  จึงมักปรากฏว่าเคยทำโน่นทำนี่มาอย่างหลากหลาย  จนดูราวกับไม่อยู่กับร่องกับรอย  ถูกโยกสับเปลี่ยนไปประหนึ่งว่าเป็นคนประเภทสังคม ไม่พึงใจ

          ทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย  หรือแม้แต่ในความเป็นจริง  ส่วนหนึ่งผมก็พึงใจที่จะถอดวางหัวโขนนั้นๆ ด้วยตัวเอง

หรือเลือกที่จะลงจากหลังเสือนั้นด้วยตนเอง  โดยไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสั่งการว่า ถึงเวลาแล้วนะ

 

อย่างไรก็ตาม  ตลอดการพูดคุยกันนั้น  ผมยังคงเน้นย้ำถึงประเด็นที่ว่า  คนเราต้องไม่ยึดติดกับตำแหน่ง  วันนี้เป็นหัวหน้า วันหน้าก็ย่อมเป็นลูกน้องได้      

          ซึ่งสถานะนั้น  อาจเป็นไปตามครรลองของมันเอง หรือเป็นไปตามวิถีการบริหารที่มีเงื่อนไขทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวพัน  แต่ไม่ว่าด้วยวิธีการใด  ผมก็ยังย้ำว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจต่อการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ โดยไม่คิดว่าสิ่งนั้น หรือสถานะนั้นเป็นของเรา 

หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เราต้องไม่พยายามเกี่ยวเกาะสถานะนั้นให้ยาวนานที่สุด โดยไม่ยอมลืมหูลืมตาวิเคราะห์ถึงสภาวะ หรือสถานการณ์ที่เป็นจริงของชีวิต ณ ห้วงนั้นๆ

... ทุกอย่างมีขึ้น มีลง 

...ในโลกใบนี้ไม่เคยมีอะไรจีรังยั่งยืน  สูงสุดย่อมคืนกลับสู่สามัญสักวันหนึ่งอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง

 

และท้ายที่สุด ผมได้หยิบประเด็นที่มีคนกล่าวไว้อย่างกว้างขวางมาแลกเปลี่ยนว่า คนจะดีหรือไม่ดี วัดกันตอนมีอำนาจ   โดยที่ผมยืนยันว่าเห็นพ้องกับวาทกรรมนั้น หากแต่ย้ำหนักเข้าไปว่า ...จะให้ดีต้องดูกันตอนที่ไม่มีอำนาจด้วย  เพราะหากในวันหนึ่งที่ไม่มีสถานะอันมีอำนาจแล้ว  หากยังเต็มไปด้วยคนรัก คนเอ็นดู  ก็ถือว่าเป็นคนดีที่ควรค่าต่อการน้อมเคารพ

          แต่หากในยามไม่มีอำนาจแล้ว แต่กลับต้องเดินดุ่มๆ ไปอย่างเดียวดาย ไม่มีเพื่อนพ้องน้องพี่มามะรุมมะตุ้ม -ก็ย่อมถือได้ว่าเป็นตัวชี้วัดความดีของคนได้เหมือนกัน

          ดังนั้น  ผมจึงสรุปเอาง่ายๆ ว่า สำหรับหลายๆ คนในองค์กรที่ถูกปรับแต่งบทบาทใหม่นั้น  ช่วงนี้จึงถือว่าคืนกลับสู่สามัญอีกครั้ง 

          หากยังทำใจต่อสถานะใหม่ที่ดูต่างไปจากเดิมไม่ได้  ก็คงยากยิ่งต่อการที่จะคืนกลับไปสู่สถานะเดิมนั้นอีกรอบ...

          และคงต้องตระหนักว่า  ในยามที่เป็นคนธรรมดาๆ ไม่มีตำแหน่งในทางบริหารเช่นนี้ ก็ยิ่งเป็นช่วงสำคัญที่จะพิสูจน์ความดีของตัวเอง...

          สำหรับผมแล้ว, ผมมา ที่นี่ เพียงชั่วคราวเท่านั้น

          แต่สำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่  ในไม่ช้าต้องมีสักคนขึ้นมาอยู่ ณ จุดที่ผมกำลังอยู่ในวันนี้อย่างแน่นอน 

ซึ่งผมให้สัญญาว่า  จะให้กำลังใจ และให้โอกาสกับทุกคนอย่างเท่าเทียม  รวมถึงการไม่เลือกที่รักมักที่ชังกับใครเป็นกรณีพิเศษ

ขอเพียงวันนี้ หรือวันข้างหน้าก็ตามเถอะ....
          หากใครก็ตามที่ก้าวไปสู่จุดนั้น  แล้วรู้สึกว่าตัวเองกำลังนั่งอยู่บนหลังเสือ  ก็หวังแต่เพียงว่า  จะฉลาดพอที่จะลงจากหลังเสือบ้าง...

          เพราะในโลกนี้ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

          ทุกอย่างมีขึ้น มีลง...

          อย่ายึดติด...
         

เพราะที่สำคัญ  ชีวิตบนหลังเสือ ที่ว่า สนุกๆ นั้น  มันก็คนละเรื่องกันกับ ความสุข ของชีวิตเลยทีเดียวล่ะ

                   

 

         

 

         

หมายเลขบันทึก: 257188เขียนเมื่อ 25 เมษายน 2009 06:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤษภาคม 2012 13:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (12)

สวัสดีค่ะ

  • ขอขอบคุณกับบทความ..ที่มีคุณค่า
  • ทุกคนอ่านได้  ไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์มหาลัยเท่านั้นนะคะ
  • ชอบสำนวนที่ว่า "มาที่นี่ชั่วคราว"และ "ขึ้นหลังเสือได้ต้องหาวิธีการลงจากหลังเสือให้ได้"
  • ทำหน้าที่ในปัจจุบันให้ดีและไม่ยึดติด..เห็นด้วยค่ะ
  • วันนี้ไม่ไปสวนป่าหรือคะ
  • ฝากความคิดถึงคุณแดนไทยและหนุ่มน้อยอลวลทั้งสองด้วยนะคะ

หวัดดียามเช้านะคะอาจารย์

  • ครั้งๆไหนๆ บันทึกที่เข้าถึงแก่นแห่งการทำงานในองค์กรที่หลั่งไหลผ่านปลายนิ้วสัมผัสแป้นคีย์ของอาจารย์ก็ยังคงเจาะตรงประเด็นเช่นที่ครูแอนและใครๆ หลายๆ คนพบเจอในชีวิตของคนทำงานเฉกเช่นเดิมนะคะ
  • "การติดยึด" ที่อาจารย์กล่าวถึงตามที่ครูแอนพบเจอและฉุกคิดนั้นยังคงมีส่วนของเรื่องราวแห่ง "อายุ" และ "สถานภาพทางสังคม" ที่คนๆ นั้นติดยึดอีกต่างหากนี่สิคะ
  • หากองค์กรไหนที่ผู้คนทำงานพร้อมที่จะเปิดใจต่อกัน...เป็นใจที่กว้างพอ...ที่มองเห็นร่วมกันแห่งประโยชน์ขององค์กรและผู้รับบริการล่ะก็องคืกรนั้นจักก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและอบอุ่นกับการทำงานร่วมกัน
  • หากพอใจและทำใจให้เป็นสุขกับสิ่งที่ทำได้แม้จะเป็นงานเก่าหรือใหม่(กับสิ่งที่ต้องเรียนรู้ใหม่) เรา...ก็จะเป็นสุขได้จริงๆ
  • สิ่งสำคัญอยู่ที่ "การรู้จักปรับแต่งใจตนเอง" ใช่มั๊ยคะ
  • ขอบคุณนะคะสำหรับ...แง่มุมมองแห่งความคิดดีๆ ....ที่เป็นเรื่องจริงแห่งการทำงาน
  • มีความสุขในทุกวันแห่งการทำงานและชีวิตที่เปี่ยมสุขกับครอบครัวนะคะ
  • ฝากคิดถึงหลานๆ ด้วยคะ

สวัสดีครับ ครูคิม

วันนี้ผมไม่ได้เข้าสวนป่าครับ...
ผมไปราชการในพื้นที่แถวกาฬสินธุ์ พาเจ้าหน้าที่และนิสิตไปประสานงานโครงการฯ  ซึ่งจะเริ่มในต้นเดือนหน้า

...

อันที่จริงผมไม่อยากเขียนบันทึกในแนวนี้นัก  เพราะผมไม่ถนัดที่จะเล่าเรื่องแนวคิดการทำงาน แต่เมื่อเขียนก็ยึดที่จะนำเสนอในสไตล์ตัวเองเป็นหลักสำคัญ..

เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจที่คุยกับเจ้าหน้าที่,
เป็นปัญหาที่เจ้าหน้าที่สะท้อนมาให้ผมได้รับรู้ ซึ่งที่จริงแล้ว ผมเองก็รู้อยู่เต็มอก  เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้นเอง แต่เลือกที่จะเข้าใจบุคคลเหล่านั้น และใจเย็นให้มากที่สุด พร้อมๆ กับการให้ "งาน" และประโยชน์ของ "องค์กร" เป็นตัวอธิบายเอง  ซึ่งที่สุดแล้ว  หลายๆ คนก็เริ่มชัดเจนแล้วว่า  ผมทำด้วยใจ-และทุกคนที่อยู่ที่นี่นั่นแหละ คือคนได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง..

ครับ-เป็นงานที่ท้าทายผมมากๆ..
พยายามมาหลายเดือนแล้ว และมีความสุขกับความพยายามของตัวเองเสมอมา.

ขอบพระคุณครับ

สวัสดีครับ ครูแอน Lioness_ann

ผมชอบคำๆนี้มากเลยครับ  การรู้จักปรับแต่งใจตนเอง (ขอบคุณมากๆ)...เพราะมันแทนความรู้สึกที่ผมอยากสื่อ แต่นึกไม่ออก...

ในประเด็นหนึ่งที่มักเป็นหลุมพลางที่หลายคนตกลงไปแล้วขึ้นมาไม่ได้นั่นคือ "อายุ" และ "สถานภาพทางสังคม"...ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องใหญ่และเป็นอุปสรรคต่อการทำงานมากไม่ใช่น้อย..โดยเฉพาะคนที่ติดยึด หรือยึดติด ไม่ยอมที่จะอยู่กับปัจจุบัน และไม่ยอมที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ในช่วงที่สามารถพัฒนาได้...

ลักษณะเช่นนี้ ผมเคยเขียนถึงว่า ...จระเข้ขวางคลอง..
ซึ่งเราต้องลงแรงมากกับการเข็น หรือลากให้จระเข้ที่ว่านี้ ลงไปอยู่ในคลอง ในบึง มากกว่าขวางลำ ทำให้คนอื่นๆ สะดุด และหกล้ม

....

ขอบคุณครับ

 

  • สวัสดีค่ะอาจารย์
  • บันทึกของอาจารย์แต่ละบันทึก ครูอิงสัมผัสได้ถึงความสามารถ
  • ไม่ต่างอะไรเลยกับนักเขียนมืออาชีพชั้นครู
  • เป็นบันทึกที่ทรงคุณค่า น่าอ่าน
  • ครูอิงสารภาพว่า เข้าไปในบันทึกอื่น ๆ ส่วนมากใช้เวลาน้อยเพราะอ่านหยาบ ๆ
  • แต่พอเข้ามาบันทึกของอาจารย์ยอมรับว่าอ่านละเอียดค่ะ
  • เห็นด้วยค่ะว่า คนเราจะดีหรือไม่ดี ดูที่ตอนมีอำนาจค่ะ
  • ครูอิงเคยพูดเสมอว่า เวลาผู้ที่ต้องการรับเลือกตั้ง ตำแหน่งใด ๆ ก็แล้วแต่
  • เข้ามาหาครูอิง ไหว้แล้วไหว้อีก กว่าจะกลับออกไปไหว้ตั้งหลายครั้ง
  • แต่พอได้รับเลือกตั้ง นอกจากเค้าจะไม่ไหว้เราแล้ว เราต้องไหว้เค้า แบบ ลูกน้องไหว้เจ้านายซะอีก
  • สรุปแล้วเลือกเค้าเข้ามาเป็นเจ้านายแท้ ๆ
  • อิ..อิ..อิ...ครูอิงนอกประเด็นหรือเปล่าคะเนี่ย ขออภัยนะคะ

สวัสดีค่ะ คุณแผ่นดิน

เข้ามาทักทายค่ะ

แวะมาส่งกำลังใจค่ะ

มาชวนไปทำสำรวจสถิติ กรุ๊ปเลือดชาวบล็อกเราค่ะ

ที่นี่นะคะ ...

• •★ ทานอาหาร...ตามกรุ๊ปเลือด...เพื่อสุขภาพที่ดี★... •★

ชอบบันทึกนี้ค่ะ รู้สึกว่า โดนใจหลายตอนเลย มาเยี่ยมและจะบอกว่า ระลึกถึงนะคะ

สวัสดีครับ อิงจันทร์

  • เล่นชมผมซะเกินความจริงเลยนะครับนั่น
  • ผมเป็นคนประเภทชอบเขียน, อยากเขียน และอยากเป็นนักเขียน เท่านั้นแหละครับ- แต่เอาจริงๆ ผมเป็นนักเขียนไม่ได้เลย  ทั้งโดยพรสวรรค์และการทำงานหนักในทางการเขียน ซึ่งนั่นก็รวมถึงมุมมองที่มีต่อโลกและชีวิตด้วยเช่นกันครับ, ผมยังไม่ลึกซึ้งพอ
  • บันทึกเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นแรงดลใจจากภาวะบ้านเมืองด้วยเหมือนกัน จึงนำมาผูกโยงกับสถาการณ์จริงขององค์กร
  • เกี่ยวกับวิถีการเมืองไทยนั้น ผมว่าไม่ต่างอะไรจาก "เด็กเก็บเงินบนรถ" บางสายนั่นแหละครับ 
  • เวลาจะขึ้นรถ พูดดี, ดูแลดีมาก  จับโน่นยกนี่...อย่างสุภาพ
  • แต่พอเก็บตังค์แล้วกลับออกอาการไปอีกแบบ  พอถึงเวลาลงรถ ซ้ำร้ายยังแทบโยนสัมภาระเราลงจากรถ  พร้อมๆ กับการเคี่ยวเข็ญให้เราลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้..
  • ครับ, เป็นเรื่องจริงที่ผมสัมผัสมา  ถึงไม่ทั้งหมดแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง
  • ส่วนนักการเมืองนั้น ผมว่าส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นครับ
  • ...
  • ขอบคุณครับ, และขออภัยที่ตอบช้านะครับ

สวัสดีครับ..ภัทรานิษฐ์ เจริญธรรม

ขอบคุณที่แวะมาทักทายนะครับ
ผมยังปลีกเวลาไปเยี่ยมใครแทบไม่ได้เลย.. งานยุ่งเอามากๆ เลยครับ
แต่ละวันเดินสายประชุม กินกาแฟแทนข้าวไปแล้ว..
แต่ก็พยายามอย่างมากกับการดูแลตัวเอง...กลับดึกแค่ไหนก็ต้องออกกำลังกายครับ
และที่แน่ๆ...
ผมก็มีความสุขกับวิถีแบบนี้อยู่มากโขด้วยเช่นกัน

...

ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ.. °o.O ปลายฟ้า O.o°

ขอบคุณมากครับที่แวะมาเยี่ยม
สัญญาครับว่าจะแวะไปเยี่ยมที่บล็อก

อย่าลืมรักษาสุขภาพ-นะครับ

สวัสดีครับ.พี่ศศินันท์ Sasinand

ยืนยันจากใจครับ ว่าผมเองก็ระลึกไม่แพ้กัน
อย่างที่บอก บันทึกนี้อาจไม่โดดเด่นทั้งคำและกระบวนความเสียเท่าไหร่ แต่ส่วนหนึ่งก็ยังอยากจะยืนยันว่า  สภาวะการณ์บ้านเมืองเป็นส่วนหนึ่งที่รบเร้าให้นำมาผูกโยงกับบรรยากาศขององค์กรที่ผมสังกัดอยู่.

สภาพที่ว่านี้ท้าทายมากๆ เลยทีเดียว..
เหนื่อยก็ตรงเรื่องเวลานี่แหละครับ เพราะลำบากเรื่องการบริหารจัดการเวลาให้กับองค์กรสององค์กร แต่ละองค์กรก็มีงานล้นหน้าตักอยู่ทุกวัน  ถ้าสามารถสร้างหัวหน้าฝ่ายให้เข้มแข็งได้มากกว่าที่เป็นอยู่ อะไรต่อมิอะไรก็คงเบาแรงลงเยอะ..

ครับ, เหนื่อยแต่ก็มีความสุข..

ขอบคุณครับ,
สุขกาย สบายใจ นะครับ
ระลึกถึงอย่างไม่เปลี่ยนแปลง

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท