วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีนัดกับบุคลากรหอพักร่วมๆ ๑๒๐ ชีวิต โดยมีเป้าหมายหลักๆ คือการประชุมทำแผนดำเนินงานในปีงบประมาณ ๒๕๕๓
มีบางคนถามผมว่าจำเป็นแค่ไหนถึงต้องให้มีการระดมทุกคนมาร่วมทำแผนด้วยกัน เพราะที่ผ่านมา ก็มอบหมายให้แต่เฉพาะแกนหลักเป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น ส่วนในกลุ่มที่เป็นพ่อบ้าน คนสวน แม่บ้าน รปภ. ก็ไม่เคยเข้ามามีส่วนร่วมคิด ร่วมกำหนดแผนงานในทำนองนี้เท่าใดนัก
“จำเป็นสิ-งานนี้ไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ทุกคนต้องเสมอภาค และมีเสรีภาพพอที่จะคิดอะไรๆ ด้วยตัวเอง และนั่นก็หมายถึงการเป็นผู้มีส่วนในการกำหนดทิศทางขององค์กร ไม่ใช่คนเพียงไม่กี่คนต้องมานั่งสถาปนาตัวเองเป็นประหนึ่งผู้หยั่งรู้ฟ้าดินเพียงคนเดียว”
ผมก็ได้แต่ตอบแบบซื่อๆ ไปอย่างบริสุทธิ์ใจว่า
ครับ-ผมตอบเช่นนั้นจริงๆ ..ตอบเพราะเห็นว่าที่ผ่านมาไม่ปรากฏกระบวนการของการมี “ส่วนร่วม” เช่นนี้เท่าที่ควร คนกำหนดแผนก็กำหนดเอง คิดเอง โดยขาดการสร้างเวทีประชาคม
มันเหมือนมีกำแพงที่ยังไม่ถูกทลายลง ยังไงยังงั้น
อันที่จริงนั้น ผมว่าวิธีการนั้นก็ไม่ผิดนะ เพราะในเชิงนโยบายก็สามารถดำเนินการเช่นนั้นได้ แต่ถึงกระนั้น ตลอดระยะเวลา ๓-๔ เดือนมานี้ ผมเรียนรู้มากพอที่จะบอกได้ว่า องค์กรดังกล่าว ยังขาดกระบวนการอันเป็น “ทักษะ” ของการ “เรียนรู้ร่วมกันเป็นทีม” (Teame Learning) อยู่พอสมควร
และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ วิธีคิดที่ไม่เปิดให้บุคลากรได้เข้ามามีส่วนต่อการกำหนดทิศทางการทำงานร่วมกันนั้น ก็เสมือนว่าเป็นการไม่กำหนด “วิสัยทัศน์” ร่วมกัน (Share Vision) เมื่อใครๆ ไม่มีส่วนร่วมด้วยตั้งแต่ต้น แล้วไฉนแต่ละคนจะมีความรู้สึกร่วมกับ “เป้าหมาย” นั้นๆ ล่ะ...
นั่นคือนัยยะหนึ่งที่ผมพูดไม่ดังนัก แต่ก็เชื่อว่า เจ้าของคำถาม หรือแม้แต่ทีมแผนขององค์กรจะตระหนักและหยั่งรู้ได้บ้าง...
ซึ่งจะว่าไปแล้ว ที่ผมพูดๆ คิดๆ และบอกแบบมีนัยสำคัญนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการสังสรรค์ทางความคิด เป็นการเนรมิตเมนูอาหารสมองให้คนในบ้านเดียวกันได้กินอย่างออกรส
เรียกได้ว่า ปลูกเอง เลี้ยงเอง จ่ายตลาดเอง ปรุงเอง และตบท้ายด้วยการ "กินเอง"
เหมือนการดูแลสุขภาพตัวเอง-สุขภาพองค์กรด้วยตัวของตัวเองไปในตัว
ที่ผ่านมา แผนงานในระดับองค์กรไม่สัมพันธ์กับยุทธศาสตร์
ที่ผ่านมา แผนงานที่พัฒนานิสิต ไม่เคยมีนิสิต หรือกรรมการนิสิตเป็นส่วนร่วมคิดและร่วมสร้าง
เกือบทุกอย่างถูกกำหนดจากบุคลากรแบบล้วนๆ ...ไม่มีแม้กระทั่งกระบวนการของการสำรวจ-วิเคราะห์-สังเคราะห์ว่านิสิต “ต้องการอะไร”
หรือแม้แต่ หลายๆ แผนงานที่ผ่านพ้นมา บุคลากรในทีมก็ไม่มีส่วนร่วมคิดร่วมกำหนด เป็นแต่เพียงรองรับมาสนองตอบ
ซึ่งบ่อยครั้งก็ไม่เข้าใจในเป้าหมายนั้นเลย
แน่นอนครับ เราคงไม่จำเป็นต้องถามว่าใครต้องการอะไรเสียทั้งหมด เพื่อที่จะได้ทำ หรือสนองตอบความต้องการเหล่านั้นเสียทุกประเด็น แต่มันหมายถึงการเก็บข้อมูลมาเป็นต้นทุนในการกำหนดทิศทาง กลยุทธ และยุทศาสตร์ ...ไม่ใช่นั่งเทียนเป็นผู้รู้กำหนดทุกอย่างเอง
หากเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ก็ถือว่าซื้อหวยถูก
แต่ถ้าพลาด ก็ถือว่า “ซวย” ไป...
เช่นเดียวกับวันนี้ การนำพาทุกคนมานั่งล้อมวงพูดคุยกันแบบไม่จำแนกชนชั้น หรือสถานะทางการงานเช่นนี้ ก็คือวิธีคิดของการ “ร่วมกำหนดเป้าหมาย” ด้วยกัน เรียกให้เป็นวิชาการหน่อยก็คือการร่วมกำหนดวิสัยทัศน์ร่วม ก็คงไม่ผิด
ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่า เท่าที่สังเกตแต่ละคนก็ดูมีความสุขกับบทบาทและพื้นที่ทางความคิดที่หยิบยื่นไปให้มากอยู่มิใช่น้อย แต่สำหรับคนที่สูญเสียพื้นที่อำนาจแบบเดิมๆ ก็ดูซึมๆ ไปเหมือนกัน
แต่จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ (ผมว่ามันจำเป็น) ...ไม่เริ่มระบบนี้วันนี้ ก็ไม่รู้จะเริ่มระบบนี้กันวันไหน
แต่อย่างไรก็เถอะ จากการประเมินในผลลัพธ์ที่ออกมา เนื้อหาที่ปรากฏในแผนงานนั้นดูยังไม่สมน้ำสมเนื้อเสียเท่าไหร่ ซึ่งผู้บริหารก็เปรยในทำนองว่า “ไม่ผ่าน” แต่ผมก็เข้าใจดีว่า “อะไรใหม่ๆ ก็ทำนองนี้แหละ และที่สำคัญผมก็คิดว่ามันจะออกมาในรูปนี้อยู่แล้ว”
ครับ-ที่ผมพูดเช่นนั้น เพราะการเริ่มต้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดว่ามันต้องสำเร็จรูป หรือไปได้ไกลจากจุดที่เป็นอยู่ (ย่ำอยู่) ...แต่ที่ผมถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งยวดแล้วก็คือ “บทเรียนแฝง” ที่ผมซ่อนไว้ในกระบวนการครั้งนี้ เช่น
· กระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญของตนเองที่มีต่อการกำหนดความเป็นความตายขององค์กรแบบไม่แยกชั้นวรรณะ
· กระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการมีใจ (Care) ที่จะแบ่งปัน (Share) ทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนรวม ประหนึ่งคนในบ้านเดียวกัน ผ่านการเล่าแบบเปิดเปลือย และผ่านการฟังอย่าง "ตั้งใจ” ของแต่ละคน โชคดีก็กลายเป็นการฟังแบบ "ลึกซึ้ง"
ครับ-ผมยืนยันว่าผมมีความสุขกับ “บทเรียนแฝง” ที่ทิ้งไว้เป็นอย่างมาก และไม่รู้สึกขมขื่นกับสาระที่บุคลากรนำมาเสนอ เพราะเรายังมีเวลามากพอที่จะร่วมกันปรับแต่งอีกรอบใหญ่ๆ ...
ครับ-สามถึงสี่เดือนที่ผ่านมา คือการบริหารงานแบบศึกษางาน แต่บัดนี้ผมพร้อมแล้วที่จะบริหารงานแบบ “ขับเคลื่อน” โดยยึดเอาวันนี้เป็นวันแห่งการเริ่มต้น
- งานที่มีบุคลากรจำนวนมากเกือบๆ ๑๕๐ คน
และงานที่มีรายได้เข้ามาในแต่ละปีเกือบๆ ๖๐ ล้านบาทให้บริหารเองเช่นนี้ เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับผมมากๆ .. เพราะมันคือการงบประมาณที่ลงทุนกับความเป็น "คน" โดยเฉพาะคนที่มีสถานะ "อนาคต" ของชาติ
ซึ่งถึงแม้ว่า ทุกวันนี้ ผมจำต้องทำงานและโหมงานแบบสองที่สองทาง หนักเท่าตัว และทำฟรีแบบไม่รับเงินประจำตำแหน่ง-
เหนื่อย แต่ก็สุขใจ...
สุขใจที่ได้รับเกียรติให้มีส่วนร่วมกับองค์กรอันเป็น “บ้าน” ของตัวเอง
และสำหรับวันนี้ ผมสุขใจกับการเห็นคนที่ไม่เคยพูดต่อที่สาธารณะอย่างเป็นทางการ เช่น พ่อบ้าน แม่บ้าน รปภ..ก็จำต้องออกมานำเสนอผลแห่งการพูดคุยของคนในกลุ่มแบบเคอะๆ เขินๆ
ผมว่า มันไม่มีอะไรเสียหาย และไม่มีอะไรล้มเหลว
เพราะมันคือการเริ่มต้นของการมีส่วนร่วม..
มันคือยกแรก...
และ "เรา" ซึ่งหมายถึง "ทุกคน" ก็ยังจะต้องมียกต่อๆ ไป
........
๑๙ เมษายน ๕๒
อาคารบริการกลาง, มมส
เห็นภาพความสำเร็จเล็กๆ แล้วก็พลอยชื่นอกชื่นใจแทนไม่ได้
เมื่อไหร่หนอ ภาพใหญ่ๆ ของประเทศจะเริ่มทำกันแบบนี้บ้าง
ผมคิดว่า ใครที่กล้าหาญทำ และทำได้แบบนี้
คงจะต้องเห็นคุณค่า และความดีที่ซ่อนเร้นอยู่ตัวผู้อื่นเสียก่อน
อยากเรียกว่า มีศรัทธาในคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
ไม่ง่ายครับ กว่าที่ใครสักคนจะผ่านกระบวนการเรียนรู้ไปสู่จุดดังกล่าว
ผมก็ยังไม่ทราบเหมือนกันว่าต้องผ่านอะไรมาบ้าง
แต่คิดว่าอาจารย์น่าจะทราบคำตอบนะครับ
คงเป็นบรรยากาศการทำงานที่มีความสุขมากนะค่ะ ถือว่าเป็นเคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จแถมได้ความร่วมมือและความสุขกันทั่วหน้า รู้สึกชื่นชมแนวคิดการมีส่วนร่วมในการทำงานของคุณแผ่นดินมากๆค่ะ
ต้องบอกว่าดีใจแทน มมส.ที่มีคนทำงานที่เข้มเเข็งเเลเปี่ยมด้วยคุณภาพทางความคิดอย่างนี้ อย่างคุณแผ่นดินวันนี้เเวะมาทักทายคิดว่าคงจะเขียนบล็อกวันนี้ เป็นวันสุดท้าย...เดี๋ยวนะคะยังพูดไม่จบ ก่อนจะพักยกไปเลี้ยงลูกที่บ้านนอกสกลนคร หลายวันเลยค่ะพักร้อนคงคิดถึงชาว g2k น่าดูที่บ้านไม่มี googleค่ะ คงกลับมาใหม่เมื่อชาติยังต้องการเอ๊ย.เมื่อชาว g2k ยังต้องการ วันนี้เลยมาชวนคุณแผ่นดินกับนางไห ข้างกายไปอ่านบล็อกนี้ค่ะเชิญทางนี้ค่ะhttp://gotoknow.org/blog/245/256787
เป็นหมอลำกลอนค่ะแต่ว่าเป็นกลอนเศร้านิดนึง
ให้นางไหลำให้ฟังนะคะ เเต่ว่าอย่าร้องไห้ตามนะคะ
สวัสดีครับ ซวง ณ ชุมแสง
ตอนนี้ผมก็ได้แต่พยายามอย่างเต็มที่กับการสร้างให้คนในองค์กรรู้สึกถึงความรู้สึกของการเป็นทีม และรู้สึกถึงความสำคัญของกันและกัน เพื่อนำสิ่งเหล่านั้นมาเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทาง ความเป็นความตายขององค์กร
เมื่อวานก็เป็นอีกวันที่ผมขยายผลดังกล่าวเป็นเวทีที่สอง คราวนี้มาเฉพาะแกนหลัก โดยนำเอาข้อมูลที่เกิดจากการระดมในเวทีก่อนมาหารือร่วมกับแกนหลักของแต่ละฝ่าย..
ก็เป็นบรรยากาศง่ายๆ เน้นให้แต่ละคนได้พูดได้นำเสนอ พร้อมๆ กับการกระตุ้นให้แต่ละคน หรือแต่ละฝ่ายได้มีส่วนร่วมกับการวิเคราะห์งานของเพื่อนๆ ในองค์กร..ผมเองก็คอยตั้งประเด็นให้ร่วมกันคิดและใคร่ครวญกันอย่างช้าๆ
เชื่อว่าก็คงได้อะไรบ้างล่ะ..
ผมเชื่อเช่นนั้น นะครับ
สวัสดีครับ.. คุณนิตยา จรัสแสง
วิธีการเช่นนี้ ผมเคยเขียนเป็นกลอนไว้กว่าสิบปีที่แล้วว่า
คุณค่าความเป็นคน
สูงส่งสักแค่ไหน
ต้อยต่ำสักปานใด
ล้วนอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
....
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ...คุณ เบดูอิน
ปลูกเอง เลี้ยงเอง จ่ายตลาดเอง ปรุงเอง และตบท้ายด้วยการ "กินเอง"
ครับ-เหตุที่ผมเขียนเช่นนั้น เพราะผมมองแบบหยาบๆ หรือกว้างๆ ว่า คนเราย่อมดูแลตัวเองได้ดีที่สุด เหมือนกินอาหาร หากอยากให้ตัวเรามีสุขภาพดี เราก็ย่อมคัด หรือทานแต่สิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ
การทำงานก็เช่นเดียวกัน คนแต่ละคนก็ย่อมมีศิทธิ์ที่จะกำหนดทิศทางของงานด้วยตนเองได้บ้าง ถึงไม่ทั้งหมด แต่ก็ต้องมีส่วนบ้าง...มิใช่ยกให้เป็นภาระของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ... สุธีรา
สัปดหานี้แทบไม่ได้ไปเยี่ยมเลยครับ วุ่นอยู่กับงาน ทุกๆ วันประชุมยาวทั้งวันตลอด...
...
มีความสุขกับชีวิตและการงานน นะครับ
พี่ สุธีรา
ครับ, อ่านแล้วออกเศร้าๆ ...แต่ในความโศกเศร้านั้น ผมเห็นความงดงามของการขอบคุณและฝากแง่งามของชีวิตอยู่มากเลยทีเดียวครับ
....
สวัสดีครับ...คุณน้อง-พิชชา
นั่งตอบบันทึกนี้ ในขณะที่รอรถตู้มารับเพื่อลงพื้นที่..
เห็นด้วยนะครับว่านี่คือกระบวนการขั้นต้นที่ว่าด้วยการ "กระเทาะเกราะ"...
หากทำได้ อะไรดีๆ ก็จะตามมา ทั้งความสัมพันธ์ระหว่างคน และประเด็นดีๆ สำหรับการพัฒนาองค์กร
ขอบคุณครับ
สวัสดีค่ะ
เป็นแนวคิดที่เพียงพอ เหมาะกับสภาวะของประเทศเรานะคะ
ปลูกเอง เลี้ยงเอง จ่ายตลาดเอง ปรุงเอง และตบท้ายด้วยการ "กินเอง"
แต่บางอย่างพี่ว่า กินเองไม่ได้นะคะ อิอิ