ซ.ซวง
นาย นพรัตน์ รัตนพงศ์ผาสุข

หลายร่างวิญญาณเดียว : เรียนรู้อดีต เลือกอนาคต กำหนดปัจจุบัน


การตัดสินใจรวมหมู่ของมนุษยชาติ จะะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ และโลกใบนี้

 

 

บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อบอกเล่าความประทับใจที่มีต่อหนังสือเล่มนึงครับ

"หลายร่างวิญญาณเดียว" - Same Soul, Many Bodies

เขียนโดย คุณหมอ Brian L. Weiss  ซึ่งเป็นจิตแพทย์ ชาวอเมริกัน

 

ผมเคยอ่านผลงานของคุณหมอไวส์ มาหลายเล่ม เมื่อหลายปีก่อน

เล่มที่ดังมากในบ้านเราคือ

"เราจะข้ามเวลามาพบกัน" 

ซึ่งเป็นเรื่องราวรักโรแมนติก ชนิดสร้างเป็นหนังได้เลย  ของคู่รักคู่หนึ่ง

ซึ่งผิดหวังในการครองคู่กันมาหลายชาติ  จนกระทั่งชาติปัจจุบัน

ปรากฏการณ์ของหนังสือเล่มนี้ ทำให้คำว่า Soul Mate

หรือ "คู่แท้ทางจิตวิญญาณ" เป็นที่โด่งดังมาก

แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าการจะหา "คู่แท้"

ไม่ได้เป็นเรื่องที่จะค้นหากันได้ง่าย ๆ 

และชวนให้โรแมนติกเหมือนในหนังสือเสมอไปนะครับ

ผมคิดว่ามันน่าจะยากพอๆ กับการระลึกชาติเลยทีเดียวล่ะ

คงไม่ขอกล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่อง คู่แท้ ไปมากกว่านี้นะครับ

เพราะไม่มีประสบการณ์พอ

สำหรับอีกสองเล่มที่ได้อ่านในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันก็คือ เรื่อง

 "ข้ามภพ" และ "ชาติภพ"

จำชื่อภาษาอังกฤษไม่ได้แล้ว แต่จำได้ว่าพิมพ์โดย มติชน

ทั้งสองเล่มแปลโดย คุณจุไรรัตน์ อารยะกิตติพงศ์

 

โดยสรุปของหนังสือทั้งสามเล่มก็คือ บันทึกประสบการณ์การบำบัดคนไข้

แบบที่เรียกว่า Regression Therapy  หรือการบำบัดแบบย้อนอดีต

ตามหลักการของการบำบัดแบบนี้ 

ก็คือการสะกดจิตเพื่อย้อนกลับไปยัง

ช่วงวัยในอดีตที่เป็นปมแห่งปัญหาของบุคลิกภาพในปัจจุบัน

เช่น บางคนที่มีบุคลิกภาพหวาดระแวง

อาจเกิดจากวัยเด็กเคยถูกทอดทิ้งไว้คนเดียว

ซึ่งเมื่อสามารถย้อนกลับไป ณ จุดแรกที่เป็นปัญหา เมื่อทำความเข้าใจ

และยอมรับมัน ก็จะทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพได้

 

ในกรณีของคุณหมอไวส์ ท่านก็รักษาคนไข้ตามวิธีการแบบนี้

จนกระทั่งมีอยู่เคสหนึ่ง ที่รักษาไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้

ดูเสมือนว่า ชีวิตในชาติปัจจุบันจะดูเรียบร้อยดี ไม่มีร่องรอยของปัญหา

หมอไวส์จึงเสี่ยงแหกขนบแห่งความเชื่อ  ด้วยการบอกให้คนไข้ของเขา

ย้อนไปยังจุดที่เป็นปมแห่งปัญหาไม่ว่าจะเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดก็ตาม

 

ผลที่เกิดขึ้นก็คือ คนไข้ได้ย้อนกลับไปสู่อดีตชาติ

ซึ่งได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับคุณหมอเป็นอันมาก

เนื่องจากคุณหมอนับถือคริสต์ ซึ่งไม่มีความเชื่อในชาติที่แล้ว หรือชาติหน้า

(เชื่อว่ามนุษย์มีการเกิดและตายเพียงครั้งเดียว

และเมื่อตายแล้วก็จะรอการพิพากษา)

แต่ในมุมของศาสนาตะวันออกแล้วถือเป็นเรื่องปกติ

เชื่อกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

 

หลังจากเหตุการณ์นั้น คุณหมอไวส์ก็บำบัดคนไข้ด้วยการย้อนอดีตชาติ

อีกหลายร้อยราย (น่าจะเกินพันราย)

บทสรุปที่หมอไวส์พยายามจะบอกกับผู้อ่านของเขาก็คือ

 

ชีวิตแต่ละชาติภพของแต่ละคนคือบทเรียน ที่เราต้องเรียนรู้ และข้ามผ่าน

เพื่อจะได้รับบทเรียนบทใหม่  เพื่อที่จะพัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นไป

แต่หากไม่สามารถข้ามผ่านบทเรียนบทนั้นได้

ชีวิตเราก็จะวนเวียนกับบทเรียนเดิมไปอีกหลายภพชาติ

 (อาจฟังดูคล้ายการสะสมบุญบารมีของทางพุทธ)

จนกระทั่งเราสามารถข้ามผ่านมันไปได้

เราจึงจะได้รับบทเรียนบทใหม่

บทเรียนที่ว่าก็จะคล้ายการเล่นละคร ที่จะมีตัวแสดงเดิมๆ

วนเวียนเกาะกลุ่มกันไปตลอด

เพราะสัมพันธภาพระหว่างผู้คน

ไม่ว่าจะเป็นด้านบวก (รัก ชอบ เกื้อกูล มิตรภาพ)

หรือด้านลบ (โกรธ เกลียด อิจฉา พยาบาท

การประทุษร้ายกันทั้งทางกาย วาจา ใจ)

ย่อมเป็นเสมือนแรงดึงดูดซึ่งกันและกัน

ให้นักแสดงกลุ่มเดิมๆ ได้กลับมาโลดแล่นบนฉากใหม่ๆ

กับบทบาทใหม่ๆ ที่แต่ละคนได้รับ

(อาจมองได้ว่านี่คือ กฏแห่งกรรมในทางพุทธ หรือ กฏแห่งการดึงดูด

ตามนัยยะของ The Secret)

ถ้าผมเข้าใจประเด็นที่หมอไวส์พยายามจะสื่อไม่ผิด

ก็อาจมองได้ว่า ตัวนักแสดง หมายถึงจิตวิญญาณ ที่เดินทางอย่างไม่สิ้นสุด

จนกว่าจะผ่านบทเรียนสุดท้ายตามที่คุณหมอไวส์กล่าว (อาจหมายถึงนิพพาน?)

แต่ละภพชาติ เราก็จะต้องสวมบทบาทใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา

ตราบใดที่นักแสดงคนนั้นๆ ยังตีบทไม่แตก

เขาก็ไม่มีโอกาสได้รับบทใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมได้

หรือนี่อาจคือนัยยะของหนังสือเล่มใหม่ของคุณหมอ

"หลายร่างวิญญาณเดียว"

หลายปีผ่านไป ที่ผมไม่ได้ติดตามงานของหมอไวส์

จนกระทั่งเมื่อเดือน พ.ค. 51

ผมเผอิญไปเห็นหนังสือเล่มใหม่ของคุณหมอ "หลายร่างวิญญาณเดียว"

วางบนแผงในร้านหนังสือใกล้บ้าน

 

ความคิดวูบแรกก็คือ เฉยๆ เพราะคิดว่าเคยอ่านมาเยอะแล้ว

คงจะเป็นสไตล์เดิมๆ เหมือนที่เคยเป็นมา คือ เรื่องการบำบัดย้อนอดีตชาติ

จนกระทั่งผ่านไปผ่านมาประมาณ 2 อาทิตย์ จึงตัดสินใจ

หยิบมาพิจารณา  แล้วซื้อมาอ่าน

(ที่คิดนานเพราะราคาตั้ง 280 แน่ะ)

คราวนี้รู้สึกว่า คุณหมอจะมาแนวใหม่

 มีคำโฆษณาบนปกหน้าว่า

 

"การเดินทางสู่อนาคตเพื่อความเป็นอมตะ"

"Discover The Healing Power of Future Lives Through Progression Therapy"

 

ผมสะดุดใจกับสองคำคือ "อนาคต"  กับ "Progression Therapy"

มันคือการสะกดจิตเพื่อไปดูอนาคต

มันคือการบำบัดแนวใหม่ที่คุณหมอไวส์ค้นพบ "การบำบัดแบบท่องอนาคต"

 

แต่การบำบัดแบบนี้ หมอไวส์เองก็ออกตัวว่า

ให้วางใจเป็นกลางในการพิจารณาว่า มันอาจเป็นเรื่องของ

การปรุงแต่งของจิตที่สร้างเรื่องราวไปเอง (คล้ายความฝัน)

หรืออาจเป็นเรื่องจริงก็ได้

ส่วนตัวหมอไวส์ เลือกเชื่อว่าภาพนิมิตแห่งอนาคตของคนไข้เป็นเรื่องจริง

เพราะมีคนจำนวนมากที่ให้ภาพนิมิตของอนาคตที่ตรงกัน

 

บทสรุปของการบำบัดแบบท่องอนาคตก็คือ

อนาคตที่อาจเป็นไปได้ของคนๆหนึ่ง 

ไม่ได้มีเส้นทางที่แน่นอนตายตัว

มีลักษณะเหมือนภาพคู่ขนานที่อาจเกิดขึ้นได้พร้อมๆกัน

แต่มักมีลักษณะที่ตรงกันข้าม

เช่น ภาพหนึ่งสุขสงบ และสวยงาม 

อีกภาพหนึ่งกลับเต็มไปด้วยความเศร้าสลด เป็นทุกข์

 

บทเรียนสำหรับการท่องอนาคตก็คือ

หากเราได้เห็นทางเลือกต่างๆ ที่เป็นไปได้

ที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตเราแล้ว

เราจะเลือกเส้นทางไหน

แน่นอนว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เห็น ย่อมจะเลือกสิ่งที่สวยงาม สิ่งที่เป็นความสุข

ซึ่งในการเลือกอนาคตแบบนั้น สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต และวิธีคิดในปัจจุบัน

 

สิ่งที่หมอไวส์ค้นพบใหม่ในแนวทางการบำบัดรักษาแบบใหม่ก็คือ

การทำให้คนไข้ได้มองเห็นอนาคตที่อาจเป็นไปได้

แล้วเปิดโอกาสให้คนไข้ได้มีโอกาส "เลือก" ด้วยตัวเอง

ว่าเขาอยากได้ อยากเห็นอนาคตแบบไหน

การคิด และการกระทำในปัจจุบันของของเขาจะเป็นตัวกำหนดอนาคต

หมอไวส์พยายามทำให้คนไข้ของเขาตระหนักว่า

เขาคือผู้ควบคุมชะตากรรมของตนเองอย่างแท้จริง

 

ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสล่วงรู้ได้ว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไร

จะมีกี่ทางเลือก จะสุขหรือทุกข์แค่ไหน

จะสวยงามหรือน่าเกลียดเพียงใด

อย่างไรก็ตามหากเราตั้งใจ "เลือก"

ทำวันนี้ให้มีความสุข และสวยงาม

ก็น่าจะเป็นไปได้ว่า เรากำลัง "เลือก"

เส้นทางสู่อนาคตที่ดี ที่สวยงาม และมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ก่อนจบความประทับใจในบันทึกเรื่องราวที่คุณหมอไวส์ได้บันทึกไว้

ผมขอฝากภาพนิมิตแห่งอนาคต

ตามที่คุณหมอไวส์ประมวลมาจากคนไข้หลายราย

ไม่มีใครทราบได้หรอกว่า มันจะเป็นเพียงจินตนาการลมๆ แล้งๆ

หรือจะเป็นภาพแห่งความเป็นจริง

หมอไวส์พยายามบอกว่า

 

การตัดสินใจรวมหมู่ของมนุษยชาติ

จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของมนุษย์ และโลกใบนี้

 

และนี่คือภาพนิมิตแห่งอนาคตที่อาจเป็นไปได้ ของบรรดาคนไข้

 

1. "ในหนึ่งร้อยปี หรือกระทั่งสองร้อยปี

โลกค่อนข้างเป็นอย่างเดียวกับที่มันเป็นในขณะนี้ 

(เฮ้อ...สบายใจได้ โลกยังไม่แตก และยังไม่ร้อนจนเป็นเตาอบ ...)

จะเกิดความหายนะ โศกนาฏกรรม และภัยพิบัติต่างๆ ทางธรรมชาติ

และเกิดจากฝีมือมนุษย์  แต่ไม่ใช่ในระดับโลก  มีสารพิษมากขึ้น

ผู้คนอยู่กันอย่างแอดัดยัดเยียดมากขึ้น

ประชากรเพิ่มขึ้น และโลกร้อนขึ้น

มีโรคติดเชื้อเกิดขึ้นน้อยลง  มีวิธีการที่ดีขึ้นในการเพาะปลูก

และเก็บเกี่ยวอาหารและอื่นๆ"

 

2. หลังจากช่วงนี้ - มันอาจใกล้แค่สามร้อยปี หรือไกลถึงหกร้อยปี

จะเกิดการเริ่มต้นของยุคมืดครั้งที่สอง 

ดูเหมือนผู้คนทำนายถึงเหตุการณ์ร้ายว่า

จะเกิดขึ้นในอีกสามร้อยปี

บางทีอาจเป็นเพราะอนาคตไม่ตายตัว

และความมืดคืบคลานเข้ามาเร็วขึ้น

เนื่องจากความคิดและการกระทำต่างๆ

ในด้านลบของผู้คนจำนวนมาก

ถึงแม้ยังคงมีเวลาที่จะพลิกฟื้นโดยผ่านความพยายามร่วมกันก็ตาม

ผมไม่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดความมืด

แต่เรามองเห็นว่าจำนวนประชากรลดน้อยลงมาก

คำอธิบายอาจอยู่ที่ภาวะเจริญพันธุ์ที่ลดลง

เนื่องจากความเป็นพิษของสภาพแวดล้อม

มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มากพอที่ระบุว่า

อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ของอสุจิลดลง

แต่ไวรัส สารพิษ แอสเตียรอยด์ ฝนดาวตก สงคราม โรคระบาด

หรือกระทั่งภัยพิบัติที่นึกไม่ถึง

ก็อาจรับผิดชอบต่อเหตุการณ์นี้ก็ได้

 

พวกเราบางคนจะไม่กลับชาติมาเกิดในเวลานั้น

จิตสำนึกของเราอาจเปลี่ยนไป

มากพอจนกระทั่งเราจะมองมันจากอีกสถานที่หนึ่ง

จากมิติอื่น เราอาจไม่จำเป็นต้องมาอยู่ที่นี่อีกต่อไป

อนาคตของเราในฐานะปัจเจกชนอาจก้าวหน้ากว่าอนาคตของดาวเคราะห์

พวกเราบางคนอาจกลับชาติมาเกิดในมิติอื่นๆ หรือโลกอื่นๆ

 

3. และแล้วก็มาถึง ความงดงามตามธรรมชาติ

ในแบบชนบทที่อุดมสมบูรณ์และสันติสุข

ซึ่งฮิวจ์เห็น (คนไข้คนหนึ่งของคุณหมอ)

และคนอื่นๆ ได้กล่าวถึงมันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา 

พวกเขาทั้งหมดต่างเห็นความสว่างไสว

พวกเขาทั้งหมดรู้สึกถึงสันติสุข

แทนที่จะเกลียดกันและกัน ฆ่ากันและกัน

วางยาพิษสภาพแวดล้อม และจิตวิญญาณ

ปริมณฑลในอุดมคติก็จะแสดงตัวออกมา"

 

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า เหตุการณ์ในข้อ 1 และ 2 คงจะเกิดขึ้นจริงแน่

ถ้าดูจากแนวโน้มสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

ผมเชื่อว่าอาจเร็วกว่าคำบอกเล่าของบรรดาคนไข้ของหมอไวส์เสียอีก

บางทีในบั้นปลายชีวิตอีก 40-50 ปีข้างหน้า (ถ้าอยู่ถึงนะ)

เราอาจได้เห็นภาพเหล่านี้

แต่สำหรับ ข้อ 3 แล้ว เดิมทีผมก็ไม่เชื่อหรอกว่ามันจะมีโอกาสเกิด

แต่ตอนนี้ผมก็ชักเชื่อแบบคุณหมอไวส์ว่า

 

หากเราเริ่ม "เลือก" ที่จะเดินเส้นทางใหม่ เพื่ออนาคตใหม่

เราย่อมได้สิ่งนั้น

และหากทุกคน "เลือก" ในสิ่งเดียวกัน

การตัดสินใจรวมหมู่ของพวกเราจะนำพาให้เกิดสิ่งนั้น

มันขึ้นอยู่กับว่า "เรา" "เลือก" "อะไร"

 

ในหน้าสุดท้ายของหนังสือ หมอไวส์ได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า

 

"เนื่องจากผมต้องตาย เช่นเดียวกับที่เป็นอมตะ

ผมจึงเป็นห่วงปัจจุบัน และช่วงเวลาอันยากลำบากที่จะมาถึง

เนื่องจากเราไม่ได้ถูกบับคับให้เข้าสู่อนาคต

ถึงแม้ดูเหมือนว่าพฤติกรรมของเรา

จะถูกจำกัดด้วยทางเลือกต่างๆ ของเราก็ตาม

แต่ผมยังคงมองโลกในแง่ดี

ผมคิดว่าจิตสำนึกรวมหมู่ของผู้คนที่ถวิลหาโลกที่สันติสุข

และงดงามตามธรรมชาติ

จะบรรลุผลสัมฤทธิ์นี้  การจะทำเช่นนี้

เราแต่ละคนจะต้องจำไว้ว่า

ชะตากรรมของเราคือการเป็นอมตะ

แต่อนิจจา พวกเราจำนวนมากเกินไปไม่รู้เรื่องนี้ 

หรือลืมเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฎเป็นข่าวทุกวัน

ผมหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจ"

 

ขอลากันด้วยนิมิตแห่งอนาคตในอีกประมาณ 100 ปีข้างหน้า

ของคุณเดวิด คนไข้ชาวอเมริกัน นับถือคริสต์

เขาได้เห็นในนิมิตว่าตัวเขาเป็นแรบไบ (นักบวชในศาสนายูดาห์ -- นักบวชยิว)

ซึ่งกำลังอยู่ในเหตุการณ์ดังนี้

 

"ผมชื่ออิบราฮิม ผมอยู่ในที่ประชุมร่วมกับพวกแคธอลิก

โปรเตสแตนต์ ฮินดู พุทธ มุสลิม รวมทั้งนักเทศน์และนักบำบัดชาวพื้นเมือง

เราพบกันบ่อยๆ อาทิตย์ละสองสามครั้ง เพื่อทำสมาธิและสวดภาวนา

สร้างพลังงานที่กลมกลืนเพื่อต่อกรกับความเกลียดชัง

และความรุนแรงซึ่งแพร่ระบาดในหมู่ชาวโลกที่ยังไม่รู้แจ้ง

เรามีจำนวนน้อย ไม่มากกว่าห้าสิบคน แต่อำนาจของเรายิ่งใหญ่

จุดประสงค์ของเราคือ ทำให้พลังงานที่ปลดปล่อยจาก

ผู้ที่ไม่ใส่ใจหรือไม่รู้กฏแห่งจิตวิญญาณปลดปล่อยออกมา 

ซึ่งกำลังทำลายโลก  ให้กลายเป็นกลางเสีย

 

พลังงานเหล่านั้นก่อให้เกิดแผ่นดินไหว พายุทอนาโด น้ำท่วม โรคระบาด

เราเคยคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นแบบส่งเดช

ตอนนี้เราเชื่อแล้วว่ามีการก่อหวอด

หรืออย่างน้อยก็ได้รับอิทธิพลจากความคิดหรือความตั้งใจของมนุษยชาติ

และเราสามารถป้องกันมันได้

กลุ่มของเราออกไปสอนเทคนิคการสวดภาวนาในด้านบวก

และการทำสมาธิในด้านบวกแบบที่เราใช้อยู่ให้คนอื่น

เรามีผู้ติดตามนับพันๆ

เดือนหน้าเป็นการประชุมสานสัมพันธ์ระหว่างศาสนาต่างๆ ครั้งที่ห้า

ซึ่งมีคนที่เชื่ออย่างเดียวกับเราเข้าร่วมมากกว่าสองหมื่นห้าพันคน

พวกเขาจะนำเทคนิคของเรากลับไปสู่ประเทศของพวกเขาทั่วทั้งโลก

การประชุมนี้อยู่เหนือเส้นแบ่งทางกายภาพและจิตใจ

เพื่อบรรลุถึงสันติภาพ ความกลมกลืน

และความกรุณาต่อทุกคนที่พำนักอยู่บนโลกนี้ และเพื่อดาวเคราะห์เอง"

 

าของเขา (เดวิด) เป็นประกาย เขาเล่าต่อ...

 "มันกำลังได้ผล

เราสามารถวัดผลในด้านบวกต่อสภาพอากาศของโลก

โลกกำลังเย็นลงเป็นครั้งแรกในหลายศตวรรษ

ฤดูร้อนและฤดูหนาวรุนแรงน้อยลง

อัตราการป่วยเป็นโรคมะเร็งก็ต่ำลง"

 

ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบลงพร้อมกับความรู้สึกหลายอย่างปนกัน

ทั้งมีความหวังต่ออนาคตที่เปี่ยมด้วยสันติสุข

แต่ในอีกด้านหนึ่งก็หดหู่กับปัจจุบันที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า

เมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง และความรุนแรงกำลังงอกงามไปทั่ว

ทั้งในประเทศไทย เรื่องของการแบ่งเป็น 2 ขั้วที่ชัดเจน และแรงขึ้นเรื่อยๆ

เรื่องของความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้

จนไปถึงเรื่องโลกร้อน ภัยพิบัติ และสงคราม

 

หรือนี่อาจเป็นนัยยะที่เกี่ยวข้องกันของเหตุการณ์ต่างๆ

หากเรายังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แบ่งแยก

ประเทศนี้คงพัง แตกเป็นเสี่ยงๆ

โลกนี้คงร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนไม่มีใครอยู่ได้

หรือไม่ก็โดนภัยพิบัติจนยับเยิน

หรือทำสงครามกันจนย่อยยับ

 

ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งในอนาคต

เราจะมีดินแดนในอุดมคติตามที่หมอไวส์บอก

หรือตามที่หลายๆคนเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น

ยุคพระศรีอาริย์...

แดนสุขาวดี...

UTOPIA...

IXTLAND...

 

หากชีวิตไร้เสียซึ่ง ความหวัง...ความฝัน...

ชีวิตก็คงแห้งแล้งน่าดูนะ

 

เห็นแล้วครับ...แสงสว่าง...ที่ปลายอุโมงค์....

ทว่า...ริบหรี่ยิ่งนัก...และ....ไกลมากกกกกกกกกกก

แต่หากมองดูให้ดี มันอาจอยู่ใกล้ๆ  แถวๆ ในกะโหลกเรานี่แหละ

 

หวังว่าเราคงได้เป็นกัลยาณมิตรกันในทุกภพชาติ...จนกว่าจะถึงบทเรียนสุดท้ายนะครับ

อย่าพึ่งรีบทิ้งกันไปหมดนะครับ

เดี๋ยวเหงาแย่เลยเรา...

หมายเลขบันทึก: 254018เขียนเมื่อ 7 เมษายน 2009 12:13 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 17:44 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

บันทึกกอโดนลบส่ะแล้วค่ะพี่ซวง

ขอใช้อารมณ์เป็นใหญ่หน่อยค่ะ

คือกอไม่พอใจที่บันทึกกอโดนลบ

เนื่องจากกอคิดว่า บันทึกอื่น ๆ ของกอไม่เห็นจะมีสาระเลย

แต่บันทึกอันที่โดนลบนี่แหละ มันมีสาระ

กออุตส่าห์ไปหามาจากgoogle

ในบ้านเรามีเวปไซต์มากมาย

และต่างคนต่างก็เอาสื่อทางอินเตอร์เน็ต ให้ความสุขและบางคนก็ให้ยาพิษซึ่งกันและกัน

จนตอนนี้อินเตอร์เน็ต มันใส่อะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด

กอไปหามา จนได้เจอว่า คนไทยเราทำไมกลายเป็นแบบนี้ไปส่ะแล้ว

แต่เมื่อสิ่งที่กอสื่อออกไป และกอกำลังดูมันอยู่ด้วย

กลับกลายเป็นสิ่งที่ลบออกเถอะน่ะ แล้วเค้าก็ลบของกอออกส่ะ

ก็ไม่เป็นไร

กอว่าแล้ว กอต้องก้านคอพับสักวันนึงจริง ๆ

ไปก่อนค่ะ

ขี้เกียจตามไปบอกลาเพื่อน ๆ

น้ำตาไหล ไปดีกว่าค่ะ

มาอ่านบันทึก ของ หล่อน้อย

P ซวง ณ ชุมแสง

อดชื่นชม ภาวะหนอนหนังสือ ไม่ได้  ชื่นชม

ตั้งใจจะแวะไปร้านหนังสือ เพื่อหาเก็บไว้อ่านช่วงเวลาที่อยากอ่านหนังสือดี ดี สักเล่ม.....

ขอบคุณ ที่เขียนบันทึกฉบับนี้

และขออนุญาตแสดงความคิดเห็น กับ ความเห็นที่ 1 หน่อยนะครับ

ว่าเกิดอะไรขึ้น กับ คนดีของสังคม

บางครั้ง...ก็อดนึกถึงตาชั่งไม่ได้...

(ว่าวัด...อย่างไร)

ขอบพระคุณมาก ครับ

 

 

ขอบคุณครับ

น่าสนใจมากครับ

สวัสดีครับ น้องกอ

ขอแสดงความเสียใจ และเห็นใจทุกฝ่าย กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนะ

ต่างฝ่ายล้วนมีเหตุผลในตัวเองนะ

......

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าน้องกอจะอยู่ที่ไหน

เราก็จะยังคงเป็น "กัลยาณมิตร" กันตลอดไปนะจ๊ะ

ถึงแม้ว่าเราจะไม่มีโอกาสล่วงรู้ได้ว่าอนาคตเราจะเป็นอย่างไรจะสุขหรือทุกข์แค่ไหน จะสวยงามอย่างไรก็ตาม  หากเราตั้งใจ ทำวันนี้ให้มีความสุข  และสวยงาม  ความสุขก็รอเราอยู่

 ชอบมากเลยค่ะ บทความอันนี้ ทำให้เกิดแง่คิดและนำไปพัฒนาตัวเราเองได้ดีค่ะ ขอบคุณนะค่ะสำหรับสาระดีและน่าสนใจ

                           

  • ธุ  คุณซวงค่ะ..

กับหนังสือ"หลายร่างวิญญาณเดียว" - Same Soul, Many Bodies  นั้น ต้อมยังไม่มีโอกาสได้อ่าน   ส่วน "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" ก็ได้ยินและได้อ่านคำโปรยมานาน    หากก็นึกแปลกใจว่า..ไยไม่เคยได้อ่านเป็นเล่มจริงจังเสียที

ต้องหาโอกาสอ่านล่ะค่ะ ^^  ขอบคุณนะคะที่แนะนำ

P

เชิญติดตามอ่านตามอัธยาศัยนะครับ

แต่สำนวนแปลอาจจะอ่านยากนิดนึง

เคยแนะนำเพื่อนสนิทคนนึงให้อ่าน เขาบอกว่าอ่านยากครับ

แต่ผมเนื่องจากเคยติดตามมาหลายเล่มแล้ว เลยพอจะปะติดปะต่อได้

ขอบคุณครับ ผู้มาเยี่ยมเยียน 3. visitor [IP: 61.19.231.4]

ขอบคุณที่ชอบครับ คุณครูตุ๊กตา

P

สวัสดีครับ คุณเนปาลี

จริงๆ แล้วผมไม่ค่อยอยากแนะนำเรื่อง "เราจะข้ามเวลามาพบกัน"  เท่าไหร่

ใจผมว่ามัน โรแมนติก ดราม่า มากไปหน่อย  อ่านแล้วเหมือนอ่านนิยายรักข้ามภพ

ผมคิดว่ามันทำให้เราพลาดจากสาระสำคัญที่หมอไวส์พยายามสื่อ ถ้าจะลองอ่านอยากให้อ่าน "ข้ามภพ" หรือ "ชาติภพ" มากกว่านะครับ  แต่ถ้าอยากได้อารมณ์นิยามโรแมนติกก็แล้วแต่อัธยาศัย

ขอบคุณที่มาเยี่ยมเยียนครับ

สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่า มีใครพอจะเมตตาขายหนังสือต่อมั้ยคะ ขอซื้อต่อ หรือขอยืมอ่านก็ได้ค่ะ จะกราบขอบพระคุณอย่างยิ่งค่ะLine id : sahuykuyemail. [email protected]

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท