จากที่ได้จั่วหัวเรื่องไว้เกี่ยวกับราคาน้ำตาลที่ในปีนี้ (2552) อาจจะดีขึ้น เพราะว่าความต้องการน้ำตาลในระดับโลกนั้นมีสูงขึ้น แต่กำลังการผลิตกลับตรงกันข้าม คือลดน้อยถอยลง ส่วนหนึ่งก็นำไปเป็นอาหารให้แก่เครื่องจักรกลซึ่งนับวันจะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ! จะสังเกตเห็นได้ว่าเครื่องจักรเริ่มมีบทบาทและอิทธิพลต่ออาหารของมนุษย์มากขึ้น อินเดียหันไปปลูกข้าวสารลีเพิ่มขึ้นจากที่เคยผลิตน้ำตาลได้ได้ 29 ล้านตันต่อปีก็ลดลงมาเหลือ 20 ล้านตันต่อปีทำให้จากที่เป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลอันดับต้นๆ ของโลก กลับต้องนำเข้าน้ำตาลเสียเองและเหมือนว่าจะต้องเพิ่มมากขึ้นทุกที
ส่วนบราซิลนั้นก็จะเน้นไปที่พลังงานทดแทนเป็นส่วนใหญ่ โดยจะนำอ้อยไปผลิตเป็นเอทานอลมากถึง 60 % ของปริมาณอ้อยที่ประเทศบราซิล ผลิตได้ทั้งหมดประมาณ 500 ล้านตันทำให้ปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจัยสำคัญอีกตัวหนึ่งก็คือความผันผวนของราคาน้ำมันซึ่งต้องดูว่าในปีนี้ราคาน้ำมันจะสูงหรือไม่ ถ้าราคามันสูงขึ้นมาก พลังงานทดแทนก็จะมีบทบาทสำคัญยิ่งทำให้ราคาอ้อยเพิ่มสูงขึ้นจากการที่นำมาผลิตเป็นเอธานอล จึงทำให้ราคาอ้อยโดยรวมในปีนี้น่าจะดีขึ้นมาก
เกษตรกรควรแบ่งพื้นที่สำหรับปลูกอ้อยไว้บ้าง แทนที่จะปลูกแต่ข้าวเพียงอย่างเดียว เพราะราคาข้าวในปีนี้คงจะทรงตัวและไม่แพงหวือหวาเหมือนในปีที่ผ่านมา เพื่อมิให้มีผลผลิตของข้าวออกมามากจนเกินไป ส่งผลให้ราคาตกต่ำ ส่วนชาวไร่อ้อยก็ควรหันมาให้ความสนใจกับการทำให้ต้นทุนลด ผลผลิตเพิ่มให้มากขึ้น โดยการทำการตรวจวัดกรดด่างของดินให้มีค่าพีเอช 6.0 – 6.5 ใช้ภูไมท์ซัลเฟต หว่านเพื่อปรับปรุงสภาพดินก่อนเตรียมแปลงหรือหว่านหลังปลูกเพื่อเพิ่มสารอาหารซิลิก้า ฟอสฟอรัส แคลเซียม และซัลเฟอ จะทำให้อ้อยแข้งแกร่ง ต้านทานต่อโรคแมลง มีน้ำหนักผลผลิตโดยรวมเพิ่มมากขึ้น (คุณพิศิษฐ์ ทรัพย์อุดมมาก 0-83540-6266) ฉีดพ่นซิลิโคเทรซ ร่วมกับ ไคโตซาน MT ทางใบ เพื่อสะสมอาหาร เมื่อตัดขายก็จะได้ราคาดีความความหวานได้ตามมาตรฐาน ถ้ามีการจัดการดูแลอย่างถูกวิธีแล้วก็สามารถที่จะทำให้มีอ้อยไว้จำหน่ายในช่วงระยะที่ราคาแพงได้มาก ต้นทุนต่ำ กำไรเยอะ ปรึกษาข้อมูลเพิ่มเติม 0-2986-1680 – 2
มนตรี บุญจรัส
ไม่มีความเห็น