น่าแปลก ที่ชีวิตการทำงานช่วงนี้ของผู้เขียนเวียนวนอยู่กับ “งานวิจัย”... สงสัยว่าชักจะทันสมัยตามคณะแพทย์ฯที่มุ่งเน้นวิจัยซึ่งเป็นทิศทางของมหาวิทยาลัยเสียแล้วแหละ
ผู้เขียนเพิ่งผ่านการอบรมเพิ่มเติมเพื่อเตรียมสอบเป็น APN วิสัญญีพยาบาล เมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งในการเรียนนาน 2 เดือนครึ่งครั้งนั้นก็เน้นงานวิจัย เน้นการปฏิบัติงานบนพื้นฐานข้อมูล
...แล้วสองวันที่ผ่านมานี้ ผู้เขียนโชคดีได้มีโอกาสเข้า อบรมเชิงปฏิบัติการเรื่อง “เขียนโครงการอย่างไรจึงได้รับอนุมัติทุนอุดหนุนวิจัยสถาบัน” เลยได้มีโอกาสทบทวนความรู้และปรับความคิดในการทำวิจัยไปได้อีกรอบ
วิทยากรเป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิถึง 4 ท่าน ได้แก่ ศ.นพ.วีระชัย โควสุวรรณ(ภาพบนซ้าย) (ท่านผู้นี้เป็นแพทย์ผ่าตัดกระดูกที่ผู้เขียนเคยบันทึกเกี่ยวกับการระบายสีเศษ bone cementในบันทึกนี้ "ศิลปะ...ขณะเปลี่ยนข้อเข่าเทียม...เคยเห็นไหมคะ" ) และ รศ.นพ.สมภพ พระธานี(ภาพบนขวา) จากคณะแพทยศาสตร์ รศ.ดร. มาลินี เหล่าไพบูลย์(ภาพล่างซ้าย) และผศ.ดร.จิราพร เขียวอยู่(ภาพล่างขวา) จากคณะสาธารณสุขศาสตร์ ...(ในเนื้อหานั้นผู้เขียนจะขอทยอยสรุปบทเรียนในบันทึกถัดๆไป)
โดยส่วนตัวนั้น ผู้เขียนมิได้เน้นเรื่องการขอทุนวิจัย เพราะไม่เคยมีประสบการณ์การสนับสนุนจากใครสักเท่าไหร่ ทำงานคุณภาพก็ได้รับการปลูกฝังให้ทุ่มเท เสียสละ ทำด้วยใจ ไม่หวังสิ่งตอบแทนจนติดเป็นนิสัยที่ไม่เรียกร้อง... โอกาสเข้าร่วมแสดงผลงานในงาน National HA Forum ที่กรุงเทพฯนั้น หากผู้เขียนมิได้ร่วมเป็นที่ปรึกษาของ HACC.KKU ก็คงไม่ค่อยจะมีโอกาส ... ดังนั้นสมัยก่อนๆที่พอจะทำได้คือพาน้องๆทำงานพัฒนาคุณภาพแล้ว(แอบ)ส่งผลงานไป พรพ.เอง ...ผลคือได้รับคัดเลือกให้นำเสนอผลงานในรูปโปสเตอร์หลายเรื่อง ช่วยน้องๆประหยัดค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประชุมได้โข
หลังๆมาทางโรงพยาบาลจับ(ทาง)ได้... เพราะเราชาววิสัญญีมีสายบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อภาควิชาฯ (มิได้ขึ้นตรงต่อทางโรงพยาบาล...) ทำให้คล่องตัวในการบริหารจัดการสูง จึงชอบหลอย(ขออภัยที่ใช้ภาษาอิสาน)ไปงานHAที่กทม.บ่อยๆ... สุดท้ายเลยให้พวกเราส่งผลงานไปให้ทางรพ.(ร่วมๆกับเพื่อนๆหน่วยงานอื่น) ดูก่อนแล้วคัดเลือกไป นัยว่า...ง่ายในการบริหารจัดการ แต่ศักยภาพน้องๆของผู้เขียนมีมาก... เลยแอบอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ที่น้องๆไม่ได้นำผลงานไปอวด และนี่กำลังแอบบอกตัวเองว่า...ปีหน้าอย่าเผลอนะ จะแอบเอาผลงานน้องๆ(หลอย)ส่งไป พรพ.อีก... ไม่งั้นน้องๆคงไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นบรรยากาศดีๆ เร้าใจ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้ฮึกเหิม(อย่างที่ผู้เขียนเคยประสบ) กระตุ้นได้มากๆ... มากกว่าบอกกับปากว่า... “เฮ้ย!...ทำคุณภาพซี่”
...แต่เดิมผู้เขียนเคยหันหลังให้งานวิจัยเพราะเป็นพยาบาลยุคโบราณที่ไม่มีการเรียนเรื่องวิจัย ผู้เขียนจึงไม่เข้าใจแนวคิดของวิจัย แม้จะเคยเป็นหัวหน้าโครงการจัดทำเรื่อง วิจัยทางการพยาบาล ให้แก่วิสัญญีพยาบาล มข.มาเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ยังไม่อิน ยังรู้สึกว่า ช้า... อืดอาด... ยืดยาด...เรื่องมาก ไม่ทันใจ ทำไมต้องการคำตอบเพียงแค่ว่าใช่ หรือไม่ใช่ เท่านั้น...ยืดหยุ่นบ้างไม่ได้เลยหรือ... หรือ ทำไมไม่ตอบหลายๆคำตอบในการทำวิจัย ทำวิจัยออกจะยากเย็น(แทบกระอักเลือด)ตอบคำถามได้ข้อเดียว...น่าเสียดายเวลาและแรงงานที่ลงไปนัก
พักหลังๆมานี้ พอผู้เขียนได้มีโอกาสคลุกคลีกับงานวิจัยมากขึ้นๆ แม้จะยังคงไม่รู้เรื่องสักเท่าไหร่ แต่โชคดีที่มีแนวคิด R2R เข้ามาช่วย ทำให้ความคิดเรื่องวิจัยของกลุ่มคนหน้างานโดยเฉพาะผู้เขียนออกมาทางบวกมากขึ้น
นานเข้าๆ... ก็เริ่มเข้าใจมากขึ้นๆแล้วว่า...ทำไมจึงต้องแก้ปัญหาไปทีละเปลาะๆ....
ตอนผู้เขียนแต่งงานใหม่ๆอยากถักเสื้อไหมพรมให้สามีใส่ อยากหัดถักนิ๊ตติ้งเอง (แฮนด์เมดน่ะ) แบบเปิดตำราแล้วเลือกลายทำ...เรียกว่าหัดทำ ทำทั้งทีก็ให้ยิ่งใหญ่หน่อย คาดหวังผลลัพธ์เสียดีเลิศ(หรู) คงลืมตัวไป อะไรประมาณนั้นแหละ
...นิต เพอร์ๆ....
...ไม่ถักธรรมดานา... เอาแบบเปีย...
...ไม่เปียธรรมดานา... เปียไขว้ซะด้วย...
... เสื้อกั๊กไม่เอา ง่ายไป เอาแขนยาวเลย...
... สวมหัวไม่เอามันพื้นๆไป ผ่าหน้าเลย มีรังดุมด้วย...
ทุกวันนี้เมื่อรื้อของเก่าก็จะพบซากของเศษเสื้อไหมพรมในฝัน...ที่ถักไม่เสร็จ มันยังเป็นเศษเสี้ยว
คนที่อยากใส่เสื้อตัวนี้เคยถามว่า..เมื่อไหร่จะได้ใส่ ผู้เขียนสงสาร เคยเอามาดูๆ แล้วลดสเป็คลง จากแขนยาวเป็นแขนสั้นแล้วเปลี่ยนเป็นแขนกุดแบบเสื้อกั๊ก... จากผ่าหน้าเป็นสวมหัว รื้อแล้วเลาะอีก แต่จนป่านนี้ เกือบสามสิบปี... มันก็ยังเป็นไหมพรมเก่าๆที่ทำไว้ไม่เสร็จ แต่ยังคงเก็บไว้
และวานนี้ก็ให้บังเอิญที่เจ้าของเสื้อไหมพรม(ไม่สำเร็จรูป)ดูละครทีวีและคงได้ยินคำพูดอะไรจากตัวละครไม่ทราบ แต่มีเสียงแว่วๆมาจากโต๊ะอาหารว่า
“แล้วเสื้อถักของคุณวัตร์ล่ะ...เมื่อไหร่จะได้ใส่จ๊ะ” เธอยังจำได้ (ทำตาชม้อยชม้ายมาทางผู้เขียน)
ผู้เขียนเลยได้มีโอกาสนำออกมาให้เด็กๆดู แล้วเล่าให้ลูกๆฟัง เขาได้ยินบทสรุปจากแม่ว่า
“มันเหมือนอยากสักมังกรน่ะลูก... พอไม่ไหวก็ลดลงเป็นไส้เดือน... (แต่นี่ไม่ไหวจริงๆ ขอเป็นแค่พยาธิเส้นด้ายละกัน...)”
เสื้อไหมพรมนี้เอาไว้ให้เป็นเรื่องเล่าประวัติศาสตร์ของพ่อสู่ลูกหลานฟังว่า
“แม่ถักให้พ่อ...จากพ่อไม่มีพุงจนพุงโตนิดๆ... แม่คงกลัวเปลืองไหมพรมเลยไม่ถักเพิ่ม”เผลอๆ... อาจจะเก็บไว้เป็นอนุสรณ์ถึงหลานปู่-ย่า, หลานตา-ยายละมั้ง
ผู้เขียนเสียดายแต่ว่า หากสมัยโบราณได้รับการสอนเรื่องวิจัย ที่สอนให้เริ่มจากการหัดทำงานเล็กๆง่ายๆก่อน ทำให้สำเร็จเพื่อเกิดกำลังใจ... ฝึกทำและเรียนรู้ไปก่อนแล้วจึงค่อยๆทำเรื่องยาก เรื่องใหญ่ขึ้นๆ...
ป่านนี้... คนบางคนคงได้ใส่เสื้อไหมพรมถักไปแล้ว...
เสื้อสีสวยนะ ถ้าไม่ถักให้เสร็จ น่าเสียดายนะคะ
สวัสดีค่ะ พี่แก้ว
สวัสดีคะพี่ติ๋ว
ทำได้ถึงแค่นี้เก่งแล้วคะ
น่ารักมากนะคะยังเก็บไว้ให้ลุกดู
สวัสดีค่ะ คุณน้องประกาย~natachoei ที่~natadee
สวัสดีค่ะ คุณ เบดูอิน