19. บะหมี่น้ำหนึ่งชาม


พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็น เวลานานแสนนานนั้น มอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ

       ผมเป็นสมาชิก GTK เพียงไม่กี่เดือน ได้รับแรงใจที่อบอุ่นจากสมาชิกหลายท่านทุกๆ วัน วันละหลายๆ คน ด้วยความซาบซึ้งใจ ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่อง "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม" หากสมาชิกได้อ่านแล้ว ก็ขออภัย

                          

 

          ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่ร้านบะหมี่ฮอกไก บนถนนซัปโปโร เถ้าแก่ของร้านเป็นคนซื่อ และเถ้าแก่เนี้ยก็เป็นคนอัธยาศัยดี ในวันนี้ บะหมี่ของร้านฮอกไกขายดีมาก เนื่องจากการกินบะหมี่โซบะในคืนวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นั้น เป็นประเพณีของชาวญี่ปุ่น จึงทำให้ร้านบะหมี่ทั้งหลายต่างขายดิบขายดี ร้านฮอกไกก็เช่นกัน คนแน่นร้านแทบทั้งวัน จนกระทั่งถึงเวลา 22.00 น. คนจึงเริ่มน้อยลง

         โดยปกติแล้ว ถนนสายนี้จะมีคนเดินผ่านไปมาแน่นขนัดไปจนถึงเช้าตรู่ แต่วันนี้ทุกคนจะต้องรีบกลับบ้าน เพื่อไปต้อนรับปีใหม่กัน ร้านค้าบนถนนสายนี้จึงปิดร้านเร็วกว่าปกติ พอลูกค้าคนสุดท้ายกลับไป ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้าน ประตูร้านก็ถูกเปิดออกอย่างเบาๆ มีผู้หญิงคนหนึ่งพาเด็กชายสองคน อายุประมาณ 10 ขวบกับ 6 ขวบ เข้ามาในร้าน เด็กชายทั้งสองคนสวมชุดกีฬาใหม่เอี่ยม ส่วนหญิงคนนั้นสวมโอเวอร์โค้ท ลายสก๊อตเก่าๆ เชยๆ

         "ขอบะหมี่น้ำสักชามได้ไหมคะ" หญิงคนนั้นเอ่ยปากอย่างขลาดกลัว เด็กชายสองคนที่อยู่ข้างหลังแอบสบตากันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก

         "ได้ค่ะ ได้ค่ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เชิญนั่งก่อนค่ะ"  เถ้าแก่เนี้ยพาพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะเบอร์สองชิดกำแพง แล้วตะโกนบอกไปทางห้องครัวว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

         โดยปกติแล้ว บะหมี่หนึ่งชามจะมีบะหมี่แค่หนึ่งก้อน เถ้าแก่คิดแล้วก็ใส่บะหมี่เพิ่มไปอีกครึ่งก้อน ทำให้ต้มบะหมี่ได้ชามเบ้อเริ่ม แต่ทั้งเถ้าแก่เนี้ยและสามแม่ลูกต่างก็ไม่รู้เรื่อง สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่กินกันอย่างเอร็ดอร่อย กินพลางพูดพลาง

         "ทานเถอะครับ" ลูกคนพี่พูด "แม่ทานหน่อยสิครับ" ลูกคนน้องพูดไปก็คีบบะหมี่ให้แม่กิน ไม่นานบะหมี่ก็หมดชาม แม่ควักเงินจ่ายให้เถ้าแก่ไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน

         "ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) บะหมี่อร่อยมากค่ะ (ครับ)" ทั้งสามคนกล่าว พร้อมกับค้อมตัวเล็กน้อยแล้วลาจากไป  

        "ขอบคุณมากค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)" เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยต่างก็กล่าวขอบคุณสามแม่ลูก

          ผ่านไปวันแล้ววันเล่า วันส่งท้ายปีเก่าเวียนมาครบรอบอีกครั้งหนึ่ง ร้านบะหมี่ฮอกไกก็ยังคงขายดี และดูเหมือนจะขายดีกว่าปีที่ผ่านมา สองตายายยังคงยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้าขาย จนวันที่วุ่นวายก็จบสิ้นลง เวลา 22.30 น. ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะปิดร้านอยู่นั้น ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ ผู้ที่เข้ามาก็คือหญิงวัยกลางคนกับเด็กชายสองคน พอเห็นเสื้อโอเวอร์โค้ทที่เก่าและเชย เถ้าแก่เนี้ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าเป็นลูกค้าคนสุดท้ายในวันส่งท้ายปีเก่าของปีที่แล้วนั่นเอง

          "ขอบะหมี่น้ำหนึ่งชามได้ไหมคะ" หญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยความเกรงใจ

          "ได้ค่ะ ได้ค่ะ เชิญนั่งตามสบายนะคะ" เถ้าแก่เนี้ยนำพวกเขาไปนั่งที่เดิมที่เคยนั่งเมื่อปีที่แล้ว นั่นคือโต๊ะเบอร์สอง พร้อมกับตะโกนไปพลางว่า "บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

          เถ้าแก่รับคำพลางจุดเตาไปพลาง "ได้ครับ บะหมี่น้ำหนึ่งชาม"

          เถ้าแก่เนี้ยแอบไปพูดที่ข้างหูของเถ้าแก่ว่า "นี่ตาแก่ ต้มบะหมี่ให้พวกเขาสามชามไม่ได้หรือ"

         "ไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะทำให้พวกเขาอายและไม่สบายใจได้รู้ไหม" สามีตอบ แล้วโยนบะหมี่อีกครึ่งก้อนลงไปในหม้อน้ำที่กำลังเดือดพล่าน เขาเดินไปยืนข้างภรรยาแล้วยิ้ม

         "เห็นเธอซื่อๆ ทึ่มๆ ไม่นึกเลยว่าจิตใจก็ดีเหมือนกันนะ" เถ้าแก่เนี้ยว่า

         ฝ่ายสามีเดินไปตักบะหมี่ชามใหญ่ที่กลิ่นหอมชวนกินชามนั้น แล้วให้ภรรยายกไปให้สามแม่ลูก สามแม่ลูกนั่งล้อมชามบะหมี่ กินไปพลางคุยไปพลาง เสียงคุยของสามแม่ลูกดังถึงหูของตายาย

         "หอมจังเลย ยอดไปเลย อร่อยจริงๆ ปีนี้สามารถกินบะหมี่ของร้านฮอกไกได้ นับว่าไม่เลวทีเดียว ถ้าปีหน้าสามารถมากินได้อีกก็ดีนะสิ"

         สามแม่ลูกกินเสร็จก็จ่ายเงินไปหนึ่งร้อยห้าสิบเยน แล้วก็เดินออกจากร้านฮอกไกไป

         "ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)"  พอมองตามสามแม่ลูกจนลับหายไปแล้ว สองตายายก็ยกเรื่องสามแม่ลูกมาพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกไปได้ระยะหนึ่ง

          ในวันสิ้นปีของปีที่ 3 นี้ กิจการของร้านฮอกไกดีมาก สองตายายต่างก็ยุ่งจนไม่มีเวลาคุยกัน แต่พอเลย 21.00 น. ไปแล้ว สองตายายก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา พอถึง 22.00 น.พนักงานในร้านต่างก็รับอั่งเปา แล้วก็แยกย้ายกันกลับไป พอลูกค้ากลับไปหมด เจ้าของร้านทั้งสองก็ช่วยกันเอาป้ายราคาบะหมี่ในร้านที่เขียนไว้ว่า "บะหมี่ชามละสองร้อยเยน" ที่แขวนไว้ตามผนังทั้งหมดพลิกกลับหลัง แล้วช่วยกันเขียนใหม่ว่า "บะหมี่ชามละร้อยห้าสิบเยน" เมื่อ 30 นาทีก่อน เถ้าแก่เนี้ยก็เอาป้าย "จองแล้ว" ไปวางไว้บนโต๊ะเบอร์สอง เหมือนกับว่าจะมีเจตนารอแขก ที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะมาอย่างนั้นแหละ

          จนกระทั่งเวลา 22.30 น. สามแม่ลูกก็ปรากฏตัวขึ้น พี่ชายสวมเครื่องแบบมัธยมของรัฐแห่งหนึ่ง น้องชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ตที่พี่ชายสวมเมื่อปีก่อน ซึ่งดูหลวมและไม่พอดีตัว เด็กทั้งสองคนโตขึ้นมาก ส่วนผู้เป็นแม่ยังคงสวมเสื้อโค้ท ลายสก๊อตที่ทั้งเก่าและเชย แถมสีซีดตัวเดิม

          "เชิญค่ะ เชิญค่ะ" เถ้าแก่เนี้ยกล่าวทักทายอย่างมีน้ำใจ

          เมื่อมองใบหน้าอันยิ้มแย้มและท่าทางต้อนรับอย่างเต็มที่ของเถ้าแก่เนี้ยแล้ว ทำให้ผู้เป็นแม่นั้นเปล่งคำพูดออกมาอย่างงกๆ เงิ่นๆ ว่า

         "รบกวนช่วยทำบะหมี่น้ำให้สักสองชามได้ไหมคะ"

          "ได้ค่ะ เชิญนั่งทางนี้ค่ะ"เถ้าแก่เนี้ยนำแม่ลูกไปนั่งยังโต๊ะเบอร์สอง แล้วรีบเอาป้าย "จองแล้ว" ออก เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วตะโกนบอกไปทางครัวว่า "บะหมี่น้ำสองชาม"

          "ได้ครับ บะหมี่น้ำสองชาม ได้เดี๋ยวนี้แหละครับ" เถ้าแก่โยนบะหมี่ลงไปในหม้อน้ำสามก้อน

           สามแม่ลูกกินไปพูดไป ดูแล้วมีความสุขกันมาก สองสามีภรรยาที่ยืนอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ได้รับรู้ถึงความสุขที่พวกเขาได้รับกันแล้ว ในใจก็พลอยเบิกบานไปด้วย

          "ลูกรัก วันนี้แม่ต้องขอบคุณลูกๆ เป็นอย่างมาก"

          "ขอบคุณ? ทำไมครับ"

          "เรื่องเป็นอย่างนี้ คือคุณพ่อของลูกที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป ได้ทำให้คนอีกแปดคนได้รับบาดเจ็บ และทางบริษัทประกันก็ไม่รับผิดชอบในส่วนนั้น ในช่วงหลายปีมานี้ทำให้เราต้องจ่ายเงินเดือนละห้าหมื่นเยนทุกเดือน"

         "เอ๊ะ เรื่องนี้เราก็ทราบกันอยู่แล้วนี่ครับ"  ผู้เป็นพี่ตอบ

          ส่วนเถ้าแก่เนี้ยได้แต่ตั้งใจฟังอย่างเงียบๆ อยู่หลังโต๊ะทำอาหาร

          "แต่เดิมนั้น เราต้องชำระหนี้ไปจนถึงปีหน้าเดือนมีนาคม แต่ตอนนี้เราได้ชำระหนี้ไปหมดแล้ว"

          "จริงๆ หรือครับ แม่" ผู้เป็นน้องถาม

          "จริงสิจ๊ะ นี่เป็นเพราะว่าพี่ชายของลูกขยันไปส่งหนังสือพิมพ์ ส่วนตัวลูกเองก็ช่วยแม่ซื้อกับข้าวทำอาหาร ทำให้แม่ไปทำงานได้อย่างเต็มที่ ทางบริษัทจึงได้ให้เงินเบี้ยขยัน พร้อมทั้งเงินโบนัสพิเศษอื่นๆ อีก จึงทำให้วันนี้สามารถชำระในส่วนที่เหลือได้หมด"

          "ว้าว แม่ครับ พี่ครับ อย่างนี้ก็วิเศษสิครับ แต่ว่าต่อไปขอให้ผมได้ช่วยทำอาหารต่อไปเถอะนะครับ"

          "แม่ครับ ผมกับน้องก็มีความลับจะบอกกับแม่เหมือนกันครับ คือในวันอาทิตย์วันหนึ่งของเดือนพฤศจิกายน โรงเรียนของน้องได้แจ้งให้ผู้ปกครองไปเยี่ยมชมนักเรียนในห้องเรียนในวันพบ ผู้ปกครอง คุณครูของน้องยังได้แนบจดหมายมาอีกหนึ่งฉบับว่า เรียงความของน้องได้ถูกคัดเลือกให้เป็นตัวแทนของฮอกไกโด เพื่อไปแข่งขันเรียงความทั่วประเทศ นี่ผมได้ยินมาจากเพื่อนๆ ของน้องนะครับ ผมถึงทราบ ดังนั้นในวันนั้น ผมจึงไปเป็นตัวแทนแม่ไปร่วมในงานวันพบผู้ปกครองของน้อง"

          "จริงหรือลูก แล้วต่อมาล่ะ"

          "หัวข้อที่คุณครูให้เรียงความคือ ความปรารถนาของข้าพเจ้า น้องได้เอาเรื่องของบะหมี่น้ำหนึ่งชามมาเขียนเป็นเรียงความ แล้วยังได้อ่านต่อหน้าทุกคนด้วย เรียงความเขียนว่าหลังจากที่คุณพ่อประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้ว ได้ทิ้งหนี้สินให้เรามากมาย เพื่อที่จะชำระหนี้ คุณแม่ต้องทำงานดึกดื่นหามรุ่งหามค่ำทุกวัน แม้แต่เรื่องของผมที่ต้องไปส่งหนังสือพิมพ์ น้องก็ยังเอาไปเขียนเลย

          ยังมีอีก น้องยังเขียนถึงในคืนวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกได้มาล้อมวงกันกินบะหมี่น้ำ อร่อยมาก สามคนกินบะหมี่น้ำแค่ชามเดียว คุณตาคุณยายเจ้าของร้านยังกล่าวขอบคุณพวกเรา แล้วยังอวยพรวันปีใหม่ให้พวกเราอีก เสียงเหล่านั้นเหมือนกับว่าให้กำลังใจให้เข้มแข็งที่จะยืนหยัดมีชีวิตอยู่ต่อไป พยายามปลดเปลื้องหนี้สินทั้งหลายของคุณพ่อให้หมดให้เร็วที่สุด

          ด้วยเหตุนี้ น้องจึงได้ตัดสินใจว่าโตขึ้นน้องจะเปิดกิจการร้านบะหมี่ แล้วจะต้องเป็นเจ้าของร้านบะหมี่ยอดเยี่ยมอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นอีกด้วย แล้วยังจะให้กำลังใจแก่ลูกค้าทุกคนให้มีความสุข"

          สองตายายเจ้าของร้านบะหมี่ที่ยืนฟังอยู่หลังโต๊ะทำบะหมี่ จู่ๆ ก็หายตัวไป พวกเขาไม่ได้หายไปไหนเลย เพียงแต่คุกเข่ากันอยู่ใต้โต๊ะ ในมือถือปลายผ้าขนหนูกันคนละข้าง พยายามซับน้ำตาที่ไหลไม่ยอมหยุดเหมือนทำนบกั้นน้ำพัง

          "พอน้องอ่านเรียงความจบ คุณครูก็พูดว่าวันนี้พี่ชายได้มาเป็นตัวแทนของคุณแม่ ดังนั้นขอเชิญพี่ชายขึ้นมากล่าวอะไรสักหน่อยค่ะ"

          "จริงหรือลูก แล้วลูกทำอย่างไรล่ะ"

          "ก็มันกะทันหันเกินไป ตอนแรกๆ ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมจึงพูดว่าขอบคุณทุกคนที่เอาใจใส่น้องผมเป็นอย่างดี น้องผมต้องไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวกลับมาหุงหาอาหารทุกวัน ดังนั้น ในเวลาที่เพื่อนๆ ทุกคนมีกิจกรรมกันในตอนเย็นก็มักจะอยู่ร่วมกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ เพราะต้องรีบกลับบ้าน เมื่อเป็นอย่างนี้คงจะทำให้ทุกคนวุ่นวายกันพอสมควร

          เมื่อครู่นี้ ตอนที่ได้ยินน้องอ่านเรียงความเรื่องบะหมี่น้ำหนึ่งชาม ผมรู้สึกอายมาก แต่พอได้เห็นน้องยืดอกอ่านเรียงความด้วยเสียงอันดังจนจบ ถึงได้รู้สึกว่าความรู้สึกอายเมื่อสักครู่นี้ต่างหาก ถึงจะเรียกว่าเป็นความอายจริงๆ

          หลายปีมานี้ ความกล้าของคุณแม่ที่จะสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชาม เพื่อกินกันสามคนนั้น ผมกับน้องจะไม่มีวันลืมเป็นอันขาด ผมและน้องจะต้องขยันและดูแลแม่เป็นอย่างดี และผมขอฝากน้องของผมให้ทุกคนช่วยดูแลด้วยครับ"

          สามแม่ลูกกุมมือกันเงียบๆ ตบไหล่ กินบะหมี่หมดอย่างมีความสุขกว่าทุกๆ ปี จากนั้นก็จ่ายเงินไปสามร้อยเยน กล่าวขอบคุณ แล้วค้อมตัวลงเคารพ และเดินออกจากร้านไป เมื่อมองตามหลังสามแม่ลูกไป เจ้าของร้านจึงรู้สึกได้ว่าปีนี้ได้ผ่านไปแล้วจริงๆ พร้อมกับกล่าวว่า

         "ขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ)"

          และแล้วก็ผ่านไปอีกปีหนึ่ง พอถึงเวลา 21.00 น. ทางร้านฮอกไกก็วางป้าย "โต๊ะจอง" ไว้บนโต๊ะเบอร์สอง และเฝ้ารอคอยการมาเยือนของสามแม่ลูกเช่นเคย แต่ในปีนั้น สามคนแม่ลูกไม่ได้มาปรากฏตัวที่ร้านเลย ปีที่สอง ปีที่สาม โต๊ะเบอร์สองก็ยังคงว่างอยู่เช่นเดิม สามแม่ลูกไม่ได้มาที่ร้านฮอกไกอีกเลย

         กิจการของร้านฮอกไกยังคงขายดีมาก เรียกว่าดีวันดีคืนเลยทีเดียว ภายในร้านมีการตกแต่งใหม่ โต๊ะเก้าอี้ก็มีการเปลี่ยนใหม่หมด จะมีก็แต่โต๊ะเบอร์สองเท่านั้นที่เก็บรักษาไว้เหมือนเดิม

        "นี่มันเรื่องอะไรกัน" ลูกค้าหลายคนต่างก็ถามด้วยความกังขา

         เถ้าแก่เนี้ยก็เลยเล่าเรื่องบะหมี่หนึ่งชามให้แก่ลูกค้าฟังว่า โต๊ะเก่าตัวนั้นวางอยู่กลางร้านเหมือนกับว่าเป็นการให้กำลังใจตัวเองอย่างหนึ่ง และก็ไม่แน่ว่าวันใดวันหนึ่งลูกค้าทั้งสามอาจจะกลับมาอีก พวกเขาหวังว่าจะใช้โต๊ะเก่าตัวนั้นในการต้อนรับลูกค้าทั้งสามของเขา โต๊ะเบอร์สองตัวนั้นเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่ว่า "โต๊ะแห่งความสุข" ลูกค้าต่างก็พูดต่อๆ กันไป มีนักเรียนหลายคนอยากเห็นโต๊ะตัวนี้ ถึงขนาดที่ว่านั่งรถมาจากที่ไกลแสนไกลมากินบะหมี่และเจาะจงที่จะนั่งโต๊ะตัวนี้

         จนกระทั่งผ่านวันส่งท้ายปีเก่าไปอีกหลายปี เจ้าของร้านค้าในละแวกใกล้เคียงร้านฮอกไก พอถึงวันสิ้นปี หลังจากปิดร้านแล้วก็มักจะมารวมตัวฉลองโดยการกินบะหมี่ที่ร้านฮอกไก และรอเสียงระฆังส่งท้ายวันสิ้นปีเก่าไปพลาง แล้วทุกคนก็ไปวัด เพื่อไหว้พระด้วยกัน เป็นธรรมเนียมมา 5-6 ปีแล้ว

         ในวันนี้ พอเลย 21.30 น.ไปแล้ว เจ้าของร้านขายปลามาถึงก่อน พร้อมทั้งนำซาซิมิมาด้วย ต่อจากนั้นก็มีคนมาเรื่อยๆ บ้างก็เอาเหล้ามา บ้างก็เอาอาหารกับแกล้มมา ปกติแล้วก็จะรวมตัวกันได้ประมาณ 30-40 คน ต่างก็คึกคักกันมาก

         ทุกคนที่มานั้นต่างก็รู้ตำนานเกี่ยวกับโต๊ะเบอร์สองดีจึงพยายามไม่เอ่ยถึงมัน แต่ในใจต่างก็คิดกันว่าวันนี้ "โต๊ะจอง" ตัวนั้นไม่มีคนที่พวกเขาเฝ้ารอมานั่ง มันคงจะว่างเปล่า เพื่อส่งท้ายปีเก่าอีกเช่นเดิม

         พวกเขาบ้างก็กินเหล้า บ้างก็กินบะหมี่ บ้างก็เข้าๆ ออกๆ พอเตรียมกับข้าวกับแกล้ม ต่างก็กินกันไปคุยกันไป พูดเรื่องการค้าบ้าง คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม้แต่น้ำทะเลขึ้นลง ในระยะนี้ บ้านไหนมีเด็กเกิดใหม่ก็นำมาพูดคุยในวงสนทนา คุยมันทุกๆ เรื่อง จนเหมือนกับว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

         เวลาผ่านไปจนถึง 22.30 น. ทันใดนั้นเอง ประตูร้านก็ถูกผลักออกเบาๆ ทุกคนในร้านหยุดพูดคุยกัน สายตาทุกคู่มองตรงไปยังประตูร้าน ชายหนุ่มสองคนยืนสง่าในชุดสูทสากล พาดโอเวอร์โค้ทไว้บนแขน พอเห็นว่าผู้ที่มาเป็นใคร ทุกคนก็รู้สึกว่าบรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง และเริ่มสนทนากันต่อไปอย่างคึกคัก

        ในขณะที่เถ้าแก่เนี้ยกำลังจะพูดว่าขอโทษค่ะ ที่นั่งเต็มหมดแล้วค่ะ เพื่อปฏิเสธลูกค้าที่ไม่ได้รับเชิญอยู่นั้น ก็มีหญิงคนหนึ่งสวมชุดกิโมโนเดินเข้ามายืนระหว่างกลางของชายหนุ่มทั้งสองคน ทุกคนในร้านแทบจะหยุดหายใจ เมื่อได้ยินคุณนายผู้นั้นพูดว่า

        "เอ้อ รบกวน รบกวนช่วยทำบะหมี่ให้สามชามได้ไหมคะ"

        ทันทีที่เถ้าแก่เนี้ยได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เวลาผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ภาพของสามแม่ลูกในความทรงจำกับภาพของสามแม่ลูกตรงหน้า เธอพยายามจะนำทั้งสองภาพมาวางซ้อนกัน เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ที่โต๊ะทำบะหมี่ชี้นิ้วไปยังทั้งสามแม่ลูก

        "พวกคุณ พวกคุณ"  เขาพูดได้เพียงแค่นั้น คำพูดทุกคำจุกอยู่ที่คอ

        ชายหนุ่มหนึ่งในสองคนเห็นท่าทีของเถ้าแก่เนี้ยที่ทำอะไรไม่ถูกก็เลยพูดกับเถ้าแก่เนี้ยว่า

        "พวกเราสามคนแม่ลูก ที่เมื่อสิบสี่ปีก่อนในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มาสั่งบะหมี่น้ำหนึ่งชามทานกันสามคนไงครับ และพวกเราก็ได้รับกำลังใจจากบะหมี่น้ำชามนั้น พวกเราจึงได้สามารถยืนหยัดมาถึงวันนี้ได้ หลังจากนั้นก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่กับยายที่อำเภอชิกะ

        ปีนี้ผมสอบผ่านได้เป็นนายแพทย์แล้ว ตอนนี้ผมเป็นแพทย์ฝึกหัด แผนกกุมารเวช โรงพยาบาลเกียวโต ปีหน้าเดือนเมษายนก็จะย้ายมาประจำโรงพยาบาลกลางของซัปโปโรแล้ว

        วันนี้พวกเราก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาล เพื่อทำความรู้จักและฝากเนื้อฝากตัว แล้วเลยไปไหว้สุสานของคุณพ่อ และน้องชายที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของกิจการร้านบะหมี่นั้น ขณะนี้ได้ทำงานในธนาคารเกียวโต ได้เสนอความคิดอย่างหนึ่งก็คือ ปีนี้ในวันส่งท้ายปีเก่า พวกเราสามคนแม่ลูกจะมาเยี่ยมคารวะเจ้าของร้านบะหมี่ฮอกไกที่ซัปโปโร และทานบะหมี่น้ำสามชามของร้านฮอกไกด้วย"

       สองตายายฟังไปพลางพยักหน้าไปพลางด้วยน้ำตาคลอเบ้า เถ้าแก่ร้านขายผักที่นั่งอยู่ตรงหน้าประตูพยายามใช้แรงอย่างเต็มที่ที่จะ กลืนบะหมี่คำที่คาอยู่ในปากลงไปในคอ แล้วลุกขึ้นยืนพูดว่า

        "อ้าว เถ้าแก่ เป็นอะไรไปล่ะ อุตส่าห์เตรียมการมาตลอดสิบปี เพื่อเฝ้าคอยวันนี้ โต๊ะจองตัวนั้นไงที่พวกเถ้าแก่จองให้ลูกค้าที่จะมาตอนหลังสิบโมงของคืนวันสิ้นปีไง รีบๆ ต้อนรับพวกเขาสิ เร็วเข้า"

        ในที่สุด เถ้าแก่เนี้ยก็ได้สติ เธอตบไหล่ของเถ้าแก่ร้านขายผัก แล้วพูดว่า

        "ยินดีต้อนรับค่ะ เชิญนั่งข้างในค่ะ นี่ตาเฒ่า บะหมี่น้ำสามชาม โต๊ะสอง"

        เถ้าแก่ที่ยืนตะลึงอยู่ก็รีบปาดน้ำตา แล้วรับคำว่า  "ครับ บะหมี่น้ำสามชาม"

        หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไป มันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่าขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ) ก็เท่านั้นเอง แต่มันกลับทำให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับ สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

        เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าอย่าพยายามมองข้ามตัวเอง ตัวเราเองสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมให้น่าอยู่ได้ บางทีมันอาจจะเป็นแค่เพียงความใส่ใจความห่วงใยอันจริงใจของคุณเพียงเล็กน้อย เท่านั้น ก็สามารถนำพาเอาแสงสว่างอันเจิดจรัสอย่างไม่มีขีดจำกัดมาสู่โลกได้

         ด้วยเหตุนี้ ความหวังความใฝ่ฝันที่แรงกล้าของพวกเรา เพื่อนพ้องทั้งหลาย อย่ามัวเห็นแก่ตัวกัน หรือเสียดายมันอยู่เลย หวังว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเราจะสามารถมอบหัวใจแห่งความรักและความเมตตาที่เราอัดเก็บไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนานนั้น มอบให้กับคนอื่นด้วยความเต็มใจ จุดประกายแห่งความสว่างแก่โลก ถึงแม้จะเป็นแสงเพียงริบหรี่เท่านั้น แต่สำหรับคืนอันหนาวเหน็บอันเย็นยะเยือกของฤดูหนาว มันเป็นประกายแห่งความอบอุ่นและแสงสว่างอันสุกสกาวจริงๆ

        เรื่องนี้ตอนที่เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกประทับใจมานับไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นจึงมีคนพูดกันว่าใครที่อ่านเรื่องนี้แล้ว ไม่มีใครเลยที่จะไม่หลั่งน้ำตาให้ ถึงแม้คำพูดนี้ออกจะเกินจริงไปบ้าง แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกประทับใจจริงๆ จนน้ำตาร่วง และน้ำตาที่ร่วงรินเหล่านั้น มันไม่ใช่น้ำตาจากความรันทดใจ แต่.........

        เป็นน้ำตาที่หลั่งให้แก่ความประทับใจต่อความห่วงใยอย่างจริงใจและน้ำใจ ไมตรีอันกว้างขวางที่มอบให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

หมายเลขบันทึก: 248674เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2009 23:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:27 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (16)

สวัสดีค่ะ อาจารย์ เปลวเทียน

อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกดีมากๆ ขอบคุณค่ะ.....

ใบไม้คิดว่า คำสำคัญของอาจารย์ ยาวเกินไป จะไม่เป็นประโยชน์ในการใช้ search หาเรื่องราวจากคำสำคัญ..... อาจจะ/น่าจะแบ่ง คำสำคัญ เช่น  น้ำตา  ห่วงใย  ประทับใจ  ความจริงใจ  หรืออะไรอื่นๆ เพื่อให้ติดกลุ่มที่ผู้อ่านอาจจะ search หาเรื่องราวเพื่อมาอ่านได้จากคำสำคัญค่ะ..... 

 

สวัสดี "ใบไม้"

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผมจะรีบแก้ไขเลย ตอนเขียนก็นึกอยู่นะครับ (นึกเพียง program) เขาจะรับไหม ไม่ได้คิดถึงเรื่อง ชาวบ้านเขาจะ search เลย

ขอบคุณที่แวะมาตั้งแต่เช้าเลย

แค่กำลังใจแบบสร้างสรรค์ที่กลับมาอ่านอีกครั้งค่ะ.....    

  หากดูกันตามจริงแล้ว สิ่งที่เถ้าแก่ร้านบะหมี่ทั้งสองได้ให้ไป มันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรเลย มันเป็นแค่เพียงบะหมี่ไม่กี่ก้อน คำพูดที่จริงใจและให้กำลังใจเพียงไม่กี่คำ รวมทั้งคำอวยพรว่าขอบคุณค่ะ (ครับ) สวัสดีปีใหม่ค่ะ (ครับ) ก็เท่านั้นเอง แต่มันกลับทำให้ผู้ที่ถูกความจริงอันโหดร้ายบีบให้จมอยู่ในสถานการณ์คับขับ สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้ง.....

อ่านแล้วก็ยังชอบอ่านอีกค่ะ ขอบคุณค่ะ

ซึ้งจังเลยค่ะ น้ำตาไหลเลย ทั้งๆที่อ่านตอนสามคนนั้นมากินบะหมี่ ไม่เศร้าอะไรพอต่อๆมาน้ำตาไหลอ่านไปไหลไป ซึ้งค่ะอาจารย์

ครอบครัวนี้ขยันและไม่ท้อและมีความหวัง  ส่วนเถ้าแก่สองคนจิตใจเป็นมนุษย์ที่ดีๆจริงค่ะ  (ดิฉันยังอยากมีจิตใจแบบเถ้าแก่ร้านบะหมี่สองคนนี้ค่ะ)

อ่านสองรอบแล้วค่ะ ยังร้องให้อีก ซึ้งใจต่อความรักของแม่ลูกจัง และยังอยากจิตใจดีงามเหมือนเถ้าแก่  ถ้าคนจิตใจแบบนี้เยอะโลกคงคงจะดีค่ะ

อาจารย์ดิฉันก๊อปไปเก็บไว้อ่านแล้วค่ะ (ไม่ขออนุญาตเพราะคิดว่าว่าอนุญาตตั้งแต่อาจารย์บอกให้มาอ่านแล้วค่ะ อิอิอิ)

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดีๆที่หามาให้อ่าน

ขอบคุณ "ใบไม้" อีกครั้งครับ

เรื่องนี้ ผมว่าตรงกับพุทธพจน์ที่ว่า "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก"

พวกเราทุกคนใน GTK ล้วนแต่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ผมมีความรู้สึกเช่นนี้จริงๆ ครับ

สวัสดีครับ "แจ่มใส" ยินดีที่รู้จักครับ

ผมอ่านเรื่องนี้ คงประมาณ หกเจ็ดครั้งเห็นจะได้ครับ

ขอบคุณที่แวะมาครับ

คุณดุจดาว three in one เลยนะครับ

บอกไม่อายครับ ผมอ่านทีไร น้ำตาซึมทุกที ในขณะที่คัดลอกจากต้นฉบับลง GTK ก็ยังน้ำตาซึมครับ บางท่อนต้องอ่านทวนสองรอบ

น้ำตาซึมตั้งแต่ เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ย นั่งซับน้ำตาด้วยผ้าขนหนูผืนเดียวกันแล้วครับ

ขอบคุณนะครับที่ชอบ และก๊อปไว้ครับ

อิอิอิ ก็พิมพ์โพสส่ง อยากส่งอีก ส่งไปซะแล้ว ก็เลยต้องส่งใหม่ส่งใหม่บ่อยๆเลยได้ three in one ค่ะอาจารย์

จะมี four in one ก็ยินดีนะครับ ฮิฮิ

แง......  แง.......ซาบซึ้งกินใจ  น้ำตาไหลอาบแก้ม  น้ำตานองหน้า

อยากทำตนเป็นคน เห็นใจคนเช่นสามีภรรยาคู่นี้บ้าง  มีแต่ให้

ความดีของเขา  ส่งผลให้กิจการเจริญ  ถ้าอยากเจริญก็ต้องทำดีมากๆ  อย่าเห็นแก่ตัว  อย่าเอาเปรียบลูกค้า

เข้าใจการกระทำของ 2 สามี  มองดูหญิงชราที่เลี้ยงลูก  อาจจะต้องอดเพื่อลูก เสื้อผ้าก็เก่า  ด้วยความสงสาร เขาเกิดอยากให้ทาน บริจาค โดยไม่ให้หญิงแก่รู้ตัว  เขาจึงทำบะหมี่เพียงชามเดียว  เพื่อราคาจะแค่ชามเดียว ไม่ต้องเพิ่มภาระให้หญิงนั้น  เพียงแต่เขาทำให้พิเศษใส่หมี่หลายก้อน  ให้มีจำนวนมากกว่าปกติ เพื่อแม่ลูก จะได้กินแบบอิ่ม ไม่คิดมาก และไม่ต้องจ่ายหลายชาม  ราคาจ่ายเพียงจานเดียว  นี่คือจิตใจดีงาม

คนที่จิตใจดีงามบริจาคทานแบบนี้  จะได้บุญมากกว่า  คนทานบริจาคเอาหน้ามากๆ  ซึ่งบริจาคไปแล้ว แต่ไม่ได้ช่วยคนที่จำเป็นที่จะช่วยจริง   

ฉะนั้นการทำบุญแบบนี้  เห็นทั้งผู้ให้ ว่าผู้ให้ได้รับอย่างมีความสุข ก็เป็นสุขแล้วในชาตินี้แหละ  แม้ให้เขานิดเดียว แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมา คือความอิ่มเอมใจ  เป็นสองชั้น พลันชื่นใจ ทั้งผู้ให้และผู้รับสมถวิล

 

       อ้ายนี้   มีแต่ให้  วันนี้เพลงหาย ไม่ได้ฟัง  หรือเราทำไม่เป็นนะ

 

หยุดเม้นท์  ซักครู่  มาแล้วเพลง  "ไหนว่าไม่ลืม"

ผู้ชายนะโธ่ผู้ชาย  ไม่ชอบเพลงนี้  ไม่เพราะ

 ชอบเพลงข้าวคอยเคียว  เปิดเพลงข้าวคอยเคียว ฟังเพลงนี้อยู่

ได้ยินไหมพี่  เสียงนี้  คือสาวบ้านนา  พร่ำเพรียกเรียกหา ตั้งตานับเวลารอคอย  คอยเช้าคอยเย็น ไม่เห็นซักหน่อย 

 

ความรักที่ไม่ต้องจบลงด้วยความแฮปปี้เอ็นดิ้ง  เสมอไป

                     สองซ้อนเลยนะวันนี้  ตกเบิกเหมือนกัน

บางครั้ง เราให้โดยคิดว่าเป็นเพียงเล็กน้อย แต่..ผู้รับอาจไม่คิดเช่นนั้น ..

ใช่แล้วครับ... แม้ให้เขาเพียงนิดเดียว แต่สิ่งนั้นอาจมีคุณค่าต่อชีวิตเขาเป็นอย่างมาก

เปรียบเหมือนแสงเทียนหากจุดในยามค่ำคืน ก็จักขับไล่ความมืดมิดไปได้

เพียงแต่....จะจุดมันหรือไม่

ว้าว........ ซึ้ง ฮิฮิ

อ้อ.. เพลงผมปิดไว้ แต่หากอยากฟังก็ กดเปิดได้เองครับ

"ไหนว่าไม่ลืม" ไม่ชอบเหรอครับ

ผมก็ชอบนะเพลง "เหมือนข้าวคอยเคียว" 

จะลองหาดูครับ 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท