ณ. ที่แห่งนี้… คือ ดินแดนแห่งสันติสุข ( ว่าด้วยเรื่องของความเชื่อกับความจริง 1. )


ข้าพเจ้าเพิ่งกลับมาจากการไปประชุมวิชาการที่เมืองบางกอก  แถมด้วยการไปกราบครูบาอาจารย์สายการปฎิบัติของพุทธสายเถรวาทที่สำคัญสองท่าน  ท่านแรกคือพระอาจารย์  ดร.ภัททันตะ  อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฎฐานาจริยะ   ท่านอาพาธ และนอนรักษาอยู่ที่ รพ .ศิริราช  

 เป็นเวลานานหลายปีที่ข้าพเจ้าไม่ได้กลับไปที่ศิริราช หลังจากจบ   training  แพทย์เฉพาะทางจากที่นี่  การกลับไปเยือนครั้งนี้ก็พบว่า  ที่นี่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย  มีตึกเพิ่มมากขึ้น  ที่จอดรถหายากขึ้นกว่าเดิม จนรุ่นน้องที่ขับรถไปส่งต้องวนหาที่จอดรถอยู่หลายรอบ    นอกจากความวุ่นวายของเมืองบางกอกก็มากพอแล้วแต่การเข้าไปในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ของเมืองบางกอก ยิ่งดูสับสนอลม่านและวุ่นวายมากขึ้น   จนข้าพเจ้าถึงกับเอ่ยปากกับน้องๆ ว่า ดีใจจังที่เป็นหมออยู่บ้านนอก ไม่ใช่หมอในเมืองกรุงแบบนี้   เพราะการอยู่ที่นี่นานๆ อาจจะเฉาตายได้   หรือไม่ก็จิตตกได้ แม้จะเพิ่งไปปฎิบัติสมาธิภาวนามาก็ตามเถอะ    และไม่นึกสงสัย ที่ครูบาอาจารย์สายการปฎิบัติทั้งหลายต่างออกสู่ป่า  ไปอยู่กับความเงียบอยู่กับความวิเวก  เพราะการอยู่ในที่เช่นนี้นานๆต้องใช้ความก้าวหน้าอย่างมากในทางธรรม  เพื่อจะดำรงอยู่ได้โดยไม่สติแตกไปเสียก่อน   หรือไม่  เราก็จะพลัดหลงเข้าไปในวังวนของชีวิตที่อาจถูกกลืนกิน  และแปรเปลี่ยนไปในทางที่วุ่นวายมากขึ้น

 สมัยที่ข้าพเจ้าเข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ   เวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยและท้อใจ ข้าพเจ้าจะไปนั่งเงียบๆอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง  ที่นั่นคือบริเวณลานพระรูปของสมเด็จพระราชบิดา  หน้าอาคาร 100 ปี  ที่นั่นมีสนามหญ้าและต้นไม้   รุ่นพี่ที่คุ้นเคยกันคนหนึ่งบอกว่า ที่นี่คือปอดศิริราช เพราะเป็นที่เดียวที่มีต้นไม้สีเขียวๆ   และรู้สึกหายใจได้โล่งกว่าที่อื่นๆ  มีบางคืนตอนตีหนึ่งตีสอง  หลังออกมาจากห้องผ่าตัด  ข้าพเจ้าก็แอบมานั่งเงียบๆ ที่นี่  มาพักกายพักใจ  มาหาความสงบสักครู่ ก่อนที่จะเริ่มต้นไปทำการทำงานต่อไป   

ศิริราชวันนี้มีตึกมากขึ้นกว่าเดิม และที่สถานีรถไฟเก่า กำลังมีการสร้างตึกใหม่  เห็นว่าจะเป็น ศูนย์การแพทย์ .. Excellent center หรืออะไรสักอย่าง    มีหลายๆอย่างเปลี่ยนไป   บางสถานที่ดูไม่คุ้นเคยนัก  ข้าพเจ้ากับเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยและรุ่นน้องที่ไปด้วยกันได้เดินไปที่ตึกมหิดลวรานุศร  ชั้นสอง  หลวงปู่ท่านอยู่ที่นั่น   ที่นี่เป็นตึกเก่าแก่แต่ยังสะอาดสะอ้านและมีความสงบเงียบพอสมควร   

เมื่อแจ้งกับคุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์ว่าจะมาเยี่ยมหลวงปู่  เธอก็ชี้มือไปยังห้องเบอร์ 10  บุรุษพยาบาลที่ดูแลหลวงปู่ก็เปิดประตูให้เราเข้าไป   หลวงปู่นอนอยู่บนเตียง กำลังหลับอยู่   ท่านใส่ Tracheostomy  tube  และใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่  แถมท่านต้องรับอาหารทางสายให้อาหารทางหน้าท้อง   ดูจากอาการแล้วก็หนักหนาสาหัสพอดู  อายุของหลวงปู่ก็ เกือบจะร้อยปีแล้ว  สิ่งที่มีอยู่คือสังขารที่เสื่อมถอยไปตามวัยของท่าน   แต่ในห้องนั้นไม่มีบรรยากาศของความทุกข์ ความเจ็บป่วย นับว่า เป็นเรื่องที่หน้าแปลกมาก  เพราะในการไปเยี่ยมผู้ป่วยลักษณะเช่นนี้ เราจะพบกับบรรยากาศ หรือสัมผัสได้ถึงความทุกข์อะไรสักอย่าง   แต่ในห้องนี้ดูสงบ และใสสว่างในความรู้สึกของข้าพเจ้า      เพื่อนที่มาด้วยกัน  ก็เลยได้มีโอกาสมากราบหลวงปู่เป็นครั้งแรก  อันที่จริงเรานัดทานข้าวกันในค่ำวันนั้น  แต่ข้าพเจ้าบอกว่า  เราไปกราบพระก่อน แล้วค่อยไปกินข้าวก็แล้วกัน   หลังจากไปกราบหลวงปู่อาสภะ เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ถามประวัติความเป็นมาของหลวงปู่ด้วยความสงสัย  ข้าพเจ้าจึงแจ้งว่า  ท่านคือพระอาจารย์ของเจ้าคุณโชดก  วัดมหาธาตุ  ท่านมาจากพม่า มาสอนวิปัสสนากรรมฐานในเมืองไทย  ท่านคือต้นสายการปฎิบัติที่สืบเนื่องมาจนปัจจุบัน  มาจนถึงคุณแม่สิริ กรินชัย ที่หลายๆคนรู้จักดี พอกล่าวถึงคุณแม่สิริ  เพื่อนข้าพเจ้าก็ถึงบางอ้อ

การได้เข้ามาในเมืองบางกอก  ข้าพเจ้าได้พบกับ เพื่อนๆ พี่ๆ  น้องๆ หลายคนที่คุ้นเคย   หลายๆคน ยังใช้ชีวิตที่วุ่นวายกับการงานมากมาย จนข้าพเจ้าอดที่จะเป็นห่วงสุขภาพของพวกเขาไม่ได้   มีหลายๆ ประเด็นที่เราได้พูดคุยกัน ทั้งเรื่องในการปฎิบัติสมาธิภาวนา และเรื่องราวต่างๆ ในทางโลก   มีหลายเรื่องที่ข้าพเจ้าพบว่า  เราผู้ปฎิบัติธรรมนั้น มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากพวกเขา

 เมื่อพูดถึงเรื่องการปฎิบัติสมาธิภาวนา  หลายคนมองว่า  เรากับเขา อยู่กันคนละโลกไปแล้ว  แถมข้าพเจ้ากลายเป็นคนแปลก และมีความเชื่อแปลกๆ  ต่างจากพวกเขามาก  เมื่อพูดมาถึงเรื่องโลกนี้โลกหน้า  รุ่นพี่ที่สนิทกันถึงกับส่ายหน้า  แล้วก็ถามว่า  ทำไมคนไปปฎิบัติธรรมจึงเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดนัก  ชอบเชื่อเรื่องโลกนี้โลกหน้า  มีอะไรพิสูจน์ได้บ้าง ถ้ามีจริงก็พิสูจน์มาสิ  พิสูจน์ให้ดูหน่อย ??    เมื่อข้าพเจ้าพูดเรื่องจิต  หลายคนก็คิดว่า จิต คือเรื่องของสมอง  ความรู้สึกต่างๆ ก็เป็นเรื่องของสมอง   จิตคืออะไร ไม่รู้จัก  พวกเขาคิดว่า จิตก็คือผลผลิตจากการทำงานของสมอง   นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยคิดแบบนี้มาก่อน    แต่มันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเข้าสู่การปฎิบัติธรรม

 การปฎิบัติสมาธิภาวนาคือการทดลองพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์ด้วยตัวเอง ให้เป็นที่ประจักษ์   ดังนั้นในขณะที่เพื่อนฝูง   พี่ๆ น้อง ๆ  หลายคน กำลังเชื่อมั่นว่าเรานี้ประกอบด้วยกายกับสมอง  ไม่มีการเวียนว่านตายเเกิด  มีแต่ชาตินี้ชาติเดียว  ไม่มี เรื่องการระลึกชาติ  แม้แต่เรื่องการระลึกชาติของพระพุทธเจ้าที่เกิ ดขึ้นในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะ หลายคนไม่คิดว่าจะเป็นความจริง

แนวความคิดเช่นนี้  เป็นภาพสะท้อนถึงความคิดเห็นและความเชื่อที่ข้าพเจ้าก็เคยเป็นมาก่อน  แม้จะมีชื่อตามใบทะเบียนบ้านว่านับถือพุทธศาสนา เหมือนคนอื่นๆ    ข้าพเจ้าผู้เป็นนักวิทยาศาตร์จ๋า  ก็ไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เช่นกัน  ถ้าใครมาพูดเรื่องเทวดา เรื่องชาติภพข้าพเจ้าก็จะขำๆ  เห็นเป็นเรื่องของความเชื่อในคนสมัยเก่า ๆ  ที่ไม่เข้าใจโลกวิทยาศาสตร์ แต่ก็ฟังๆไว้  พอเป็นเรื่องสนุกๆ  

ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยก็คือ   แนวความคิดบางอย่างของวิทยาศาสตร์ยุคใหม่      มีการใช้คำพูดวกวน และเปรียบเทียบ  คล้ายคำสอนของพระพุทธองค์ อย่างไรพิกล      โดยเฉพาะการกล่าวถึงสิ่งที่มีและไม่มี  สิ่งที่ดำรงอยู่และไม่ดำรงอยู่    และการที่ไอสไตน์กล่าวว่า  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของความมีเหตุผล เป็นคำกล่าวที่เราไม่ควรมองข้าม    ข้าพเจ้าผู้สนใจเรื่องการกำเนิดของโลกและจักรวาล และคิดสงสัยมาตลอดว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร และมาจากไหน  เพื่ออะไร  ทำไม   จึงสนใจเรื่องนี้ไม่น้อย 

ข้าพเจ้าก็เป็นอีกผู้หนึ่ง  ที่พยายามหาคำอธิบายทางวิทยาสาสตร์ยุคใหม่  มาอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์  และลงทุนลงแรงมากมาย ในการพยายามจะอ่านหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ยุคใหม่   รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง  ทว่าการจะเอามาเทียบเคียงกันจะเป็นไปไม่ได้เลยถ้าเราไม่ศึกษาเรื่องอีกด้าน   นั่นคือการศึกษาคำสอนของพระพุทธองค์ เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน  การศึกษาในที่นี้กลายเป็นว่า ไม่ใช่การศึกษาจากตำราอภิธรรม  พระไตรปิฎก  เพราะในวิชาของพระพุทธองค์    สิ่งที่ได้  ไม่ใช่มาจากการคิด ไม่ได้มาจาก การไตร่ตรอง แต่มาจากประสบการณ์ ตรงของผู้สังเกตการณ์    และบางอย่างมาจากสิ่งที่คนปัจจุบันรู้จัก  ด้วยคำว่า   การปิ้งแว้บ   การผุดบังเกิด     มันออกจะยากอยู่ถ้าจะกล่าวว่า การปิ้งแว้บนี้  มาจากการทำงานของจิต ที่เข้าสู่สมาธิภาวนาและ  เกิดวิปัสสนาญาน มองเห็นแจ้งอะไรบางอย่าง  เพราะนักวิทยาศาตร์ทั้งหลายต่างก็ยังคิดว่า   การปิ้งแว้บ คือสิ่งที่ได้จากการทำงานของสมองอยู่นั่นเอง   แถมอาจจะคิดเห็นไปว่า จิตเป็นพลังงานอะไรสักอย่างที่ได้มาจากการทำงานของสมองก็เป็นได้   ทั้งหมดก็ยังไม่พ้นเรื่องของกายและสมองอยู่ดี

การเข้าสู่การปฎิบัติสมาธิภาวนาของข้าพเจ้า  คือการหาคำตอบ  และการพยายามศึกษาสิ่งที่พระพุทธองค์สอน  เที่ยบกับสิ่งที่มีกล่าวไว้ในวิทยาศาตร์ยุคใหม่   ว่าตรงกัน  ต่างกันอย่างไร  แต่การจะเทียบเคียงสิ่งใด   เราต้องมีความรู้ทั้งสองด้าน  ขอเปรียบเทียบง่ายๆ   เช่น  การจะบอกว่าผัดไทยร้านนี้อร่อยกว่าร้านโน้น  เราต้องไปลองชิมทั้งสองร้านก่อน  ไม่ใช่ไปถามความคิดเห็น หรืออ่านเอาจากองค์ประกอบ หรือวิธีการทำจากตำรา จากสูตรของแต่ละร้าน แล้วมาสรุปเอา   เราจะรู้ได้ก็ด้วยตัวเราเอง จากการลองชิมด้วยตัวเองเท่านั้น

ข้อสรุปที่แน่ชัด  จะได้จากประสบการณ์ตรงของเราเท่านั้น  เราคือผู้ที่ลงไปทดลองพิสูจน์ยืนยันด้วยตัวเอง ว่ามันเป็นจริงดังเขาเล่าๆ มาหรือไม่   ทุกอย่างไม่ใช่การได้มาโดยการวิเคราะห์ และคิด เอาเอง

 

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ท้าทายให้ผู้มีปัญญาเข้ามาพิสูจน์  แถมบอกสอนหลักกาลามสูตร สิบอย่าง  พระองค์ไม่เคยบอกสอนให้เราเชื่อสิ่งใดง่ายๆ  แต่เชื้อเชิญให้เข้ามาพิสูจน์ด้วยตนเอง   การปฎิบัติสมาธิภาวนา ก็คือเข้าสู่การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์   ด้วยตัวเอง   หลังการปฎิบัติ  ประสบการณ์ส่วนตน  สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเรา คือสิ่งจริงแท้ และเราจะยอมรับ การถกเถียงกันระหว่างผู้ที่เคยปฎิบัติสมาธิภาวนา กับผู้ที่ไม่เคยปฎิบัติ ต่อสิ่งต่างๆ  จึงเป็นเรื่องที่จะหา  ข้อสรุปและจุดจบไม่ได้   เหมือนดังเช่นคนที่กินผัดไทยคนละร้าน  แต่มาเถียงกันว่า  ร้านที่ตนกินอร่อยกว่าอีกร้านหนึ่ง  แถมแต่ละฝ่ายก็ไม่คิดจะลองไปชิมอีกร้านหนึ่งด้วยซ้ำ  การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างแท้จริงจึงไม่เกิดขึ้น   มีแต่การถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ด้วยความยึดมั่นถือมั่นของทั้งสองฝ่าย

แถมแต่ละฝ่ายก็ไม่คิดจะเปิดใจมาลองพิสูจน์ยืนยันคำพูดของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ

 

มี ผู้คนมากมายในปัจจุบันที่ใช้ชีวิตในทางโลก รู้เรื่องราวต่างๆ  ในทางโลก  และถือว่าเป็นผู้มีปัญญา ต่างรู้และเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาตร์สอนมาตลอด ชีวิต   เพราะมีคนทดลองพิสูจน์ยืนยันให้ตลอด  ถ้าจะกล่าวตามคำสอนแบบพระพุทธองค์ก็คือ เชื่อตามที่เขาบอกมา  เชื่อตามที่ผู้รู้บอกมาอีกที

น้องสาวที่สนิทกันบอกว่า  ทุกวันนี้เราเชื่อว่าโลกกลม  เพราะมีภาพถ่าย มีหลักฐานทางวิทยาศาตร์ยืนยันแต่เราทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นด้วยตาตนเองสักครั้งว่า  โลกมันกลมจริงๆ   เราไม่เคยนั่งยานอวกาศออกไปนอกโลกเพื่อไปดูด้วยตาตนเองสักครั้ง ว่าโลกมันกลมจริง แต่เราก็ยังเชื่อตามที่นักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์บอกมา  เชื่อตามที่เขาว่า  เชื่อตามรูปถ่ายที่เขานำมาให้ดู  หลายๆ ร้อย หลายๆ พันปีก่อน   คนสมัยนั้นเชื่อว่า โลกแบน   และเชื่อตามกันมาอย่างนั้น โดยไม่ได้พิสูจน์ยืนยัน  ให้เป็นที่ประจักษ์ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ  ต่อมาพอ กาลิเลโอ บอกว่าโลกกลม ก็เลยกลายเป็นการพลิกความเชื่อต่างๆครั้งใหญ่  จนศาสนจักรก็รับไม่ได้  

 ข้าพเจ้านึกสงสัยในใจว่า  ถ้าวันหนึ่งวันใดข้างหน้า  เกิดมีนักวิทยาศาสตร์ รุ่นใหม่มาบอกว่า  อันที่จริงแล้วโลกเรานั้นเป็นรูปสี่เหลียมผืนผ้า  ไม่ใช่ทรงกลม เราจะว่าอย่างไร  คงเป็นการพลิกความเชื่อครั้งใหญ่อีกครั้งเป็นแน่  ดังนั้น เราไม่ควรจะเชื่อในสิ่งใดมากเกินไปนัก  นอกจากเราจะลองพิสูจน์ด้วยตนเองเสียก่อน  ควรรับฟังไว้ว่าเป็นทฤษฎีหนึ่งที่ตั้งสมมติฐานไว้  ตามที่นักวิทยาศาตร์ว่า  เราควรจะเปิดใจและตระหนักรู้ว่า  มันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในวันข้างหน้า  

 

แต่อย่างไรไม่รู้  ข้าพเจ้าขอคาดเดาส่วนตนว่า  ในอนาคตไกลๆ นี้นักวิทยาศาสตร์ ยุคใหม่สุดๆ  จะบอกว่า

โลกเรานี้ไม่มีจริง ทุกสิ่งเป็นภาพลวงตา   เราทั้งหลายก็ไม่มีจริง  

แถมเราอาจจะเป็นเพียงปรากฎการณ์หนึ่งในหลายๆ สรรพปรากฏการณ์   ไม่มีเรา ไม่มีอะไร

 

คำสอนของพระพุทธองค์  เป็นคำสอนที่เป็นวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าวิทยาศาสตร์ยุคใดๆ  และคาดว่าอีกหลายพัน หลายล้านปีข้างหน้า สิ่งที่พระพุทธองค์สอน ก็ไม่มีความเชื่อหรือคำสอนอื่นใดมาแปรเปลี่ยนได้ เพราะนี่คือความจริงแท้  นี่คือความจริงอันยิ่งใหญ่ที่นักวิทยาศาสตร์ ยุคใหม่ยังตามไปไม่ถึง    เมื่อเราฟังหลักธรรมคำสอนของพระองค์     บางทีเราอาจจะน้อมนำมาสู่ใจด้วยการคิดวิเคราะห์

เราอาจจะสงสัย   เราอาจจะไม่แน่ใจ แต่เราน่าจะรับฟังเหมือนรับฟังทฤษฎีอะไรสักอย่าง จากนักวิทยาศสาตร์สักคน   เมื่อเราสงสัย  พระองค์ก็เชื้อเชิญให้เราเข้ามาพิสูจน์ ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องให้ใครมาทดลองพิสูจน์ให้ดู  เมื่อเราเข้าสู่การปฎิบัติสมาธิภาวนา  ก็คือการเข้าสู่การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธองค์   เมื่อพระองค์กล่าวว่า  เราทั้งหลายประกอบด้วยกาย กับจิต  ก็คือทฤษฏีหนึ่งที่เราน่าจะลองมาพิสูจน์ดู    แต่เดิมเราอาจจะเชื่อว่า เราคือกายกับสมอง    และจิตก็คือผลผลิตจากการทำงานของสมอง  นั่นก็คือความเชื่อของเราตามที่นักวิทยาศสาตร์บอกมา  และพิสูจน์มาให้เราเชื่อ  แต่การพิสูจน์ว่า เรานั้นประกอบด้วย กาย กับจิต   เราสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเราเอง ที่นี่และเดี่ยวนี้

เทคนิคต่างๆ  ในการปฎิบัติสมาธิภาวนาของสำนักต่างๆ ก็คือการฝึกจิต และเรียนรู้เรื่องดังกล่าว   คือวิธีการทดลองเชิงประจักษ์  และพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง    แต่เป็นที่น่าเศร้าใจว่า  คนทั้งหลายมองเรื่องการปฎิบัติธรรม การเข้าสู่วิถีนี้เป็นเรื่องของคนที่มีปัญหาชีวิต   แถมเป็นเรื่องของคนไร้ที่พึ่งพา  เป็นเรื่องของคนกำลังจะตาย  ไม่ได้เข้าใจว่านี่คือการเข้าสู่ห้องทดลองที่สำคัญ  และยิ่งใหญ่มาก  แถมเป็นประโยชน์ต่อชีวิตตนกว่าครั้งใดๆ   ในการเกิดมาเป็นคนในชาตินี้      แต่ข้าพเจ้าก็รู้สึกดีใจว่า  ในปัจจุบันนี้มีนักวิทยาศาตร์หลายๆท่าน  สนใจเข้าห้องทดลองของพระพุทธองค์กันมากขึ้น เพื่อพิสูจน์คำสอนของพระองค์   และเลิกยึดมั่นกับความเชื่อวิทยาศาสตร์แบบเดิมๆของตนเอง  แถม เปิดใจมากขึ้น

    เรื่องนี้ต้องการหัวใจที่เปิดกว้าง    คงไม่ยากเย็นนักกระมังที่เราจะเริ่มมีหัวใจที่เปิดกว้างบ้าง  หัวใจที่เปิดกว้างให้กับพระพุทธเจ้า  เปิดใจที่จะรับฟัง และเรียนรู้ จากท่าน บ้าง     เปิดใจที่จะเข้าสู่วิถีแห่งการภาวนาเพื่อพิสูจน์สิ่งที่พระองค์สอน    ยังไม่ต้องเชื่อสิ่งใดก็ได้

แต่ให้ลองเปิดใจและเข้ามาศึกษามาปฎิบัติดู   ..... 

  

หมายเลขบันทึก: 248573เขียนเมื่อ 15 มีนาคม 2009 14:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

อ่านแล้วเพลินจังนะะคะ..กายดับจิตดับตามไหมคะ..

ขอให้มีความสุขกับการเข้าถึงธรรมะนะคะ

อ่านแล้วมีข้อคิด รู้สึกดีค่ะ

สวัสดีครับ

อ่านจน...เกิดทุกเวทนาทางกายเลยครับ  555

ทำให้ย้อนกลับมาคิดเรื่อง  คนที่ปฏิบัติกับไม่ปฏิบัติ....

   เมตตา...และความรัก..ที่เราสื่อออกไป  อาจจะช่วยเขาให้อ่อนได้

   หรือไม่ก็ขึ้นกับสัมผัสของผู้ให้ครับ...  บอกยากเหมือนกัน  ..

 

     เรื่องราวของการเดินทางภายใน  นั้นยากที่จะอธิบายครับ

 ขอบคุณครับ

สวัสดีค่ะคุณ add

เห็นร่างกายกำลังทำงานเคลื่อนไหว  ดูเหมือนว่าเรากำลังมองดูมันอยู่  มองดูมันทำงาน บางทีก็เผลอไปเป็นพักๆ ...    เห็นความคิดที่ผุดขึ้นตลอดเวลา  มากมายหลายเรื่อง  มองเห็นมันคิด  และเห็นว่ามันดับหายไป  จากนั้นก็มีเรื่องที่คิดใหม่เกิดขึ้นอีก  ได้แต่ดูมันค่ะ  ดูมันเกิดขึ้น  แล้วก็ดับลงไป  น่าแปลกใจที่ตัวเราที่แท้จริงไม่มีให้ยึด ... ร่างกายนี้ก็เหมือนสรีระยนต์ที่เรามาอาศัยอยู่ชั่วคราว  จิตนี้ก็บังคับมันไม่ได้ ได้แต่ดูมันทำงานไป ..   บางทีก็หลงไปกับมันเป็นพักๆ..  เมื่อกระทบอารมณ์บางอย่างก็มีตัวกูของกูขี้นมาเป็นพักๆ เช่นกัน  พอได้สติก็พบว่า  ไม่มีตัวเราที่แท้จริง แต่ใจก็ยังอดที่จะยึดมันไว้อยู่ค่ะ   สุดท้ายต้องยอมจำนน  ว่าจิตนี้ก็ไม่ใช่ของเราเข้าไปด้วย  แต่ก็ยังยึดไว้อยู่นั่นแหละ  ..  ไม่ยอมปล่อยมันไปจริงๆสักที  .. 

สวัสดีค่ะคุณน้อยหน่า

ขอบคุณมากค่ะที่อ่านบทความอันยาวยืดนี้  และรู้สึกดีๆ  เกิดขึ้นในใจ 

ตัวเองก็มีอะไรในใจมากมาย  ที่อยากจะบอกใครต่อใครว่า   การเรียนรู้วิชาของพระพุทธเจ้านั้น  สำคัญแค่ไหนต่อชีวิต   ทว่าปัจจุบันนี้ผู้คนทั้งหลายไม่เห็นความสำคัญสักเท่าไหร่  แถมวิ่งหนีวิชานี้เข้าไปอีก  

น้อง kmsabai

พี่ก็เหนื่อยกับการพิมพ์ และแก้คำผิดเช่นกัน  หุ หุ

อาจจะเป็นเพราะเพิ่งไปพบเจอ ผู้คนมากมาย  ที่ยังคงวิ่งวุ่นวาย  ไปกับทางโลกมาจากเมืองบางกอก  แต่ละคนก็เป็นคนที่เรารักและเป็นห่วง  แต่ด้วยวิถีและวิธ๊คิดที่แตกต่างกันออกไปเรื่อยๆ  ทำให้ท้อใจเล็กๆว่า  เราคงไม่สามารถน้อมนำเขาได้มากกว่านี้  

 พี่เพิ่งไป  Meditation in action 2 มา   ครูตั้มก็เพิ่งพูดว่า  เมื่อเราเข้าสู่วิถีนี้  เราจะเริ่มคุยกับคนอื่นๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง  แล้วก็เป็นจริงดังว่า   ...  แถมบางเรื่องต้องเงียบๆ ไว้ดีกว่า  คุยไปเดี๋ยวเขาก็จะว่าเราบ้าหรือเพี้ยน     ...  

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ค่ะพี่ยา...

แม้กระทั่งพุทธศาสนาที่เราน้อมจิตไปยอมรับ...

เพราะโลกเราเป็นอย่างพี่ยาว่านั่นเอง เรามาใช้กาย และจิตที่มีโอกาสได้เกิดมาใช้เขาเพื่อเจริญสติกันต่อเถอะค่ะ...

สู้ต่อไปไอ้มดเอ๊กซ์ทั้งหลาย...

ฮ่าฮ๋าฮ่า...

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท